ดอยผ้าห่มปก เดินทางสู่ความสูง 2,285 เมตร ชมทะเลหมอก ณ จุดกางเต็นท์สูงที่สุดของประเทศไทย
84,114 ครั้ง
8 ม.ค. 2560
84,114 ครั้ง
8 ม.ค. 2560
ดอยผ้าห่มปก หรือชื่อใหม่คือ ดอยฟ้าห่มปก อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ณ จุดกางเต็นท์ ที่สูงสุดในประเทศไทย ความสูง 1,924 เมตร ตอนเช้าตรู่เดินป่า 3.5กิโลเมตร เพื่อขึ้นสู่ยอดดอยผ้าห่มปก ชมทะเลหมอก,พระอาทิตย์ขึ้น ที่ความสูง 2,285 เมตร รีวิวเราเดินทางวันที่ 17-18 ธค. 2559 ใช้ระยะเวลาเพียง 2.00-2.30 ชม. ในการเดินเท้าจากจุดกางเต็นท์ วันนั้นอากาศที่โชว์ในแอพโทรศัพท์คือ 6 องศา อากาศที่เทอร์โมมิเตอร์ ณ จุดกางเต๊นท์ ราวๆ 11 องศา ทริปนี้ผมกับเพื่อน รวม 5คน เจอน้องๆระหว่างทาง มาร่วมแชร์ค่ารถ 4wd อีก 3 คน เป็น 8 คนพอดี
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดดังนี้
รถทัวร์หมอชิต – เชียงใหม่ ไป/กลับ = 1,188 บาท
ค่ารถแดงเชียงใหม่ไปท่ารถช้างเผือก = 40 บาท ไป/กลับ
ค่ารถบัสท่ารถช้างเผือก = ฝาง 160 บาท ไป/กลับ
**ค่ารถ 4wd จากตัวเมืองฝาง แวะบ่อน้ำพุร้อนฝาง – อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก = 2100บาท/กลุ่ม
แต่ถ้าจอดรถที่น้ำพุฝาง แล้วเช่ารถ 4wd ไปอุทยาน จะคิดที่ราคา = 1800/กลุ่ม
กลุ่มผม 8 คน ตกคนละ = 262.3บาท ราคานี้รวมขากลับ ส่งที่ท่ารถฝาง**
ค่าเช่าเต็นท์ หลังละ 225 บาท นอนได้ 3 คน ทั้งหมด 2 หลัง – 450 หาร 5 = 90บาท/คน
ค่าเช่าถุงนอน 30 บาท ค่าที่รองนอน 20 บาท = 50บาท/คน
ค่ามาม่าคัพมื้อกลางวันคนละ = 20 บาท
ค่าไกด์เดินขึ้นดอย 38บาทต่อคน (300บาท/8)
ค่าหมูจุ่ม = 100 บาท (500 บาท /5คน)
แคปหมู 2 ถุง = 20 บาท
น้ำเปล่า น้ำอัดลม รวมๆ = 35 บาท ต่อคน
ค่ามันปิ้ง40 ค่าเช่าเตา 50 ซื้อถ่านเพิ่ม 20 = 22 บาท (110/5)
ค่าอาหารกลางวัน = 50บาท/คน
บริจาคค่าไฟ เพื่อชาร์จมือถือ = 20 บาท
รวมทั้งหมด ไม่เกิน 2400 บาท/คน ไม่นับข้าวเย็นซึ่งแยกกันจ่ายตามความมีจะกินในเมืองเชียงใหม่
สิ่งที่ต้องเตรียมไป
– *เช่ารถ 4Wd เพื่อขึ้นดอยผ้าห่มปกเท่านั้น รถเก๋งธรรมดาห้ามขึ้น*
สามารถติดต่อได้ที่ บ่อน้ำพุร้อน อ.ฝาง หรือติดต่อรถ 4WD ก่อนจะเข้าอ.ฝาง เพื่อมารับในจุดตามที่ตกลง (ข้อมูลอยู่คห.1)
– ไฟฉาย (ในกรณีที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น) ทางเดินมืดมากมีลื่นแน่นอน บางจุดเป็นเนินชันมากๆ แนะนำว่าไฟฉายควรเปิดได้นานเกิน 2ชม.
