tripgether.com

พาเที่ยวมัลดีฟ Angaga Island เกาะที่อยากชวนคนไทยมาเที่ยวกัน ราคาไม่แรง

91,594 ครั้ง
26 มี.ค. 2560

วันนี้อยากจะมาชวนเพื่อนๆไปเที่ยวมัลดีฟกันที่เกาะ Angaga หนึ่งในเกาะและรีสอร์ทที่คนไทยไม่ค่อยจะรู้จัก แต่มีความเป็นธรรมชาติและคงไว้ซึงความเป็นมัลดีฟอย่างแท้จริงและราคาไม่แพง ถ้าเพื่อนๆ ได้ติดตามหน้าเพจของ agent มัลดีฟในไทยหลายๆเจ้า คงจะเห็นว่าช่วงนี้มีโปรโมชั่นช่วง low season ออกมาจากหลายรีสอร์ท หลายราคา แต่ถ้าพิจารณาไปที่รีสอร์ทที่ราคาไม่แพงมากนัก ช่วงนี้ก็จะมีโปรโมชั่นจาก Thulhagiri Island, Safari Island, และ Angaga Island ในเครือของ Splendid Asia ที่ทำราคามาน่าสนใจมาก

แรกเริ่มเดิมที่กะว่าจะไปลงที่ Thulhagiri Island เพราะถูกที่สุดในราคา 22,000 สำหรับ water villa 3 วัน 2 คืนเท่านั้น แต่เต็มไปจนถึงเดือนสิงหาละครับ เป็นอันจบไป เลยมานั่งพิจารณาระหว่าง Safari Island กับ Angaga Island ที่ทำราคามาอยู่ที่ 28,000 กับ 26,000 ตามลำดับ เลยตัดสินใจ เห็น Safari Island คนไปเยอะแล้ว ลอง Angaga ไปเลยละกัน ได้นั่ง seaplane ด้วย

เกี่ยวกับ Angaga Island Resort & Spa
+เป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ในใจกลาง South Ari Atoll เดินทางโดย Seaplane ประมาณ 25-30 นาทีถ้าไม่มีแวะที่ไหน
+เกาะมีขนาดประมาณ ยาว 320 เมตร กว้าง 160 เมตร เดินประมาณ 10 นาทีก็รอบเกาะแล้ว
+มีความเป็นธรรมชาติสูง น้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์ ทรายขาวละเอียด เท้าเปล่าเดินได้ทั้งเกาะ เรียกว่าเป็น bare foot resort อย่างแท้จริง
+เป็นรีสอร์ทระดับ 4 ดาว ไม่ได้เน้นหรูหรามากมาย แต่เข้ากับธรรมชาติ เหมาะแก่การพักผ่อนมากๆ กิจกรรมมีไม่มากนัก จะมีกิจกรรมทางน้ำเป็นหลัก สันทนาการเล็กน้อย กิจกรรมกลางคืนมีเพียง live band ในคืนวันศุกร์เท่านั้น
+แขกส่วนใหญ่เป็นเยอรมัน สวิส และจีน คนไทยมีมาที่นี่น้อยมาก
+House Reef ที่นี่มีความสมบูรณ์และอยู่ใกล้ขายหาดมาก บางช่วงประมาณ 7-8 เมตรก็ถึงแล้ว
+หน้าฝนหรือช่วงมรสุม ลมจะพัดเข้ามาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ 

แรกเริ่มว่าจะไปช่วงเดือนกรกฎาคม แต่พิจารณาดูแล้วไปพฤษภานี่เลยละกัน เพราะคิดว่าเป็นช่วงต้นฤดูฝน ดีกว่าไปอยู่กลางฤดูฝน เลยตัดสินใจจองกับทาง Agent รวมทั้งสายการบินศรีลังกาเลยทันที

