tripgether.com

วิถีแว๊นแพ็คเกอร์ ฉันจะพาเธอขี่มอไซค์จาก เชียงใหม่ – ปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน

10,293 ครั้ง
27 มี.ค. 2560

Chiangmai – Pangung Maehongson กว่า 8 ชม. l กว่า 2000 โค้ง l กว่า 200 กม.

ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นคิดบ้าอะไร รู้แต่ว่าอยากไปนอนเต๊นท์ริมแม่น้ำ เปิดเต๊นท์ออกมาตอนเช้า ฟิ้ง!!!! ก็ได้ประสบพบเจอกับหมอกสีขาวๆลอยฟุ้งๆอยู่เหนือผิวน้ำ มีหงส์ขาว หงส์ดำ เป็นหงส์พระราชทาน มีแนวต้นสนสูงๆ อย่างกับอยู่บนเกาะนามิที่ญี่ปุ่น เอ๊ย!! เกาหลีต่างหาก ตอนนั้นมโนได้แค่นี้ เปิดดูรูปสวยๆของคนอื่นเพิ่มกิเลสทุกวัน จนลืมนึกถึงระยะทางไปเลย ความกลัวหายไปไหนหมดไม่รู้ รู้สึกได้แค่ว่า “เราต้องไปอยู่ตรงนั้นให้ได้” แค่นั้น

review by Journeyaholic

Page : https://www.facebook.com/journeyaholic.thailand
Facebook : https://www.facebook.com/panwadprem
IG : https://www.instagram.com/journeyaholic


แล้วจะไปยังไงล่ะ? จริงๆแล้วก็ไปได้หลายวิธีนะ

เราเริ่มจากเชียงใหม่เลยละกัน ส่วนใครจะมาเชียงใหม่ยังไงก็เลือกได้ตามอัธยาศัย
1. จากเชียงใหม่ นั่งเครื่องไปลงแม่ฮ่อนสอน แล้วเช่ารถขับไปเอง หรือไปนั่งรถสองแถวได้ที่หน้าตลาดสายหยุด จะเป็นสาย แม่ฮ่องสอน-ห้วยมะเขือส้ม เที่ยวไป 09.00 น. และ 14.00 น., เที่ยวกลับ 06.00 น. และ 11.00 น.หรืออาจจะเหมารถจาก หน้าตลาดสายหยุดไปเลยก็ได้อัตรค่าโดยสารประมาณ 600 บาท 
2. จากเชียงใหม่ นั่งรถตู้หรือรถทัวร์ไปลงปาย จากปายจะมีทั้งรถตู้ รถหวานเย็น รถสองแถว ไปถึงแม่ฮ่องสอนได้ 
พอถึงแม่ฮ่องสอนแล้วก็ทำตาม ข้อ 1.
3. จากเชียงใหม่เช่ารถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ขับไปยาวๆเลย แต่ก่อนอื่นมาดูเส้นทางกันก่อนค่ะ

ถ้าขี่หรือขับรถไปเอง สามารถเลือเส้นทางหลักๆได้ 3 เส้น
เส้นทางที่ 1 คือเส้นทางด้านบนสุด จากเชียงใหม่มาทางแม่แตง โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 107 แล้วเลี้ยวซ้ายตรงแยกแม่มาลัย เข้าทางหลวงหมายเลข 1095 โดยเส้นทางนี้จะผ่านอำเภอปาย ปางมะผ้า สู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน
เส้นทางที่ 2 ออกจากเชียงใหม่ไปทางดอยอินทนนท์ ผ่านอำเภอแม่แจ่ม,ขุนยวม,แม่ฮ่องสอน ระยะทาง 265.5 กิโลเมตร ใช้เวลา 6-7 ชั่วโมงแต่ไม่ค่อยมีปั้มน้ำมันใหญ่ๆ และได้ยินว่าทางโหดกว่าเส้นทางแรก
เส้นทางที่ 3 ออกจากเชียงใหม่ไปทางอ.จอมทองใช้ถนนหมายเลข 108 ผ่านอำเภอแม่สะเรียง,แม่ลาน้อย,ขุนยวม,แม่ฮ่องสอน ระยะทาง 351.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง

เราเลือกเส้นทางแรก ทั้งขาไปและขากลับค่ะ  จากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอน ผ่านทางอำเภอปาย เป็นระยะทาง 245 กิโลเมตร 2224 โค้ง ลองซูมเส้นทางในแผนที่ดูครั้งแรกนี่ถึงกับอึ้งค่ะ เราให้ฉายามันว่า “ถนนสายมาม่า” ใครอยากรู้ว่าทำไม ลองขยายแผนที่ดูนะคะ

เริ่มออกเดินทางกันเลยดีกว่าค่ะ Go Go Go…. ครั้งนี้เราเดินทางไปเชียงใหม่ กับนครชัยแอร์เหมื้อนเดิม เพิ่งเติมคือทริปนี้มาขึ้นรถที่ศูนย์นครชัยไม่ใช่หมอชิต เดินทางวันที่ 10 ก.พ. 59 เวลา 19.30 น.