– รองเท้า ผมใส่รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่ง มีลื่นบ้างตามเส้นทางประมาณ 10% ผมล้มไปหนึ่งที ตอนขากลับ เพราะสว่างแล้วเลยเดินไม่ระวัง
– กางเกงขายาว ไม่มีทาก ไม่เจอยุง แต่กิ่งไม้และมีตอไม้อยู่ริมทางเดิน อาจเกิดการขีดข่วนได้
– เสื้อกันหนาว หมวกกันน้ำค้าง ตามอัธยาศัย ตอนเดินขึ้นไม่หนาว ถ้าเอาขึ้นไปเยอะขากลับจะร้อนได้
– คนไม่ค่อยออกกำลังกาย – เดินไหวแค่ใจพร้อม ,แต่ล้มเลิกกลางทางก็มี
– คนออกกำลังกายอยู่บ้าง / เป็นประจำ – สบายๆครับ เมื่อยนิดๆ
– พกน้ำไปด้วยตอนขึ้นไป แต่เชื่อว่าไม่หิวกันมาก อากาศชื้นและเย็น ทำให้จิบน้ำกันคนละครึ่งขวดเอง (ขวด7-8บาท)
– พกช็อคโกแลต อาหารทานเล่นได้ตามปกติ แต่ต้องถือขยะกลับลงมาด้วยนะครับ
– ปลั๊กพ่วงเพื่อชาร์จอุปกรณ์ อุทยานจะให้ใช้ไฟฟ้าได้แค่ตอนช่วงเวลา 18.00-20.00น. เท่านั้น จากกนั้นจะปิดไฟจนมืด
– สัญญาณโทรศัพท์ จากปากคำเพื่อนในกลุ่ม AIS มีสัญญาณ2ขีด
DTAC ผมใช้อยู่ มีประมาณ 1 ขีด มาๆหายๆ คล้ายๆสายลม เช่นเดียวกับ True
– แนะนำว่าถ้าไม่ได้คิดจะใช้เน็ต เปิด Airplane mode ไปก่อนเลยครับ จะได้ไม่เปลืองแบตสำหรับการค้นหาสัญญาณ
อุปกรณ์ ถ่ายรูปในกระทู้ : Fuji XT10/Samyang 12mm,Fujinon 35mm f1.4,Fujinon 50-230mm/Gopro 5/Iphone 6
วันเดินทางวันแรก หัวค่ำของวันที่ 16 ธค.
– เราออกจาก กทม.ที่หมอชิต กันเวลา 20.55น. (นครชัย)
– ส่วนผมรถออก 21.30 (ลิกไนท์ทัวร์ เพราะไม่ได้จองพร้อมกับเพื่อน)
ปรากฏว่าลิกไนท์ถึง อาเขต 3 จ.เชียงใหม่ ก่อนนครชัยแอร์ ที่เวลา 05.55 ในเช้าตรู่วันเสาร์ (เร็วกว่าเกือบ ครึ่งชม.)ส่วนแก๊งนครชัยตามมาทีหลัง ตอนเวลา 06.20น. (ลิกไนท์แวะจอดทานข้าว 20นาที – นครชัยวิ่งตลอดไม่พักแวะทานข้าว) นั่งรถแดงจากอาเขต 2 ฝั่งนครชัยแอร์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน ไปที่ท่ารถช้างเผือก คนละ 20 บาท ใช้เวลาไม่นานประมาณ 12-15 นาที
ไปเคาน์เตอร์ ซื้อตั๋วรถบัสเพื่อขึ้นรถไป อ.ฝาง ตรงนี้ควรดูเวลารถออกและรีบขึ้นไปนั่งที่นั่งตามเลขนะครับ พวกผมรีบขึ้นรถ ไม่มีเวลากินข้าวเพราะไปถึงรถก็เกือบจะออกพอดี โชคดีมากไม่งั้นต้องรออีก 1.40 ชม. เลยทีเดียว