วันเดินทาง เราไปกับสายการบินศรีลังเที่ยวบิน UL891 ออกเดินทาง 3 ทุ่ม แล้วไปนอนพักที่ Transit Hotel ในสนามบินโคลอมโบ ชื่อ Serenediva เพื่อต่อเครื่องในช่วงเช้าจะได้เที่ยววันแรกได้เต็มวัน สำหรับคนที่เดินทางโดยสายการบินศรีลังกาแล้วมีระยะเวลา transit นานกว่า 8 ชม. สามารถยื่นเรื่องขอห้องพักฟรีได้ ซึ่ง flight นี้ 8 ชั่วโมง 20 นาที เราเลยทำการ request ไปทางสายการบิน แต่ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบ ทางสายการบินจัดให้เรานอนอีกโรงแรมนึงนอกสนามบิน ซึ่งต้องเดินทางต่อไปอีก 25 นาที พอไปถึงสนามบินที่โคลอมโบ ด้วยความเหนื่อย และไม่อยากต้องลุกลี้ลุกลนรีบเดินทางออกมาจากโรงแรมนอกสนามบินในวันรุ่งขึ้น เราเลยตัดสินใจยอมจ่ายค่าที่พักเพื่อให้ได้นอนที่ Serenediva ซึ่งอยู่ในสนามบินเลย ไม่ต้องออกมาจาก ตม. เลยด้วยซ้ำ สนนราคาอยู่ที่ 65 เหรียญต่อ 6 ชั่วโมง

รุ่งขึ้น เราออกเดินทางต่อเพื่อไปยังมาเล่ เครื่องออกตอน 7:20 และถึงที่สนามบินมาเล่ตอน 8:15 ในสภาพอากาศที่ครึ้มเมฆและลมแรง จากนั้นก็เดินไปที่เคาท์เตอร์เบอร์ 15 ของ Splendid Asia ในใจเราเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้น sea plane ละ ไปถึงรีสอร์ทเช้า ไปเดินรอบเกาะ ถ่ายรูป แล้วค่อยเช็คอินตอนบ่าย 2 โมง แต่เราก็พบกับ surprise แรกก่อน

เจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์แจ้งว่า น่าจะมีความผิดพลาดในการสื่อสารซักอย่าง ก็คือเราเป็นแค่คู่เดียวที่จะเดินทางไป Angaga จริงๆต้องบอกว่าเป็นคู่เดียวที่จะเดินทางไปแถบ south ari atoll เลยก็ได้มั้งในช่วงเช้านี้ ซึ่งไม่คุ้มที่ sea plane จะตีเครื่องมารับแค่ 2 คนไป ให้รอไป flight บ่ายแทน (เออ แบบนี้ก็มีด้วย)

เลยต้องไปนั่งแกร่วใน Burger King อยู่เกือบ 2 ชม. แวะออกไปถ่ายรูปที่ท่าเรือบ้าง ซึ่งน้ำใสแจ๋วสีสวยอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาเรียกเราให้ไปเช็คอินที่เคาท์เตอร์ sea plane ของ Trans Maldivian ซึ่งเราต้องนั่งบัสออกจากสนามบินมาอีกประมาณ 5 นาทีเพื่อไปที่ sea plane terminal เพื่อรอเรียกขึ้นเครื่องในอีก 2 ชม.ทางสายการบินเห็นว่าเราต้องรอนานมากเกือบ 4 ชม. เลยมีให้ voucher ขนมและเครื่องดื่มมาหน่อย ก็ยังดี สุดท้าย เราได้ออกเดินทางตอน บ่ายโมงครึ่ง โดยเที่ยวบินเราต้องแวะ 3 รีสอร์ท คือ Vilamendhoo, Mirihi, และค่อยมาที่ Angaga

วิวบน sea plane ก็สุดยอด แนะนำว่าให้นั่งด้านซ้ายครับ ถึงจะต้องนั่งคนเดียว แต่ว่าวิวสวยกว่าด้านขวามาก แต่ที่นั่งด้านขวาจะได้เป็นที่นั่งคู่

เครื่องบินแวะลงส่งผู้โดยสารที่ Vilamendhoo เป็นที่แรก ก่อนที่จะเดินทางต่อไปที่ Mihiri แล้วเราก็เจอกับ surprise ที่ 2 กัปตันบอกว่า ตามตารางการบินเค้าจะหยุดพักที่ Mirihi 1 ชั่วโมงก่อนจะไป Angaga เอาล่ะสิครับ เจอดีเลย์ช่วงเช้ามาแล้วยังจะต้องเจอดีเลย์ที่ Mirihi อีก เวลาก็ปาเข้าไปบ่าย 2 แล้ว สุดท้ายกัปตันเลยติดต่อไปที่ Angaga ให้เอา Speed Boat มารับที่ Mirihi แทน โชคดีที่ 2 เกาะนี้อยู่ห่างกันแค่ 5 กิโล แต่ก็ถือเป็นโบนัสเล็กๆเหมือนกัน คือเราได้ขึ้นเกาะ Mirihi เพื่อรอ speed boat มารับ ทำให้เราได้มีเวลาถ่ายรูปรีสอร์ทที่นี่

