ทริปนั่งรถไฟไปเกาะล้าน 2 วัน 1 คืน งบ 2,500 เที่ยวได้สบาย!
4,823 ครั้ง
6 ก.พ. 2567
4,823 ครั้ง
6 ก.พ. 2567
หยุดเมื่อไหร่ หลายคนก็จะไปทะเล และถ้าพูดถึงทะเลใกล้กรุงเทพฯ ที่เป็นจุดหมายของใครๆ ก็คงมี เกาะล้าน อยู่ในลิสต์เสมอ ด้วยความที่เดินทางง่ายและมีความสวยงามไม่แพ้ทะเลไหนๆ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าการไปเกาะล้านสามารถนั่งรถไฟไปได้ และสำหรับการเที่ยวเกาะล้านยังมีแพ็คเกจสุดคุ้มที่รวมทั้งการขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ ทำกิจกรรมกลางทะเลสนุกๆ นอนพักห้องแบบ VIP และอื่นๆ อีกเพียบ ด้วยงบแค่ 900 บาท อย่างแพ็คเกจของเกาะล้านสไมล์ด้วยนะ ว่าแล้วก็ไม่รอช้า เพราะเรามีแพลนทริปนั่งรถไฟไปเกาะล้าน 2 วัน 1 คืน งบ 2,500 เที่ยวได้สบาย! มาฝากทุกคนกัน บอกเลยว่าทริปนี้เที่ยวได้จริงแบบ 100% แน่นอน
ทริปเกาะล้านครั้งนี้ เราเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยการนั่งรถไฟ ซึ่งเส้นทางรถไฟสายภาคตะวันออกต้องมาเริ่มต้นที่สถานีรถไฟหัวลำโพง และด้วยความที่เราเดินทางในวันธรรมดา รอบรถไฟจะมีแค่วันละรอบเท่านั้นคือเวลา 06.55 น. ราคาคนละ 31 บาท (ถ้าขั้นต่ำไม่ถึง 100 บาทต้องจ่ายเงินสดนะ แต่ถ้ามากกว่านั้นสามารถสแกนจ่ายได้) รถไฟในวันธรรมดาเป็นขบวนรถแบบธรรมดา ชั้น 3 กรุงเทพฯ – จุกเสม็ด
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงก็มาถึงที่สถานีรถไฟพัทยาแล้ว (เราถึงตอน 10.49 น.)
พอถึงพักเข้าห้องน้ำกันแล้ว เราก็เดินทางกันต่อด้วยรถสองแถว ที่จะมีจอดอยู่หน้าสถานีรถไฟเลย ซึ่งค่าบริการจากสถานีรถไฟพัทยา – ท่าเรือแหลมบาลีฮายจะอยู่ที่คนละ 50 บาท (ปกติแล้วรถจะออกตอนที่มีผู้โดยสารหลายคนหน่อย)
เรานั่งรถมาถึงที่ท่าเรือแหลมบาลีฮายเกือบๆ เที่ยงพอดี เลยต้องรีบเดินไปขึ้นเรือเมล์ที่ท่าด้านในเพื่อข้ามไปยังเกาะล้าน ราคาอยู่ที่คนละ 30 บาท และที่ว้าวสุดๆ คือเดี๋ยวนี้เขารับสแกนจ่ายได้แล้วนะ
ใช้เวลานั่งประมาณ 45 นาทีก็มาถึงที่ท่าหน้าบ้านเกาะล้านแล้ว แดดแรงสะใจ บรรยากาศเหมาะกับการมาเที่ยวทะเลสุดๆ
ด้วยความที่เดินทางมาถึงเกาะล้านช่วงกลางวันพอดี เราเลยแวะกินมื้อกลางวันกันก่อนที่ร้านปูไก่ (Pookai Cafe & Restaurant) ร้านอาหารที่อยู่ตรงท่าหน้าบ้านพอดี ตัวร้านมีทั้งโซนอินดอร์ด้านในและโซนโอเพ่นแอร์แบบเปิดโล่งด้านนอก