เวลารถตามรูปเลยครับ ผมแคปมาจาก Gopro 5 อีกที ไม่ชัดเท่าไหร่ ตอนนั้นยังเช้าอยู่แสงน้อย ฟ้าเมฆเยอะ การเดินทางไปอ.ฝาง จะใช้เวลา 3 ชม. ก่อนจะลงนี่เอง ที่ได้เพื่อนร่วมทางไปขึ้นดอยกันด้วยอีก 3 คน ผมก็นัดแนะกับรถตู้ว่าให้มารับที่จุดที่เรานัดแนะกันไว้ ของผมคือ 7-11 อ.ฝาง ครับ เลยได้สมาชิกรวม 8 คนพอดี เป็นลิมิตที่ลงตัวไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม ในราคา 2100 รวมค่าส่งไปกลับ และแวะบ่อน้ำพุร้อน 1 ครั้ง (แต่ถ้าให้รถไปรับที่บ่อน้ำพุร้อนฝางจะเสียเพียง 1800/กลุ่ม) ลืมถ่ายรูปรถตอนมารับ แต่เรานั่งคันนี้ไปครับ น้องสมนึกเป็นคนขับ
เบอร์ติดต่อจองรถ 0854475810 Id line : tee4x4 คุณที คุณที ค่อนข้างให้ข้อมูลรายละเอียดการเดินทาง และให้คำปรึกษาก่อนการเดินทางได้ดีทีเดียวเลยครับ รถเข้าอุทยานถ้าไม่ใช่ รถ4wd หรือรถยกสูงขึ้นมา อุทยานจะไม่ให้เข้าเด็ดขาด เพราะถนนข้างหน้ามีหลุมดิน หิน และทางไม่เรียบอยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่มอเตอร์ไซค์สามารถขึ้นได้นะครับ ขากลับผมเจอ มอเตอร์ไซค์ msx 125cc ขึ้นมาสองคันพร้อมคนซ้อน มาประมาณกลางทางด้วย แถมตอนขามา ใกล้จะถึงยอด เจอเวสป้า(รุ่นใหม่ๆนะ) กำลังขี่ลงพร้อมคนซ้อนอีกตะห่าง เก่งกันมากๆ
อากาศข้างล่างยังไม่หนาวมาก แต่ขณะกำลังขึ้นไปบนยอดก็เริ่มเห็นไอหมอกปกคลุมป่าไปเรื่อย อุณหภูมิก็เริ่มลดต่ำลงเรื่อยๆ ช่วงนี้กลุ่มผมเริ่มดี๊ด๊าที่ได้สัมผัสทั้งไอหมอกและดื่มด่ำกับความสวยงามของป่า
การเดินที่เต็มไปด้วยหมอกต้องระมัดระวังอย่างมาก ถ้ารถยนต์ไม่เปิดไฟหน้า อาจจะมีจ๊ะเอ๋กันในระยะที่ใกล้เกินไปก็ได้
เมื่อถึงยอดดอยก็จะพบกลุ่มกางเต๊นท์ และเหล่ารถกระบะที่ขึ้นมากันก่อนแล้ว
ส่วนเต๊นท์ของอุทยานเองจะกางเอาไว้อยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลากางครับ
บนดอยกิ่วลมนี้ก็ยังมีหมอกปกคลุมไปทั่ว อุณหภูมิ น่าจะราว 15-18 องศา และเริ่มมีฝนพรำๆ ให้ชุ่มชื้นขึ้นเล็กน้อย เป็นสัญญาณที่ดีในการเจอหมอกของเราครับ
พอมาถึงเราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ของอุทยาน ผมยื่นใบจองเต๊นท์ที่เคยจองผ่านออนไลน์เอาไว้ //แล้วจ่ายที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย (+เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท)