ถึงเชียงใหม่ประมาณ 6 โมงเช้า ลงที่อาเขตค่ะ ตอนอยู่บนรถก็หนาวมาตลอดทางจนต้องขุดกางเกงขายาวในกระเป๋ามาใส่อีกตัว พอลงมาจากรถนี่ซึ้งเลยค่ะ คือมันหนาวมว๊ากกก…
ล้างหน้า แปรงฟันเสร็จเรียบร้อยก็ไปเช่ารถกันค่ะ ครั้งนี้ขอลองเปลี่ยนร้านดูบ้างแล้วกัน

ร้านนี้อยู่ติดกับไบค์กี้เลยค่ะ ไม่ต้องมีมัดจำเหมือนกัน ใช้แค่บัตรประชาชน แต่ต่างกันตรงที่ร้านนนี้เปิด 24 ชม.นะคะ แวะเติมน้ำมันนู่นนี่นั่น กว่าจะได้ออกจากเดินทางก็ปาไป 7 โมงละคะ ขี่มาซักพักใหญ่ๆคือมันหนาวแบบไม่ไหวจริงๆค่ะ ขอแวะเซเว่นก่อน

ขอเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ตบท้ายด้วยเอากางเกงมาใส่อีกตัว แล้วก็ซื้อถงมือผ้า 19 บาทในเซเว่นใส่ประทังชีวิตไปก่อน เพราะขี่มาแค่ประมาณชั่วโมงนึงนี่ มือเริ่มไม่รู้สึกละคะ ใครแพลนจะมาช่วงหนาวๆอย่าคิดว่าแดดออกแล้วจะอุ่นนะคะ ถ้าคุณคิดแบบนั้น คุณพลาดค่ะ กรุณาเตรียมชุดที่มันกันลม เสื้อกันลม กางเกงกันลม ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ แว่นตา ผ้าบัฟหรือผ้าปิดปากก็ได้ ทริปนี้ยอมรับเลยว่าบกพร่องมาก ฮ่าๆๆ ไม่มีอะไรซักอย่างเลยนอกจากแว่นตา กับผ้าพันคอ แล้วก็แว๊นๆๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ไหวอีกแล้วค่ะขอพักอีกที เนื่องจากเสื้อเรามันไม่ได้กันลม เวลาขี่รถนี่หนาวไปถึงทรวงในเลย

ร้านนี้ชื่อร้านแม่มด แวะจิบชา กาแฟได้ตามสะดวกค่ะ

ขี่ออกมาจากร้านซักนิดนึง ก็จะมาเจอโค้งนี้ค่ะ อลังการงานโค้งจริงๆ ตรงจุดนี้จะมีไหล่ทางสามารถจอดถ่ายรูปได้ไม่อันตรายค่ะ

มุ่งหน้าสู่เมืองปาย เราจะไปกินข้าวกลางวันกันที่นั่นค่ะ ระหว่างทางก็มีถนนที่กำลังสร้างใหม่ แล้วก็ปรับปรุงเรื่องไหล่ทางอยู่เป็นระยะๆ ฝุ่นค่อนข้างเยอะ แว่นตากับผ้าปิดปาก ช่วยเราได้มากค่ะ