เมนูอาหารมีทั้งแบบเมนูอาหารจานเดียวและเมนูแบบกับข้าวสุดหลากหลาย แน่นอนว่ามาทะเลทั้งทีก็เปิดซีฟู้ดเลยด้วยกะเพราทะเล ราคาจานละ 90 บาท ต้องบอกเลยว่าหมึกกับกุ้งของทางร้านสดมากๆ เนื้อเด้งกรุบ แถมผัดมาแบบครบเครื่องกะเพราสุดๆ
มื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว เราก็ติดต่อกับทางที่พักเพื่อให้ส่งรถมารับเราเข้าไปเช็คอิน ซึ่งรถที่มารับจะเรียกว่ารถไข่ก๊อง ที่เป็นรถคันเล็กตั้งชื่อตามเจ้าของเกาะล้านสไมล์ และด้วยความที่ทริปนี้เราตั้งใจจะคุมงบแบบสุดๆ เราเลยเราซื้อแพ็คเกจจากเกาะล้านสไมล์ ซึ่งเป็นแพ็คเกจแบบ 2 วัน 1 คืน ราคา 900 บาท/คน เท่านั้นเอง โดยจ่ายราคานี้แค่ครั้งเดียว เราจะได้ห้องพักแบบ VIP มี wifi รวมอาหารเช้า รถมอเตอร์ไซค์ กิจกรรมกลางทะเลอย่างดำน้ำดูปะการังพร้อมบริการถ่ายรูปใต้น้ำฟรี เครื่องเล่นกลางน้ำ รวมทั้งรถรับส่งเข้าที่พักที่จะมารับเราที่ท่าเรือหน้าบ้านด้วย (หรือถ้าใครอยากใช้เวลาเที่ยวบนเกาะล้านให้นานขึ้น ทางเกาะล้านสไมล์ยังมีแพ็คเกจ 3 วัน 2 คืน ราคา 1,999 บาท ซึ่งจะมีกิจกรรมเพิ่มมาอีก ให้เลือกด้วยนะ)
นั่งรถจากท่าหน้าบ้านได้ประมาณ 5 นาที เราก็มาถึงที่พักของเราในทริปนี้แล้ว เป็นที่พักที่สงบและเป็นส่วนตัว มีอาคารที่พักแบ่งเป็น 2 หลัง หลังละ 2 ชั้น มีพื้นที่ส่วนกลางเป็นพื้นที่โล่ง มีต้นไม้ใหญ่ อยู่ตรงกลางระหว่างอาคาร
ห้องพักเป็นห้องแบบ VIP สำหรับ 2 คน ภายในห้องมีพื้นที่กว้าง พร้อมกับเตียงหลังใหญ่ มีส่วนของโซฟาเบดที่นั่งเล่น นอนงีบได้แบบสบายๆ ด้านปลายเตียงมีโต๊ะเก้าอี้และกระจกสำหรับใช้เป็นโต๊ะเครื่องแป้งและนั่งทำงานได้
ในส่วนของห้องน้ำก็มีพื้นที่กว้างไม่แพ้กัน มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้พร้อม แถมยังมีโถงระเบียงด้านนอกที่มีไว้สำหรับตากผ้าโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าสะดวกสบายๆ แบบสุดๆ
นอกจากห้องสำหรับ 2 คนแล้ว ยังมีห้องพักสำหรับ 4 คนให้เลือกอีกด้วยนะ ใครมาเป็นกลุ่มก็นอนได้แบบสบายๆ เลย
เกาะล้านสไมล์
นั่งพัก เก็บกระเป๋ากันแล้ว ก็ได้เวลาออกมาทำกิจกรรมกันแบบจัดเต็ม นั่นก็คือ ดำน้ำ – เครื่องเล่นกลางทะเล โดยรอบของกิจกรรมที่เราต้องไปก็คือรอบเวลา 14.00 น. โดยเราสามารถเลือกมอเตอร์ไซค์ (ที่รวมมากับแพ็คเกจแล้ว) ขับออกมาจอดที่ท่าเรือหน้าบ้านได้เลย พอมาถึงท่าเรือหน้าบ้านแล้วสามารถแจ้งกับพนักงานได้เลยว่ามากับแพ็คเกจเกาะล้านสไมล์