ในเว็บค่าผ้าห่มอยู่ที่ 10บาท แต่พอมาจริง ค่าผ้าห่ม60บาทครับ เป็นแบบชุดเครื่องนอนตามห้าง จากนั้นก็ได้ของที่จองมาครบ ถุงนอน,ที่รองนอน / ถุงนอนไม่มีหมอนในตัวนะครับ หาเสื้อผ้ามาหนุนนอนเอาละกัน
ขึ้นดอยมาหิวมาก มีร้านอาหาร ที่ขายอาหาร ขนม และของใช้ อยู่ที่นี่ด้วย (มีเบียร์กระป๋องแช่เย็น และน้ำอัดลมแช่เย็นขายด้วยครับ)
เราก็จัดมาม่ามากินกันที่ศาลาชมวิว คนละกระป๋อง (20บาท) นี่เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยกินมาม่าเลยจริงๆ
เจ้าหน้าที่จะมีถุงดำมาให้ 1 ถุง สำหรับ 1กลุ่ม เอาไว้ทิ้งขยะตอนอยู่ข้างบนอุทยาน และวันกลับเราก็แค่ถือกลับไปด้วยครับ ก็จะได้เงินค่ามัดจำขยะคืน (ตอนทางเข้าอุทยานมีเก็บค่ามัดจำขยะ 100 บาท)
บนดอยกิ่วลมนี้มีห้องน้ำอยู่ 2 จุด ข้างบนอยู่ข้างที่ทำการของอุทยาน หาไม่ยาก ส่วนด้านล่างต้องเดินลงไปอีก มีห้องอาบน้ำที่ไม่ค่อยมีคนอาบ อย่างคำเขาว่า “เพราะจิตใจสะอาด น้ำที่อาบจึงไม่จำเป็น” พอเวลาเริ่มเย็นลง หมอกที่ปกคลุมอุทยานก็เริ่มจางหาย เผยให้เห็นทิวทัศน์ที่เราเฝ้ารอ เราเริ่มเห็นปุยหมอกสีขาวจากที่ไกลๆ และมันก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ แสงดวงอาทิตย์ ที่ลอดจากม่านเมฆลงมาเรื่อยๆที่จุดชมวิวพระอาทิตย์ตก จึงเริ่มมีคนมามุงกันเรื่อยๆ เพื่อดื่มดำบรรยากาศอันแสนสงบของที่นี่
ซูมเข้าปาย
ช่วงเวลานี้ตรงจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก คนจะเยอะมาก แต่ถ้าเล็งดีๆก็พอจะหามุมถ่ายรูปให้เพื่อนได้อยู่นะ
ช่วงนี้พระอาทิตย์หล่นจนไม่มีเมฆมาบดบังแล้ว ถ่ายภาพทำโปรไฟล์กันรัวๆเลยครับ
ในเวลานี้ ตอน 18.00น. เราสามารถเข้าไปที่สำนักงานของอุทยานเพื่อไปชาร์จไฟได้
ผมมีอุปกรณ์ที่ต้องชาร์จเยอะ จึงเอาปลั๊กพ่วงไปเอง 1 อัน สำหรับชาร์จพาวเวอร์แบงค์ โทรศัพท์ และแบตกล้อง ( เผื่อเพื่อนในกลุ่มอีก) จากนั้นก็หยอดตังค์ไป 20 บาท เพื่อเป็นค่าบริจาคแก่อุทยาน
เราก็แยกย้ายกันไปกลับเต๊นท์ทำธุระส่วนตัว ส่วนกลุ่มผมนัดกันเอาไว้แล้วว่าจะทานหมูจุ่มกัน ชุดละ 500บาท ปริมาณที่กินน้อยไปนิด สำหรับ 5 คน ส่วนคนชอบกินบุฟเฟ่ต์หนักๆ ผมว่าต้องสั่ง 1 ชุดกินแค่ 2-3 คนพอ
ข้อดีของการไปนั่งทานใกล้ร้านค้า เค้าเติมน้ำซุปได้เรื่อย เราก็เลยนั่งกันข้างร้านเลย