วนอยู่ในปายได้ไม่เท่าไหร่ก็มาจบที่ร้านเกาเหลาเลือดหมูร้านนี้ค่ะ ใส่ใบอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่ผักกาดหอม แล้วก็ไม่ใช่ใบตำลึง รสชาติแปลกๆ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นใบสรอเบอรี่ค่ะ เลยร้านข้าวมาหน่อยเป็นร้านขายเสื้อมือสองค่ะ รีบตรงเข้าไปหาเสื้อกันลมซักตัว สภาพพอใช้ได้ ได้มาในราคา 200 บาท ถ้าไม่ได้ตัวนี้คาดว่าไม่ถึงแม่ฮ่องสอนแน่ค่ะ ถึงเวลาจะเที่ยงแล้ว แต่อากาศก็ไม่ได้ลดละความเย็นลงแม้แต่น้อย เห็นฝรั่งเค้าใส่เสื้อสายเดี่ยวแว๊นกันสบายใจ จิตใจเค้าทำด้วยอะไรกันค่ะ ฮ่าๆๆ เมื่อชุดพร้อม ร่างกายพร้อม ออกเดินทางกันต่อ มุ่งหน้าไปทาง อ.ปางมะผ้าค่ะ

วิวสองข้างทาง ก็สวยงามตามท้องเรื่อง

ผ่านจุดชมวิวดอยกิ่วลม ฝรั่งและนักท่องเที่ยวจะเยอะนะคะตรงจุดนี้

ขี่มาเรื่อยๆเจอโค้งนี้ถึงกับตกใจ เพราะนางเป็นสีแดงทั้งโค้ง ไม่รู้ทำไมเค้าถึงทำเป็นสีแดง แต่เราว่ามันทำให้ถนนลื่น แล้วก็น่ากลัวกว่าที่ควรจะเป็นอีก

แวะพักรถ พักคนอีกครั้งที่จุดชมวิวปางมะผ้า ที่นี่มีกาแฟสดนะคะ แต่เราไม่ถนัด ขอจัดสปอนเซอร์ดีกว่า ตอนนั้นบอกตรงๆว่าเหนื่อยมาก ไม่เคยขี่รถไกลและนานขนาดนี้ ถึงกับล้มตัวลงนอนหลังป้ายจุดชมวิวเลยล่ะค่ะ คือมันง่วง มันเพลีย แต่มาไกลถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องไปต่อค่ะ

เจอรถคันนี้ เป็นรถสองแถวจากปายไปแม่ฮ่องสอน เลยแอบถามราคาเค้ามา เค้าบอกว่า จากปายไปแม่ฮ่องสอนก็ 100 บาทค่ะ ในที่สุดก็ถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนค่ะ เราถึงกับนับเลขหลักกิโลมาตลอดทางเลย จริงๆจะไม่เข้ามาในตัวเมืองก็ได้นะคะ เพราะว่าทางเข้าปางอุ๋งจะอยู่ถึงก่อนตัวเมืองค่ะ แต่ที่เราเข้ามาตัวเมืองก่อน ก็เพราะมาแม่ฮ่องสอนทั้งที จะพลาดที่นี่ได้ยังไงล่ะค่ะ พระธาตุดอยกองมู พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน แวะมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อนค่ะ

บางคนอาจจะแปลกใจว่าทำไมที่กระถางดอกไม้บูชาเค้าถึงมีไม้มาให้ นั่นเป็นเพราะว่า ที่นี่เค้ามีความเชื่อเรื่องการค้ำจุนชีวิต เค้าเลยให้ไม้มาพร้อมกับดอกไม้บูชา ซึ่งเวลาจะบูชา เราก็ต้องนำดอกไม้ไปวางไว้ตรงฐานของพระธาตุ ซึ่งจะมีพระประจำวันเกิดทั้งเจ็ดวันอยู่ พร้อมทั้งเอาไม้ไปวางไว้ตรงนั้นด้วยเพื่อเป็นการค้ำชูชีวิต

หลังจากที่เราสักการะพระธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดินออกมาอิกฝั่งอ้อมมาทางด้านหลัง ก็จะเป็นร้านกาแฟนะคะ แค่ชื่อร้านก็สวยงามละคะ ร้านนี้ชื่อว่า ก่อนตะวันลับแนวเหลี่ยมภูผา (Before Sunset Coffee)

แล้ววิวก็อลังการสมชื่อ ถ้าได้มาตอนเย็นๆรอดูพระอาทิตย์ตกคงจะสวยมากๆ แต่ตอนเราไปถึงตรงระเบียงจุดชมวิวของร้าน ย้อนแสงพอดี

ร้านนี้จุดถ่ายรูปก็เยอะพอสมควรนะคะ ไปนั่งชิลๆได้สบายๆเลยค่ะ ลงมาจากพระธาตุ ก็จะพบกับ อนุสาวรีย์พระยาสิงหนาทราชา