หน้าเคาน์เตอร์ของเกาะล้านสไมล์จะอยู่ในศาลาตรงท่าหน้าบ้านเลย เราสามารถมาติดต่อจุดนี้ได้เลย แอบกระซิบว่าถ้าใครมา ลองสังเกตการตกแต่งกันดูนะ วัสดุที่ใช้ในร้านเน้นเอามาจากของที่ลอยมาติดอยู่บนชายหาดบนเกาะล้าน อย่างชิ้นส่วนของไม้ อวน สมอ รวมทั้งของอื่นๆ เพราะเกาะล้านสไมล์ได้เน้นเรื่องของการรีไซเคิลและการลดปริมาณขยะในท้องทะเลอีกด้วย
พอได้เวลาพนักงานจะนำไปขึ้นเรือที่เป็นเรือลำใหญ่ (เหมือนกับเรือเมล์) เพื่อนั่งไปยังเกาะสาก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
นั่งเรือรับลม ชมวิวท้องทะเลมาได้ไม่นานก็มาถึงจุดที่เป็นเครื่องเล่นกลางทะเลแล้ว ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆ กับเกาะสาก และเครื่องเล่นจะกระจายกันอยู่ในทะเลที่มีทุ่นแนวเชือกกั้นเป็นเขตไว้เพื่อความปลอดภัย ซึ่งก่อนที่เราจะลงไปเล่น จะมีพนักงานของเรือแจกเสื้อชูชีพ พร้อมกับสน็อกเกิ้ลที่ผ่านการทำความสะอาดมาเรียบร้อย และในส่วนของจุกยางสำหรับไว้ใช้กัด ทางเรือจะมีแจกอันใหม่ให้ หมดห่วงเรื่องความสะอาดได้เลย
เครื่องเล่นมีให้เล่นเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นสไลด์เดอร์ที่ไหลลงจากบนเรือ แทมโพลีน แผ่นยางทรงตัว สไลด์เดอร์กลางน้ำ และอื่นๆ อีกเพียบ เล่นได้แบบยาวๆ 2 ชั่วโมง ใครที่คิดว่าคนมาเล่นเยอะแล้วจะไม่สนุก ต้องบอกเลยว่าไม่จริงเลย เพราะรอบนี้เราได้เพื่อนใหม่เพียบ เล่นด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน สนุกมาก
พักจากเครื่องเล่นก็ยังมีซับบอร์ดให้พายด้วยนะ ซึ่งเราสามารถพายออกนอกแนวเชือกได้เลย เพราะจะมีพนักงานของเรือคอยดูแลความปลอดภัยให้อยู่ตลอด
หรือถ้าใครอยากจะดำน้ำดูฝูงปลาและปะการังด้านล่างก็สามารถดำได้ในพื้นที่บริเวณเครื่องเล่นเลย ซึ่งวันที่เราไปมีลมมรสุมจากทางเหนือพัดมาพอดี เลยทำให้น้ำอาจจะขุ่นไปหน่อย แต่ก็ยังเห็นฝูงปลาเยอะมากๆ
ทำกิจกรรมจนเต็มอิ่วราวๆ 2 ชั่วโมง (เวลาประมาณเกือบ 16.00 น.) พนักงานก็จะเรียกเราให้ขึ้นเรือ เพื่อคืนอุปกรณ์และเตรียมตัวกลับ
ทำกิจกรรมกันแบบเต็มขีดความสนุกแล้ว ก็ได้เวลากลับที่พักมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปหาร้านอาหารเย็นนั่งชิลล์ๆ กันต่อ และมื้อเย็นวันนี้เรามาเช็คอินกันที่ร้านซาอุ Seafood ร้านอาหารริมทะเลวิวเมืองพัทยาที่มาพร้อมกับบรรยากาศเงียบสงบแบบเป็นส่วนตัวมาก เพราะภายในร้านมีที่นั่งเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น