ถ้าคิดจะซื้ออะไรเผื่อไว้ในเต๊นท์ก็ซื้อซะตอนนี้เลยนะครับ เพราะตอนตี 4 ตอนเราตื่นมา ร้านค้าจะยังไม่เปิดบริการ เราก็เตรียมขนมอาหารเท่าที่ได้เพื่อเป็นกำลังสำรองในการเดินทางไว้ได้เลยครับ พอท้องอิ่มก็นึกขึ้นได้ว่า เห้ย ช่วงนี้ทางช้างเผือกมันจะมาต่ำๆในตอนหัวค่ำนี่นา ช่วงนั้นก็เป็นเวลา 1 ทุ่มกว่าเท่านั้นเอง ไฟอุทยานยังเปิดอยู่เยอะมากๆ แต่ก็ลองถ่ายดูก่อน
หืมอะไรแว้บๆ ย้ายที่ดูดีกว่า นะ…นั่นมัน
เป็นทางช้างเผือกแบบแอบต้นไม้ น่ารักจริงๆ คือจากบริเวณกางเต๊นท์ ผมขยับได้แค่นี้แหละครับ ทางช้างเผือกมามุมต่ำ และต้นไม้ก็มาบังวิวพอสมควร แต่ก็เป็นช้างตัวแรกที่ผมได้มาในชีวิต ดีใจมากๆ พอเวลา 20.00น. มาถึง เจ้าหน้าที่อุทยานก็เรียกให้นำอุปกรณ์ที่ชาร์จอยู่เก็บกลับไปให้เรียบร้อย ผมก็ขึ้นไปเอาอุปกรณ์ ก็ไม่มีของใดๆหาย แล้วก็มาถ่ายดาวกันต่อ รัวไปเรื่อยๆ ผมก็งมไปเรื่อยๆ ภาพเบลอบ้างดีบ้าง แต่พริบตาที่อุทยานปิดไฟทั้งหมด ผมก็ถ่ายภาพดาวได้ง่ายขึ้นทันที
ทุกคนในลางกางเต๊นท์ตื่นเต้นที่เห็นดวงดาวอย่างชัดเจนมากๆ (แต่ทางช้างเผือกมองไม่เห็นด้วยตาเปล่านะครับวันนั้น) เราก็รัวรูปกันไปอีกพักนึง ส่วนใหญ่ของผมจะเสียมากกว่าได้ แถมติดแสงจากเตาหมูกะทะ กับแสงจาไฟฉายของนักท่องเที่ยวมาในภาพอยู่พอสมควร
พี่ช้างกำลังมุดดินลงไปเรื่อยๆแล้ว
รวมแล้วเวลาเพียงราวๆ 1 ชม.กว่า ที่ผมเริ่มถ่ายดาวไปพร้อมๆกับการพูดคุยกับเพื่อนต่างกลุ่ม หมอกก็เริ่มคืบคลานเข้ามาจนบังวิวท้องฟ้าไปหมด แม้แต่ดาวก็ไม่เห็นแล้วตอนนี้ ก็เป็นเวลาที่อุทยานงดใช้เสียงพอดี (สามทุ่ม) ถึงจะเสียดายที่กดชัตเตอร์น้อยเกินไป แต่ก็พอจะมีภาพอยู่บ้าง เอาน่ะ จากนั้นก็ไปถ่ายภาพเล่นกับเพื่อนฝูงหน้าเตาถ่าน ที่เราผิงไฟกัน สนุกดีครับ (ใช้มือถือสั่งชัตเตอร์)
อากาศคืนนั้นราวๆ 11-15 องศา เสื้อกันหนาว 1 ตัว กับถุงนอนที่เช่าจากอุทยาน เอาอยู่ครับ ผ้าห่มไม่เช่าก็นอนได้สบาย ถ้าเราจ้างไกด์สำหรับเดินทางในเช้าตรู่เอาไว้ ไกด์จะมาปลุกเราตอนตี 03.30 เพื่อให้ล้างหน้าแปรงฟัน และออกเดินตอน 04.00น. (300บาท/กรุ๊ป) เพื่อเดินขึ้นยอดดอย เป็นระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2.30ชม. ก็จะขึ้นไปดูอาทิตย์ขึ้นทันเวลาพอดี ส่วนเต็นท์ผม ไกด์ตื่นสายครับ กลุ่มผมเลยเกาะไปกับกลุ่มอื่นก่อน แล้วไกด์เดินตามมาทีหลัง ตอนผ่านไปประมาณ 400ม.