พระยาสิงหนาทราชา เดิมชื่อ ชานกะเล มีเชื้อสายเป็นคนไตหรือชาวไทยใหญ่ เกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2369 ที่เมืองจ๋าม รัฐฉาน ประเทศพม่า ต่อมาในปีพ.ศ. 2399 เกิดเหตุการณ์สู้รบขึ้นในรัฐฉาน นายชานกะเลจึงอพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านปางหมูโดยอาศัยอยู่กับพะก่าหม่อง ด้วยความที่ชานกะเลเป็นคนขยัน กล้าหาญ ฉลาด อดทน และซื่อสัตย์ จึงได้ช่วยพะก่าหม่องทำงานเป็นอย่างดีจนพะก่าหม่องรักใคร่เหมือนบุตรและยกบุตรสาวชื่อนางใสให้เป็นภรรยา จากนั้นชานกะเลอพยพครอบครัวและได้รวบรวมผู้คนไปตั้งหมู่บ้านขึ้นชื่อว่า “บ้านกุ๋นยวม” (อำเภอขุนยวมในปัจจุบัน) ชาวบ้านเห็นชานกะเลเป็นคนดี มีความสามารถและมีลักษณะเป็นผู้นำจึงยกย่องให้เป็น นายบ้านกุ๋นยวม ต่อมาบ้านกุ๋นยวมได้ถูกยกขึ้นเป็นเมือง ชานกะเลจึงได้รับการสถาปานาเป็นเจ้าเมืองกุ๋นยวมเป็นคนแรก ชานกะเลปกครองเมืองและสร้างความเจริญรุ่งเรืองเป็นเวลา 8 ปี จวบจนปี พ.ศ. 2417 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองแม่ฮ่องสอน และพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าครองนครเชียงใหม่ ได้ยกบรรดาศักดิ์ชานกะเล เป็นพระยาสิงหนาทราชาและแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก พระยาสิงหนาทราชาครองเมืองจนถึงปี พ.ศ. 2427 รวมเวลาได้ 10ปี ก็ถึงแก่อสัญกรรม สิริอายุรวมได้ 58 ปี

ในที่สุดที่ที่เราลอยคอ หรือรอคอยก็มาถึง “ปางอุ๋ง” เราต้องขี่เข้ามาทางหมู่บ้านรวมไทยนะคะไม่ใช่รักไทย เห็นบางคนสับสนกันเยอะ ตอนที่เราไปเข้าได้เลยนะคะ ไม่ต้องไปแลกบัตรที่ศูนย์ศิลปาชีพ หรือถ้าปลาแล้วค่ะ เข้าออกพื้นที่ได้ระหว่างเวลา 09.00 – 18.00 น.ยังไงก็ควรเข้าไปก่อนจะเย็นนะคะ เพราะถ้ามืดแล้วทางจะอันตรายมาก ถนนทางขึ้นตรงช่วงทางเข้าหมู่บ้าน แคบมาก รถยนต์สวนแทบไม่ได้ค่ะ อยากจะบอกว่ามาถึงแล้วลืมความเหนื่อยที่ผ่านมาแทบจะหมดสิ้น มันตื่นเต้นกับความสวยของบรรยากาศตรงหน้า ใครจะไปเชื่อว่าจังหวัดที่เราไม่เคยคิดจะมา มันจะมีอะไรซ่อนอยู่มากมายขนาดนี้ ที่นี่มีสัญยานโทรศัพท์นะคะ แถมมี 3G เต็มเปี่ยม ของดีแทคนะคะ ค่ายอื่นเงียบกริบค่ะ

ส่วนเรื่องที่พักก็จะมีทั้ง โฮมสเตย์ของชาวบ้าน ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านรวมไทย ราคาก็มีตั้งแต่ 400-2500 บาท
เช่นโฮมสเตย์ลุงปาละ โทรศัพท์ 08 2766 7455, 08 3571 6668 
นายฉิ่งโฮมสเตย์ โทรศัพท์ 08 0677 9169, 08 3581 4224 
ลุงจายโฮมสเตย์ โทรศัพท์ 08 9552 4520

บ้านพักของโครงการพระราชดำริ ปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) จำนวน 5 หลัง และมีพื้นที่กางเต็นท์ 50 หลังต่อวัน ติดต่อในวัน-เวลาราชการได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08 7661 8594, 08 0847 8456 ในส่วนนี้จะอยู่ในการดูแลของกรมป่าไม้ค่ะ รวมไทยเกสต์เฮ้าส์ บ้านพักริมทะเลสาบ จำนวน 10 กว่าหลัง ราคา 450-850 บาท ติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 05361 1244 ในส่วนนี้จะอยู่บริเวณสันเขื่อนด้านนอกค่ะ