โชคดีมากๆ ที่ตอนเรามาโต๊ะไฮไลท์ของร้านว่างพอดี ซึ่งเป็นมุมที่ยื่นออกไปนอกทะเล สามารถมองเห็นวิวท้องฟ้าได้แบบพาโนรามาเลย
นอกจากนี้ยังมีโซนที่เป็นบาร์ริมชายหาดแบบชิลล์ๆ ให้นั่งอีกด้วย ซึ่งโซนนี้จะเป็นเก้าอี้ผ้าใบแบบชายหาด หันออกทะเล และยังสามารถเดินเล่นบนโขดหิน โพสท่าถ่ายรูปสวยๆ กับวิวทะเลได้อีกด้วย
เมนูอาหารของทางร้านเน้นเป็นเมนูอาหารทะเล และที่เราสั่งมามีทั้งหมึกน้ำดำแห้งรสกลมกล่อม ปลากะพงทอดราดน้ำปลาที่เนื้อปลาหวานกรอบ สดใหม่ เมนูหอยเชลล์ย่างเนยสดที่ทางร้านใช้เนยแท้ โป๊ะแตกทะเลที่มีกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ พร้อมกับของทะเลอื่นๆ แบบจัดเต็ม และกุ้งย่าง ซึ่งค่าอาหารของมื้อนี้อยู่ที่ 1,230 บาท ถือว่าคุ้มค่าแบบสุดๆ
ช่วงพลบค่ำท้องฟ้าสวยมากๆ เหมือนกับที่พี่เจ้าของร้านบอกว่าถ้านั่งมุมนี้จะเห็นวิวท้องฟ้าที่หลากหลายมากๆ เลย
ซาอุ Seafood
เช้าวันที่ 2 เราตื่นกันตั้งแต่เช้า เพื่อมาเติมพลังกันก่อนออกไปลุยเที่ยวรอบเกาะ อาหารเช้าของทางที่พักเป็นแบบไลน์บุฟเฟ่ต์ ที่มีเมนูอาหารให้เลือกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ข้าวต้มทะเล ข้าวต้มหมู ไข่กระทะ ไปจนถึงสลัด ขนมปังปิ้ง โยเกิร์ต และผลไม้ตามฤดูกาล ซึ่งห้องอาหารจะอยู่บริเวณด้านหน้าของที่พัก เป็นห้องกระจกแบบโปร่งโล่ง นั่งได้แบบสบายๆ
มื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปเที่ยวกันต่อ
ที่แรกของวันที่ 2 เราขับมอเตอร์ไซค์มาทางด้านตะวันตกของเกาะหรือฝั่งตรงข้ามของท่าหน้าบ้าน ที่เป็นจุดที่มีชายหาดสวยถึง 3 หาดเรียงติดกัน นั่นก็คือ หาดสังวาลย์ หาดตาแหวน และหาดทองหลาง
หาดแรกที่เราจะแวะไปคือหาดทองหลาง ซึ่งจะผ่านเส้นทางเรียบหาดตาแหวนและถนนริมชายหาดที่สามารถมองเห็นวิวทะเลสีฟ้าใสได้แบบเต็มๆ ตาตลอดทางกันเลย
ขับมาจนสุดทางเราก็จะเจอกับชายหาดเล็กๆ ที่ค่อนข้างเงียบสงบกว่าหาดอื่นๆ ในแถบนี้ มุมไฮไลท์ของหาดทองหลางคือแนวก้อนหินที่คล้ายกับแนวทางเดินออกไปในทะเล และมุมบันไดลงชายหาดที่มีฉากหลังเป็นทะเลสีฟ้าใสสุดลูกหูลูกตาแบบกว้างไกล แอบกระซิบว่าสองมุมนี้มีคนต่อคิวถ่ายรูปเยอะมากๆ
หาดทองหลาง
นั่งเล่นที่หาดทองหลางได้สักพัก เราก็ขับมอเตอร์ไซค์กลับมาที่อีกด้านของหาดตาแหวนเพื่อจะเดินเข้าไปเช็คอินกันต่อที่หาดสังวาลย์ ซึ่งจะต้องจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ด้านหน้าทางเข้าท่าเรือแล้วเดินเข้าไป ระหว่างทางเดินของท่าเรือมีโครงเหล็กที่ออกแบบคล้ายกับซุ้มพร้อมประดับไฟเป็นแนวยาวตามทางเดิน พร้อมกับภาพน้ำทะเลสีฟ้าใสให้ดูแบบพาโนรามา แถมมุมทางเดินนี้ยังถ่ายรูปสวยด้วยนะ