เส้นทางชัน ลื่น และมืดมาก ควรมีไฟฉายอย่างยิ่ง ถ้าเดินในตอนกลางคืนแบบผม หรือในกรณีที่แย่ที่สุด ไฟฉาย1อัน ต่อคน 2-3 คนแบบเกาะกลุ่ม สำหรับคนที่ร่างกายไม่ฟิต เป็นคนไม่ออกกำลังกาย ถ้าคุณผ่าน ระยะ500ม.แรกไปได้ ช่วงม่อนวัดใจ ถือว่าคุณไหวไปต่อได้ครับ
ถึงแม้กลุ่มเราพักกันบ่อยพอสมควร ก็เดินมาถึงยอดดอยผ้าห่มปก ในเวลา 2.30ชม. พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นครับ
แต่ฝั่งตะวันออกมีแสงสีส้มมาให้เห็นรำไรแล้ว สวยงามมากๆ แถมวันที่เราขึ้นมา ท้องฟ้าเปิดโล่ง และยังมีทะเลหมอกปกคลุมดอยผ้าห่มปกแบบ 360 องศาเลยครับ งดงามมากๆ
พอช่วงพระอาทิตย์ใกล้ขึ้นผมก็เปลี่ยนฝั่งไปถ่ายด้านตะวันตกของดอยผ้าห่มปก ฝั่งนี้มีอะไรที่มากกว่าดวงอาทิตย์ขึ้น คือทะเลหมอก กับท้องฟ้าสีชมพูนั่นเอง
ถ้ามองไปฝั่งตะวันตกแบบนี้ เราจะเห็นยอดดอยอ่างขาง ที่เชื่อมต่อกับฝั่งพม่าด้วยครับ
ผมซูมไปที่จุดที่ผมสนใจ ชอบภาพนี้มากครับ อารมณ์เหมือนเกาะในมหาสมุทรที่มีทะเลล้อมรอบเลย
จุดนี้คือเทือกเขาอ่างขาง แต่เป็นฝั่งฐานทัพของพม่าครับ สังเกตุดีๆจะเห็นมีสิ่งก่อสร้างอยู่บนยอดของภาพถ่ายด้วยครับ อันนี้ผมได้ข้อมูลจาก คุณที คนดูแลเรื่องรถ 4wd ครับ หันกลับไปฝั่งตะวันออกอีกที พระอาทิตย์ขึ้นมาเต็มที่แล้ว หมอกก็เป็นปุยๆ ย้อมสีแดง สวยมากๆ
ซูมเข้าอีกรอบ
ผมชอบจังหวะพระอาทิตย์ขึ้นมาระดับนึงแบบนี้นี่แหละ ถ่ายภาพย้อนแสงสนุกดีครับ ภาพนี้ แฟนผมเดินไปสุดทางของจุดชมวิวเพื่อถ่ายรูปเล่นกัน ตรงนี้คนน้อยดี แต่ผมมารู้ตอนหลังว่าส่วนใหญ่เค้ามาปัสสาวะกันบริเวณนั้นกัน
ส่วนใหญ่แล้ว หลังจากเที่ยวดอยผ้าห่มปกเสร็จ นักท่องเที่ยวจะจ้างรถ 4wd ไปที่บ่อน้ำพุร้อนฝาง เพื่ออาบน้ำร้อนกันต่อมากกว่า แต่พวกผมไปอาบน้ำที่นั่นมากันก่อนแล้ว ก็เลยตกลงกันว่าอาบข้างบนดอยนี่แหละ
หลังจากไม่ได้อาบมา 1วันครึ่ง (อี๋ยยยยย์) ผมก็ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำ น้ำเย็นมากกก ร่างแทบขาด มารู้ทีหลังว่าอากาศ วันสองวันนี้ประมาณ 11 องศา
เราก็นัดรถ 4wd ให้มารับเรากับน้องๆ ในเวลาที่เราตกลงกัน คือ 11 โมง ช่วงนั้นก็แวะถ่ายรูปกันได้นิดหน่อย หมอกมาเป็นพักๆ สวยดีครับ