โฮมเสตย์ของชาวบ้านที่ตั้งอยู่บริเวณก่อนทางเข้าค่ะ มีทั้งร้านกาแฟ ร้านหมูกะทะ

ตรงนี้จะเป็นด่านที่ตั้งอยู่ก่อนจะเข้าส่วนพื้นที่ดูแลของกรมป่าไม้นะคะ เค้าจะให้ลงชื่อแล้ว ไม่เสียค่าเข้านะคะ แต่ใครจะช่วยเท่าไหร่ก็ได้ค่ะ เงินส่วนนี้จะไว้ใช้ดูแลและปรบปรุงพื้นที่บริเวณนี้ค่ะ

ตรงนี่จะเป็นจุดที่สามารถจอดรถได้ค่ะ แล้วก็จะมีร้านค้าอยู๋ มาถึงเราก็รีบไปติดต่อเรื่องจองเต๊นท์เลยค่ะ เพราะไม่ได้แบกเต๊นท์มาเอง

แท่นแถ๊นนนน.. คืนนี้เราได้นอนตรงนี้ค่า ราคาเต๊นท์สีม่วงอยู่ที่ 350 นอนได้ประมาณ 3 คน แต่เรานอนคนเดียวค่ะ ฮ่าๆๆ ส่วนเต๊นท์เล็กข้างๆจะอยู่ที่ 150 บาทค่ะ นอนได้คนเดียว

ถัดเต๊นท์เราไปหน่อยก็จะเป็นสะพานไม้ที่ยื่นออกไป แลนด์มาร์คที่ใครๆหลายคนต้องมาถ่ายรูปนะคะ

เอาของมาเก็บที่เต๊นท์เรียบร้อย ออกไปถ่ายรูตรงสันเขื่อนกันดีกว่าค่ะ พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว แสงกำลังสวยเลยยยย

เจอหงส์ดำคู่นี้ พาลูกใส่หลังมาด้วย น่ารักมากๆเลยค่ะ

ตรงส่วนนี้ก็จะเป็นบริเวณบ้านพักค่ะ เดินลงไปอีกหน่อยก็จะเป็นจุดขึ้น-ลงแพไม้ไผ่ สำหรับใครที่อยากนั่งแพตอนเย็นก็ได้นะคะ แต่เราเก็บไว้นั่งตะลุยหมอกตอนเช้าดีกว่า ฟ้าใกล้มืดแล้วอากาศเริ่มเย็นละคะ ต้องรีบไปอาบน้ำก่อน ใครมาขอบอกเลยว่าควรรีบอาบน้ำก่อนจะมืดนะคะ เพราะน้ำที่นี่เย็นพอกับน้ำในช่องฟรีซเลยค่ะ แล้วไฟที่ห้องน้ำก็มีน้อย ค่อนข้างจะมืด บรึ๋ยๆนิดนึงค่ะ ยืนทำใจอยู่ตั้งนานกว่าจะอาบได้ ฮ่าๆๆ มืดแล้ว มืดแล้วของที่นี่คือมืดจริงๆค่ะ มีแค่ไฟจากส่วนที่เป็นร้านค้าอยู่ไกลๆ แล้วก็มีแค่แสงไฟจากตะเกียงของเต๊นท์อื่นๆบ้าง

อาบน้ำแล้ว ฟ้าก็มืดแล้ว ก็หิวแล้วสิ่คะ เมนูเด็ดของที่นี่ ก็น่าจะเป็นหมูกะทะ นี่แหละค่ะ เด็ดรึปล่าวไม่รู้ รู้แต่ว่าบรรยากาศมันเด็ดค่ะ แล้วมันก็เป็นหมูกะทะที่อร่อยที่สุดเท่าที่เราเคยกินมาเลยก็ว่าได้ นั่งบนดิน ตามองดาว ปากเคี้ยวหมูกะทะ กับอากาศแบบนี้ อุณหภูมิแบบนี้ ฟินจริงๆ ต้องไปลองค่ะ