สุดท้ายประมาณ 20 นาที speed boat ก็มารับเราที่ Mirihi ก่อนจะซิ่งความเร็วสูง (อย่างเสียว) ไปถึง Angaga จนได้ เย้!! ถึงซะที!! ดูนาฬิกา อ้าว บ่าย 3 ซะแล้ว ผิดแผนไปครึ่งวันเลยทีเดียว เรือมาส่งเราที่ jetty แล้วเราก็ได้เจอกับทะเลสีเทอร์ควอยซ์อย่างแท้จริง สวยมากๆ ขออธิบายถึงตัวเกาะ Angaga ซักเล็กน้อย รูปนี้ยืมมาจากในเวปนะครับ

Angaga จะมี Water Villa อยู่ 2 ฝั่ง ด้านขวามือของในรูปจะเป็น standard water villa ธรรมดาขนาด 56 ตร.ม.มี 20 ห้อง ในขณะที่ด้านซ้ายมือของรูปจะเป็น superior water villa ที่พึ่งสร้างเมื่อปี 2014 ซึ่งจะใหม่กว่าและกว้างกว่า (65 ตร.ม.) แนะนำให้พัก superior water villa ดีกว่าครับ ราคาแพงกว่าประมาณ 400 บาทเท่านั้น ที่เห็นด้านซ้ายของเกาะจะเป็นห้องอาหารหลักของเกาะ ถัดมาจะเป็นบาร์หลักครับ ส่วนบาร์อีกที่จะเป็น sunset bar อยู่ปลายสุดของ standard water villa ส่วนรอบๆเกาะจะเป็น beach front villa ซึ่งจะกระจายอยู่รอบเกาะ house reef ที่นี่บางช่วงจะใกล้หาดมาก ไปเกิน 10 เมตรก็ถึงแล้ว

จาก jetty เดินตรงไปก็จะถึง lobby โรงแรม lobby ที่นี่เป็นพื้นทราย อย่างทีบอก เดินเท้าเปล่าได้ทั้งเกาะจริงๆ

หลังจากเช็คอินเสร็จ เราก็เดินทะลุออกมาชายหาดอีกฝั่งเพื่อจะไปห้องพัก

มาถึงแล้วก็ต้องถ่ายป้ายรีสอร์ทซะหน่อย

แล้วก็มาถึง superior water villa ครับ ที่เราจะพักกันที่นี่

อันนี้ยืมรูปมาจากในเนทอีกรูป เพื่อให้เห็นถึงโครงสร้างของ superior water villa ที่นี่

ผมได้ห้อง 181 ซึ่งเป็นห้องริมสุดหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ (แถวบนซ้ายสุดในรูป) ซึ่งฝั่งนี้จะเป็นฝั่งลากูนเห็นน้ำสีเทอร์ควอยซ์ได้ไกล แต่ก็จะเห็น standard water villa อยู่ไกลๆอีกฝั่ง ในขณะที่อีกฝั่งจะไม่เจออะไรขวางตา แต่จะเห็นน้ำสีเทอร์ควอยซ์ได้น้อยกว่า เพราะเลยออกไปก็จะเป็นเขตน้ำลึกแล้ว และถ้าเป็นห้อง 180 ก็จะอยู่ใกล้ปะการังมาก ในห้องของ superior water villa จะตกแต่งสไตล์ไม้ไผ่ ซึ่งอันนี้แล้วแต่คนชอบ บางคำอาจจะชอบแนวโมเดิร์น แต่สำหรับผมแล้วชอบมาก ให้ความรู้สึกเป็นมัลดีฟดี จุดเด่นอีกจุดที่ชอบห้องที่นี่ คือหน้าต่างกระจกที่ครอบคลุมกว้างมาก ทำให้ได้เห็นวิวทะเลได้กว้างมากๆ ในรูปเตียงยับซะแล้ว เผลอล้มตัวนอนซะได้ เตียงมันน่านอนนัก