ตอนขาลงเราแวะจุดชมวิวทิวสน ถ่ายภาพหมู่ก่อนกลับ จังหวะนั้นหมอกก็มาๆหายๆ วิวก็จะมีทั้งหมอกและต้นไม้ปะปนกันไปตามช่วงเวลาที่ท่านมานะครับ
จากนั้นเราก็นั่งรถจากท่ารถฝาง ซึ่งเป็นจุดที่รถ 4wd มาส่งพวกเรา กลับไปที่ ท่ารถช้างเผือก ในตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลา 3 ชม.ครึ่ง (ตอนขากลับรถติดในตัวเมือง) แวะกินข้าว ขนมในตัวเมืองเชียงใหม่กันเล็กน้อยก่อนจะขึ้นรถกลับกรุงเทพกันครับ
– ผมนั่งลิกไนท์ทัวร์กลับเหมือนเดิม ข้อดีคือมีพอร์ต USB ให้ชาร์จโทรศัพท์กับจอแท็บเล็ตด้านหน้าเราด้วย แต่แท็บเล็ตตรงที่นั่งผมใช้ไม่ได้เลย ทั้งขาไปและกลับ
– ส่วนกลุ่มเพื่อนๆ นั่งนครชัยแอร์ขากลับ รถ Gold Class ไม่มีแม้แต่จอแท็บเล็ตครับ รถนครชัยวิ่งถึงช้ากว่าผมเหมือนเดิมประมาณ 20-30 นาที ก็ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
วันที่ผมไป 18 -19 ธค. ไม่ใช่วันหยุดยาว คนไม่เยอะ เต็นท์จองไม่ครบ นักท่องเที่ยวที่บนยอดดอยผ้าห่มปก (จุดชมวิว) น่าจะราวๆ 60-80 คน เซลฟี่ช่วงเช้าติดคนอื่นแน่นอน แต่ช่วงสายสบายๆทะเลหมอกชัดๆเลยครับ 360 องศาแทบไม่เจอใคร โดยทริปนี้เป็นทริปที่ผมได้เห็นทั้งหมอกที่ปกคลุมป่า, พระอาทิตย์ตกจากจุดกางเต็นท์, ดาวเต็มท้องฟ้า, ทะเลหมอก, พระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดดอย, ป่าเขียวขจี เรียกว่ามาแค่ 2 วันได้แต่ได้ครบทุกบรรยากาศจริงๆ เป็นทริปที่ให้ 5/5 อย่างปฏิเสธไม่ได้ ทั้งในแค่ของราคาค่าใช้จ่าย ความคุ้มค่า และความสนุกเลยครับ ดอยผ้าห่มปก ความสูง 2,285 เมตร สูงเป็นอันดับสองกับจุดกางเต็นท์กิ่วลมที่สูงที่สุดในประเทศไทย
แวะถ่ายรูปหมู่กันซักรอบ ช่วงนี้คนยังเยอะ ยืนห่างมากไม่ได้
ถ่ายรูปรัวๆกันอยู่พักใหญ่ๆ รู้ตัวอีกทีคนก็เดินลงไปกันจดแทบจะหมดดอยแล้ว ตอนนั้นเวลาประมาณ 07.40น. ก็เป็นเวลาที่ดี ที่จะเก็บภาพวิว มุมกว้างแบบไม่ติดคนแล้วครับ
อันนี้ผมเอา Gopro ถ่ายวิวรอบข้างมาให้ดูครับ เซ็นเซอร์หน้าเล็กน้อย ที่เหลือก็คือการเดินกลับที่ไม่ยากเย็นแต่ควรระมัดระวัง ถึงจะเป็นการเดินลง มันก็ยังชันและลื่นได้ แต่จะไม่หนักหนาเท่าเดิมแล้ว
ขอบคุณรีวิวดีๆ จากสมาชิกพันทิปคุณ Blue legs