กินเสร็จแล้วอย่าเพิ่งเก็บเตาค่ะ

ใช้วัสดุอุปรณ์ที่เหลือให้เป็นประโยชน์ก่อน ถ่านก็เหลืออีกเพียบ นั่งผิงไฟ ดูดาว เคล้าน้ำค้าง ฮ่าๆๆ (นี่เพื่อนร่วมกะทะเราเองค่ะ หาได้แถวๆข้างทาง) อีกอย่างที่พีคสุดๆในค่ำคืนนี้ก็คงจะเป็น แสงจันทร์กับแสงดาวบนฟ้านี่หละค่ะ

สวยจนบอกไม่ถูก และเยอะจนนับไม่ไหวบ้านเราอยู่ต่างจังหวัดเหมือนกัน ชอบนั่งดูดาวเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ดาวที่เราเคยเห็นมันไม่ใช่แบบนี้ มันบอกไม่ถูกจริงๆ มันยิบยับเจ็มฟ้าไปหมด ถึงแม้จะมีแสงจากดวงจันทร์ส่องสว่างอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจทำให้แสงจากดวงดาวสว่างน้อยลงเลย นั่งถ่ายรูปดาว รูปท้องฟ้าอยู่เป็นชั่วโมงๆจนอยู่ไม่ไหว อากาศเย็น และน้ำค้างแรงมากจริงๆ เต๊นท์กับฟรายชีท ก็ช่วยได้น้อยนิด

สำหรับคนที่อยากมานอนเต๊นท์นะคะ เราว่ายอมเหนื่อยแบกเต๊นท์มาเองดีกว่าค่ะ มันน่าจะคุณภาพกว่า เต๊นท์ที่เรานอน นอนได้สามคน มีผ้าห่มให้สามผืน มันก็น่าจะอุ่นดีนะคะ แต่ไม่ใช่เลยค่ะ เรานอนใส่เสื้อสามชั้น กางเกงสองชั้น หมวกอิก ผ้าพันคออิก เพราะลมมันเข้าตามตาข่ายข้างล่างเต๊นท์ค่ะ แล้วน้ำค้างก็แรงจนมันชื้นไปหมด ทั้งข้างในข้างนอก แต่ด้วยความเพลียจากการแว๊นมาแปดเก้าชั่วโมง และอิ่ม หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนไปตามระเบียบ

รุ่งอรุณ. ตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ตีห้า กลัวไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นกับแสงตอนเช้า แต่จริงๆคือพระอาทิตย์ที่นี่ก็ตื่นสายค่ะ กว่าจะขึ้นก็ปาไปหกเจ็ดโมงเช้า

ล้างหน้า แปรงฟันเรียบร้อย จะให้อาบน้ำเหรอ! ฝันไปเถอะ

แอบแปลกใจอยู่เหมือนกัน ว่านางไม่หนาวเหรอเจ้าหงส์ ถ้าลงไปจะเย็นจนขาชามั้ยนะ เพราะอุณหภูมิตอนนี้ ก็แค่ 9 องศาเองนะ

ตอนเช้าๆที่นี่จะมีพระจากในหมู่บ้านเข้ามาบิณฑบาตรนะคะ ก็จะมีชาวบ้านบางส่วนเอาของใส่บาตรเป็นชุดๆเดินมาขายให้ถึงเต๊นท์เลยค่ะ ชุดใส่บาตร ชุดละ 40 บาท พระท่านจะมารอบิณฑบาตรอยู่บริเวณแถวๆที่จอดรถค่ะ จะมาตั้งแต่ประมาณหกโมงเช้า

ใส่บาตรเสร็จก็ไปนั่งแพกันเถอะ

ขึ้นจากแพแล้วไปแชะรูปรับแสงเช้าบนสันเขื่อนหน่อยค่ะ

แลนด์มาร์คอีกที่นึงของที่นี่ ต้องมาถ่ายมุมนี้ให้ได้สิ่นะ ไม่แน่ใจว่าเป็นศาลาหรือบ้านพักอะไร แต่เหมือนจะไม่ได้ใช้นานแล้ว

ทั้งที่ที่นี่มีต้นสนอยู่มากมาย แต่นี่กลับเป็นลูกสนลูกแรกที่เราเจอแบบสมบูรณ์ ไม่รู้หายไปไหนหมด แต่มีคนบอกเราว่า เค้าก็เก็บกลับบ้านกันไปหมดแล้วน่ะสิ่ ฮ่าๆๆ