อันนี้เป็นตู้เก็บของและโต๊ะเครื่องแป้ง สไตล์ไม้ไผ่เช่นกัน

โต๊ะเป็นแบบกระจกมองทะลุลงไปเห็นทะเลได้ครับ ลุ้นเอาเองว่าวันนี้จะมีปลาตัวไหนว่ายมาจ๊ะเอ๋รึเปล่า

ภายในห้องจะมีชากาแฟพร้อมกาต้มน้ำร้อนให้ด้วย

ห้องน้ำนั้นก็จัดอ่างล้างหน้ามาให้ 2 อันเลย เรียกว่าไม่ต้องแย่งกัน มีที่เป่าผมให้ แต่ใช้ยากซักเล็กน้อย

ในส่วนของ shower ก็จะเป็นแบบ rain shower สบู่ แชมพู ครีมนวด มีเตรียมไว้ให้พร้อม และจะมีส่วนที่เป็นอ่างอาบน้ำด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายมา ขออภัย

ส่วนระเบียงด้านนอก ก็จะมีเตียงนอนชิลๆกับร่มบังแดดให้ครับ มุมโปรดผมเลย

มองไปไกลๆจะเห็น standard water villa อยู่อีกด้าน

บันไดหน้าบ้านก็ลงทะเลข้างหน้าได้เลย น้ำที่ค่อนข้างที่จะลึกหน่อย ถ้าเป็นช่วงน้ำขึ้นจะอยู่ประมาณ 2 เมตร ส่วนช่วงน้ำลงอาจจะอยู่ประมาณ 1  เมตร ซึ่งช่วงน้ำลงก็ยืนถึงอยู่ ข้อเสียนิดคือบันไดไม่ได้ลงไปแตะที่พื้น ทำให้เวลาขึ้นจะยากซะหน่อย

ห้องที่เราอยู่ห้อง 181 จะมีฝูงปลาเล็กฝูงนึงอยู่ที่เดิมตลอด แล้วก็จะมีปลาใหญ่ผ่านมาบ้างด้วย

ตอนที่เช็คอินเสร็จ เค้าจะให้เอกสารข้อมูลของรีสอร์ทมาด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของแพคเกจ all inclusive, เวลาเปิดปิดของห้องอาหารในแต่ละมื้อ, เวลาเปิดปิดของบาร์ทั้ง 2 แห่ง, เซอร์วิสต่างๆ, รวมทั้งรายละเอียดของศูนย์ดำน้ำด้วย

นอกจากนี้ยังมีแผนที่เกาะให้ด้วย โซนที่มีปากกาขีดด้านขวาล่างของเกาะคือโซนที่ทางรีสอร์ทแนะนำให้ไป snorkeling ครับ เพราะ house reef บริเวณนั้นสมบูรณ์มาก

ดื่มด่ำกับห้องซักพัก เราก็ออกมาเดินเล่นที่ชายหาดกันครับ น้ำสีสวยจริงๆ ถึงแม้เมฆจะเยอะไปนิด แต่ก็ยังสวย

เราก็มาแวะกันที่ Bar หลักครับ ช่วง 3 โมงถึง 5 โมงจะมีแซนด์วิชและเค้กฟรีสำหรับ all inclusive แต่ต้องสั่งนะครับ ไม่ได้เอามาวางให้ตักแบบบุฟเฟ่ต์

บรรยากาศบาร์แบบสบายๆครับ พื้นทรายเท้าเปล่ากันชิลๆ

บาร์จะมีส่วนที่เป็นระเบียงกลางแจ้งด้วย แต่ช่วงกลางวันไม่มีใครไปนั่งครับ มันร้อน (แต่ก็มีบางคนนะเนี่ย)

วันนี้เลยลองสั่งเมนูค้อกเทล Angaga Beauty กับ Blue Dream มาลองครับ

เรานั่งที่บาร์หลักจนถึงเย็นๆ ก็ออกไปเดินถ่ายรูปกันที่ชายหาด แล้วก็แวะไปเดินเล่นแถว standard water villa ด้วย

ตกค่ำก็แวะไปทานข้าวเย็นแต่ไม่ได้ถ่ายบรรยากาศมา หลังมื้อเย็นเสร็จเราก็กลับมาที่ห้องครับ เตียงที่นี่มีม่านกั้นคล้ายๆมุ้งด้วย ก็โรแมนติกไปอีกแบบครับ

เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ลงเล่นน้ำบริเวณหน้าบ้าน ไม่ได้มีปะการังอะไร ก็จะมีปลาที่จะเห็นได้บริเวณนี้

ลองหน้ากากแบบ full face ครับ ซื้อมาเพื่อการนี้ เห็นกำลังฮิตกันนัก ใช้แล้วขอบอกเลยว่าชอบมาก หายใจด้วยจมูกได้ ไม่ต้องคาบท่อ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ)

จากนั้นเราก็เดินไปทานอาหารเช้าพร้อมกับเดินสำรวจรอบเกาะครับ เดี๋ยวจะพาไปดูจุดต่างๆบนเกาะกัน

ที่เห็นดำๆนี่ฝูงปลาตัวเล็กๆนะครับ เยอะมากๆอยู่บริเวณหาดเลย

เกาะนี้จะมีนกเจ้าถิ่นอยู่ตัวนึงครับ เจอตลอด จะชอบอยู่แถวๆชายหาดตรง superior water villa

วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสดีมากครับ ได้เห็นฟ้าเข้มๆแล้ว

เดินทาง superior water villa ออกมา ด้านขวาจะเป็นหาดทรายกว้างเหมาะกับการเล่นน้ำมาก ถ้าช่วงน้ำลงจะสามารถเดินออกไปได้ไกลเลยทีเดียว บริเวณชายหาดตรงนี้จะมีเน็ทวอลเล่ย์บอลให้เล่นด้วย

เดินเข้ามาอีกนิดจะเจอศูนย์กีฬาทางน้ำครับ ตรงนี้สามารถเช่าเรือแคนู เรือใบ วินด์เซิร์ฟ กีฬาทางน้ำอื่นๆ รวมทั้งเช่าเสื้อชูชีพได้

แต่ all inclusive ที่นี่จะไม่รวมค่าเสื้อชูชีพนะครับ ต้องเช่าวันละ 5 เหรียญ แต่หน้ากากกับตีนกบมีให้ฟรี กิจกรรมดำน้ำลึกก็ต้องติดต่อตรงนี้ครับ รู้สึกว่าต้องมีใบรับรองถึงจะดำน้ำลึกได้

แนบราคากีฬาทางน้ำมาให้ดูครับ อันนี้ขอมาจากทางรีสอร์ทตั้งแต่ก่อนเดินทาง

เดินผ่านศูนย์กีฬาทางน้ำเข้ามาบริเวณล็อบบี้จะมีบอร์ดกิจกรรมและประชาสัมพันธ์อยู่

เราสามารถเช็คตารางกิจกรรมแล้วลงชื่อได้ครับว่าจะเข้าร่วมกิจกรรมไหน

สำหรับ all inclusive จะได้กิจกรรมฟรี 1 อย่าง โดยให้เลือกได้จาก 2 อย่าง คือ ไปเที่ยว local island บ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็นวันศุกร์ หรือทริป snorkeling 9 โมงเช้าถึง 11 โมงเช้าวันเสาร์ ซึ่งผมแพลนว่าจะไปเที่ยว local island วันแรกซะหน่อย แต่เพราะความล่าช้าของ sea plane ทำให้เราพลาดกิจกรรมนี้ไป เจ็บใจจริงๆแนบตารางกิจกรรมพร้อมราคามาให้ครับ

เดินทะลุล็อบบี้มาก็จะเจอกับ Duny Thai Spa ครับ ราคาก็ไม่เบาครับ หลักพันอัพทั้งนั้น ที่นี่จะมีพนักงานคนไทยประจำอยู่ 3 คนครับ ได้มีโอกาสคุยกัน ซึ่งเค้าก็ดีใจมากที่มีคนไทยมาพักเนื่องจากอย่างที่เคยบอกไปว่าแขกที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นเยอรมัน สวิส จีน คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักและมาที่นี่ แต่ช่วงนี้คงเป็นช่วงมาทำตลาดในไทย เลยมีออกโปรโมชั่นออกมา หวังว่าในอนาคตที่นี่คงจะเป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้น

เดินผ่านสปาเข้ามาในตัวเกาะ จะมีกรงนกหงส์หยกใหญ่ๆอยู่ ที่นี่มีนกหงส์หยกเยอะ พึ่งเคยเจอนกหงส์หยกสีฟ้าที่นี่เหมือนกัน กรงที่นี่จะไม่ปิด ให้นกสามารถบินเข้าออกได้อย่างอิสระ

เดินเข้ามาอีกก็จะเจอสนามแบดมินตัน สนามฟุตชอล สนามเทนนิสแบบหญ้าน่าเล่น ซึ่งมาถึงแล้วก็เลยขอลองตีแบดที่มัลดีฟดูซะหน่อยครับ อุปกรณ์แบดสามารถขอได้ที่ล็อบบี้ครับ ฟรี

เดินต่อมาในส่วนของ beach front villa ครับ ซึ่งมีกระจายอยู่ทั้งเกาะ บางห้องก็ใกล้หาด บางห้องก็อยู่ลึกเข้าไป บางห้องหาดสั้น บางห้องหาดกว้าง อันนี้ต้องเลือกดีๆครับ เพราะห้องช่วงเบอร์ 120-130 หาดค่อนข้างสั้นมาก

Beach front villa จะได้เรื่องความร่มรื่นครับ อุดมไปด้วยต้นไม้ ต้นมะพร้าว ให้ความรู้สึกสบาย ก็ดีต่างจาก water villa ไปอีกแบบ

เดินวนรอบเกาะก็มาเจอ standard water villa ครับ เดินแป๊บเดียวก็รอบ ก็เลยลองไปเดินเล่นดู

ส่วนของ standard water villa สร้างมานานแล้ว ก็จะดูเก่ากว่าฝั่ง superior ที่พึ่งสร้าง แต่ทางเดินจะดูมีลูกเล่นกว่า แยกออกเป็น 2 ทาง ก่อนที่จะไปบรรจบกันที่ sunset bar ที่ปลายสุด

ที่ sunset bar ก็จะมีส่วนที่อยู่ในร่มและกลางแจ้งเช่นกัน ช่วงเย็นตรงนี้จะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกพร้อมดื่มเครื่องดื่นเย็นๆ แต่ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีคนครับ ขอแว่บไปหม่ำข้าวเที่ยงก่อนดีกว่า

ตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้รีวิวห้องอาหารเลย มารีวิวมือกลางวันนี้ละกัน

ที่นี่จะมีห้องอาหารแค่ 1 แห่งครับ อาจจะน้อยไปซักหน่อยเมื่อเทียบกับหลายๆรีสอร์ทที่มีหลายห้องอาหาร (แต่สำหรับ all inclusive ส่วนมากก็จะโดนบังคับให้กินได้แค่ที่ห้องอาหารหลักอยู่แล้ว ยกเว้นบางที่อย่าง Centara Ras Fushi ที่จะมีเครดิตให้ไปกินห้องอาหารอื่นได้) ห้องอาหารก็จะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ครับ และโต๊ะก็จะต้องเป็นตัวเดิมตลอด ถ้าสั่งน้ำเปล่ามากินแล้วกินไม่หมดสามารถวางทิ้งไว้ที่โต๊ะได้เลย เพราะมื้อถัดไปก็ต้องมาที่โต๊ะเดิมอยู่ดี

ในส่วนของอาหาร ก็จะเน้นเครื่องเทศเป็นส่วนใหญ่ตามแบบฉบับมัลดีฟ มีทั้งไก่ เนื้อ ปลา สลัด พาสต้า รวมทั้งของหวานและผลไม้แบบไม่อั้น ซึ่งสำหรับผมที่อยู่ 3 วัน 2 คืน ก็โอเคนะครับ แต่เข้าใจพวกฝรั่งที่อยู่ทีอาทิตย์ 2 อาทิตย์น่าจะเกิดอาการเบื่อได้เหมือนกัน เพราะอาหารที่นี่ถือว่าไม่หลากหลายเท่าไหร่ แต่รสชาติถือว่าโอเคครับ อร่อยใช้ได้

เรากลับไปพักผ่อนที่ห้องพักกันพักใหญ่ก่อนที่จะออกมาตอนเย็นอีกที เพื่อที่จะไปที่ sunset bar อีกรอบนึง

ตอนนี้คนก็ยังไม่เยอะ ทำให้เราได้นั่งสบายๆ

ที่นี่มีเมนูค้อกเทลเยอะมาก นับศิริรวมได้ 76 รายการ เลยถ่ายเมนูมาให้ดูครับ ขาแอลกอฮอลไม่ควรพลาด (ที่ผมสั่งมากินแล้วว่าอร่อยถูกปาก แนะนำ Blue Dream, Fresh Angaga Season)