มุมมหาชน ขอแชะมุมนี้ซะหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง วันที่เราเป็นเป็นวันธรรมดานะคะ ตอนกลางคืนก็มีเต๊นท์อยู่แค่ไม่เกิน 20 หลัง คนน้อยพอสมควรค่ะ เก็บของใส่กระเป๋า โบกมือ บ๊าย บาย ปางอุ๋ง แล้วพบกันใหม่นะ ออกจากปางอุ๋งเราจะไปทานอาหารเช้ากันที่บ้านรักไทยค่ะ บ้านรักไทยอยู่ห่างจากปางอุ๋งประมาณ 12 กิโลเมตร ติดกับประเทศพม่า

ส่วนที่เป็นที่พักของลีไวน์รักไทย เค้าอนุญาติให้เค้ามาถ่ายรูปรอบๆได้นะคะ ถ้ามาเช้ากว่านี้คงจะสวยมากๆเลยค่ะ

อันนี้จะเป็นชาหอมพันปี ดื่มฟรีนะครับผมมมม.

ที่เห็นทั้งสามเหยือกนี่ก็ฟรีค่ะ เค้าชงมาให้ชิม เราชอบชายอดน้ำค้างค่ะ หอมมาก ดื่มง่าย ไม่ขม

ขาหมูยูนาน หมั่นโถวนึง เห็ดหอมทอดซีอิ๊ว อยากจะบอกว่าหมั่นโถวนี่ตัดกำลังมากค่ะ แค่สองลุกอิ่มฝุดๆ

ส่วนด้านนี้จะเป็นในส่วนของร้านกาแฟ มีโปสเตอร์ขายด้วยนะคะ มีตู้สามารถหย่อนได้เลยที่หน้าร้านค่ะ น้ำตกตาดผาเสื่อ น้ำตกที่ไม่มีน้ำ ฮ่าๆ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าหน้าฝนน้ำจะเยอะกว่านี้มาก มีฝรั่งมาปีนน้ำตกด้วยค่ะ เห็นอยู่ไกลๆ เราแค่เดินลงไปถ่ายรูปอย่างเดียว ข้างล่างเป็นโขดหินลึกๆ อันตรายพอสมมควรค่ะ

ภูโคลน ภูโคลน จ.แม่ฮ่องสอน มีปริมาณแร่ธาตุซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผิวหนังและระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์ ใกล้เคียงกับปริมาณแร่ธาตุของ “โคลนจากทะเลสาบมรณะ (Dead Sea Mud)” อัตรค่าบริการในแต่ละบริการก็แตกต่างกันไปนะคะ ของเราเวลาน้อย เลยแช่เท้าแค่อย่างเดียว 20 บาท แช่ได้ 15 นาทีค่ะ

บอโคลนค่ะ เราเห็นเดินปุดๆตลอดเวลาเลย ด้านข้างเขียนไว้ว่า อุณภูมิภายในบ่อ 70 องศา แล้วก็มีกลิ่นแปลกๆ น่าจะเป็นกลิ่นกำมะถัน แล้วไปต่อกันที่ ซูตองเป้ สะพานไม้แห่งศรัทธาตั้งอยู่ที่บ้านกุงไม้สัก ห่างจากตัวเมืองประมาณ 8 กม. ซูตองเป้ เป็นภาษาไทใหญ่แปลว่า อธิษฐานสำเร็จ ซึ่งมีความเชื่อกันว่า หากได้มายืนอยู่กลางสะพานแล้วอธิษฐานขอความ ความสำเร็จใดๆ ก็จะพบกับความสมหวัง เหตุผลที่เรียกว่าสะพานไม้แห่งศรัทธานั้นก็เพราะ การร่วมแรงร่วมใจของพระภิกษุสงฆ์และชาวบ้านกุงไม้สัก ที่ต่างก็ช่วยกันลงแรงสานพื้นสะพานด้วยไม้ไผ่ทอดยาว ไปบนที่นาของเจ้าของที่อุทิศผืนนาถวาย โดยสร้างเพื่อเชื่อมต่อระหว่างสวนธรรมภูสมะและหมู่บ้านกุงไม้สัก ข้ามผ่านทุ่งนา และแม่น้ำสายเล็กๆ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์และชาวบ้านที่อยู่อีกฝั่งได้ใช้สัญจรไป มาระหว่างหมู่บ้านได้สะดวกยิ่งขึ้น  

จากที่เมื่อเช้า 10 องศา ดูแดดตอนนี้สิ่ค่ะ อากาศสวิงมากค่ะแม่ฮ่องสอน เสื้อสามชันที่ใส่มาถอดแทบไม่ทันเลย อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา จอดรถด้านหน้าแล้วเดินเข้าไปประมาณ 500 เมตรค่ะ