นั่งที่ sunset bar จนดึก ก็กลับมาบริเวณสปาซึ่งใกล้ๆกันก็จะเป็นโซนโต๊ะปิงปอง โต๊ะโกล และปาเป้า ทั้งหมดฟรีครับ อุปกรณ์ก็จะแขวนอยู่แถวๆนั้น

ติดกันก็จะเป็น shop ขายของที่ระลึก ราคาก็สูงนิดนึง

กลับมาถึงห้องก็มีใบแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับไฟลท์ sea plane ที่เราจะกลับพรุ่งนี้ เนื่องจากเที่ยวบินออกจากมัลดีฟเราคือ 4 ทุ่มเลย ทางรีสอร์ทเลยให้เราได้ flight sea plane ตอนบ่าย 3 ซึ่งเราขอ late check out ได้จนถึงบ่าย 2 โมงครึ่งหากห้องเราไม่มีคนเข้าพักต่อ

ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ได้ทักทายกับพระจันทร์เต็มดวงสะท้อนกับท้องทะเลมัลดีฟ เป็นการส่งท้ายคืนสุดท้ายที่ Angaga ครับ

วันรุ่งขึ้น เรามีเวลาอีกครึ่งวันก่อนที่จะเดินทางกลับ เดินออกมาก็เจอกับนกเจ้าถิ่นตัวเดิม ยืนอาร์ทมาก อย่างเท่ห์

กิจกรรมเช้านี้คือดำน้ำ snorkeling บริเวณท่าเรือครับ เพราะมีแนวปะการังอยู่ใกล้ๆเลย และวันนี้ช่วงเช้าก็เป็นช่วงน้ำลดต่ำสุดของวัน เลยสามารถเดินลุยไปดำน้ำได้เลย

น้ำลดจนปะการังโผล่พ้นน้ำ

วันนี้มีเจ้า baby shark มาทักทายใกล้ๆด้วย

หน้ากากแบบนี้มันใช้ดีจริงๆนะ ติดใจ

ปะการังบริเวณนี้เป็นแบบแข็ง ก็จะมีปลาอยู่บริเวณนี้กันพอสมควร ปลาการ์ตูนก็มี

ดำน้ำกันจนอิ่มเราก็มาอาบน้ำอาบท่าแล้วแวะไปกินอาหารเช้า มื้อเช้าก็จะมีพวกซีเรียลให้ทาน รวมทั้งพวกขนมปัง ส่วนเนื้อสัตส์ก็ยังมีครบถ้วน มื้อนี้มีหมี่ผัดด้วย ไม่รู้ทำเอาใจคนจีนหรือเปล่า

เรากลับมาเก็บของที่ห้อง พักผ่อนเพื่อรอเช็คเอ้าท์ตอนบ่าย 2 ครึ่ง ถึงเวลาก็มีพนักงานมาขนกระเป๋าไปให้ถึงเวลาโบกมือลา water villa

หลังจากเช็คเอ้าท์เสร็จเรียบร้อย พนักงานก็มาส่งเราที่ท่าเรือ เพื่อที่จะนั่งเรือไปที่โป๊ะ seaplane

พาขึ้น sea plane ครับ เครื่องทะยานขึ้นพร้อมกับทิ้ง Angaga ไว้ลิบๆอยู่เบื้องหลังก่อนที่จะผ่านหมู่เกาะน้อยใหญ่แล้วมาลงจอดที่ sea plane terminal พร้อมกันทิ้งความประทับใจให้เราได้จดจำถึงธรรมชาติ, ความสวยงาม และผู้คนที่ไม่มีที่ไหนเหมือนของมัลดีฟไว้ให้ เราได้โหยหา และสัญญาว่ายังไงก็จะกลับมาที่นี่อีกให้ได้ Maldives, we will be back again!!

จบบันทึกการเดินทางของเราที่ Anagaga Island แล้ว ขอบคุณที่ติดตามกันนะครับ หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัย *อันที่จริงเรามีเวลาอีกมากก่อนขึ้นเครื่อง เลยข้ามฝากไปเที่ยวที่เมืองมาเล่ แต่มีคนรีวิวไว้มากแล้ว จึงขอข้ามไป ณ ที่นี้ครับ

 

Photos taken by Champukun Snow Queen

 


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