จุดชำระค่าบริการ ถ้าจำไม่ผิด 20 บาท/คน

ด้านหน้าจะมีอาหารปลาขายค่ะ จะเป็นผัก ปลาที่นี่รักสุขภาพชอบกินผักค่ะ

หยิบออกมาเจอไอ้ตัวนี้ตกกะใจเลย แมลงสาบรึปล่าว ฮ่าๆๆ

ข้างล่างก็มีปลานะคะ ตัวบะเริ่มเลย

กราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลค่ะ ป้าที่ขายผักบอกว่าเป็นฤๅษีเจ้าของถ้ำแห่งนี้

ตรงนี้ใกล้ชิดสนิทสนมสุดๆ แทบจะโดดขึ้นมาแง่มมือเราแล้วววว

ออกจากถ้ำปลาเราก็จะไปแวะที่บ้านจ่าโบ่กันค่ะ

ขี่ย้อนกลับไปทางอำเภอปายเหมือนเดิม เพราะว่าคืนนี้เราจะไปพักกันที่ปายอีก 1 คืนค่ะ

แวะพักรถพักคนกันซักหน่อยค่ะ เมื่อยมากๆ จุดชมวิวตรงนี้ก็สวยดีเหมือนกันนะคะ มีร้านกาแฟเล็กๆอยู่ด้วย ไปต่อกันเลยค่ะ..

คือเห็นทางละแบบว่า แบบว่า… เอิ่มมมมมม… ทางโหดฝุดๆ เป็นแบบนี้อยู่ประมาณ 2-3 ช่วงถนนค่ะ  แล้วก็เป็นทางขึ้นเขาตลอด

ที่นี่มีปั๊มหลอดค่ะ แวะเติมน้ำมันก่อน เดี๋ยวจะได้ขี่กลับปายยาวๆเลย

ทะ แด๊นนนนนน… ร้านปิดค่ะ แต่ไม่เป็นไร วิวสวยๆไม่ปิดค่ะ

ก็สวยงามตามท้องเรื่องค่ะ ก๋วยเตี๋ยวอร่อยป่าวไม่รู้อดกิน..

อยู่ดีๆนางก็เข้ามาเล่นด้วยอย่างกับว่ารู้จักมานานแสนนาน สวัสดีมิตรภาพต่างถิ่น ไปเจอกันต่อที่ปายนะคะ  ขอยกปายไปไว้อีกกระทู้นึงเดี๋ยวกระทู้นี้จะยาวเกินไป เดี๋ยวจะสรุปค่าใช้จ่ายในส่วนของเชียงใหม่-ปางอุ่ง ไว้ให้ก่อนค่ะ

สรุปค่าใช้จ่ายในทริปนี้

ค่ารถทัวร์นครชัยแอร์ — 584 
ค่าเช่ารถมอไซค์ — 900 ( 3 วัน )
เติมน้ำมันครั้งที่ 1 — 50
ค่าถุงมือ — 19
ค่าโจ๊ก โอวัลติน — 43
ร้านกาแฟแม่มด — นมสดร้อน 40/พายสตรอเบอรี่ 15
ค่าข้าว ต้มเลือดหมู — 50
ค่าเสื้อกันลม — 250
เติมน้ำมันครั้งที่ 2 ที่ปางมะผ้า — 70
ค่ากาแฟบนพระธาตุดอยกองมู — 45
ค่าเข้าปางอุ๋ง — เท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่เรา
ค่าเช่าเต๊นท์ — 350
ค่าหมูกะทะ — 300/ชุด
ค่าชาร์จแบต — 20/เครื่อง (ฝากชาร์จได้ที่ ร้านค้าที่ขายหมูกะทะ)
ชุดใส่บาตร — 40
เติมน้ำมันครั้งที่ 3 — 50
ค่าอาหารที่บ้านรักไทย — ประมาณ 500 กว่าบาท
ค่าโปสการ์ด — 20/ใบ
ค่าแช่เท้าภูโคลน — 20
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติถ้ำปลา — 40/คน
ค่าอาหารปลา — 20/ถุง แต่ 3 ถุง 50 บาทค่ะ
เติมน้ำมันครั้งที่ 4 — 50

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทริปการเดินทาง ข้อมูลเแน่นๆ ภาพสวยๆ
จากสมาชิกพันทิปคุณเจ้าหญิงหมวกฟาง

 


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