หาดตาแหวน
เดินตามทางเดินท่าเรือหาดตาแหวนมาเรื่อยๆ ก็จะเจอทางเดินที่เป็นสะพานไม้สีขาวเล็กๆ อยู่ทางด้านซ้ายมือ ซึ่งเป็นทางเดินเข้าไปยังหาดสังวาลย์และยังเป็นที่ตั้งของ สังวาลย์บีช คาเฟ่ & บริสโทรล (Sangwanbeach Caffe & Bristrol) คาเฟ่ริมชายหาดที่เราตั้งใจจะมาเช็คอินกันต่อ
สะพานขาวนี้เป็นทางเดินที่ยาวลัดเลาะไปตามแนวโขดหินชายฝั่ง และยังมีจุดแวะพักที่เป็นจุดชมวิวทะเลสวยๆ ให้ได้แวะพักถ่ายรูป นั่งเล่นรับลมทะเลอีกด้วย
เดินมาถึงด้านในก็จะเจอกับตัวร้านที่มีรูปทรงที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร แบบเพิ่งรีโนเวทใหม่แบบสดๆ ร้อนๆ คือการสร้างตัวร้านให้เป็นเรือลำใหญ่ ทั่วทั้งร้านใช้วัสดุจากธรรมชาติทั้งหมด สื่อถึงความเป็นชายหาดและท้องทะเลได้แบบเต็มๆ แถมยังอยู่ติดกับหาดสังวลาย์อีกด้วย เรียกได้ว่าไม่ว่าจะนั่งมุมไหนของร้านก็ได้เห็นวิวสวยๆ ทุกมุมเลย
ตัวร้านแบ่งออกเป็น 2 ชั้น โดยชั้นล่างเป็นที่นั่งแบบโอเพ่น โดดเด่นด้วยที่นั่งที่เป็นซุปเปอร์คาร์ หลากหลายแบรนด์และหลากสีสัน พร้อมกับภาพเพ้นท์กำแพงที่เก๋มาก แถมด้านที่ติดทะเลยังเป็นมุมโค้งแบบเปิด เห็นวิวฉ่ำแบบสุดๆ
ด้านบนของร้านเป็นโซนแบบเอาท์ดอร์ที่ตกแต่งด้วยสไตล์แบบเรือเดินทะเล พร้อมกับที่นั่งที่คุมโทนด้วยการใช้สีน้ำตาลและครีม ซึ่งมุมด้านบนจะเห็นวิวทะเลสุดกว้างไกลได้แบบไม่มีกั๊ก สีของน้ำทะเลก็สวยสะใจมากๆ
เมนูของทางร้านจริงๆ มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งเมนูอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม แต่ด้วยความที่เดี๋ยวเราต้องไปกันต่อ เลยสั่งมาเพียงแค่เครื่องดื่มอย่าง Rose Butterfly เครื่องดื่มสีสวยที่มีกลิ่นของกุหลาบ รสชาติหวานละมุนซ่อนความสดชื่น ดื่มแล้วคลายร้อนได้เป็นอย่างดี ราคาอยู่ที่แก้วละ 169 บาท
สังวาลย์บีช คาเฟ่ & บริสโทรล (Sangwanbeach Caffe & Bristrol)
นั่งพักดื่มเครื่องดื่มกันแล้ว ก็ลงมาเดินเล่นที่หาดสังวาลย์กันสักหน่อย เดินลงมาจากร้านได้แบบสบายๆ ทรายที่หาดนี้เนียนละเอียดมาก น้ำทะเลก็ใสเหมือนกระจกแบบสุดๆ ไม่แปลกใจเลยที่มีชาวต่างชาติมานอนอาบแดดและเล่นน้ำที่หาดเยอะมากๆ
หาดสังวาลย์
จากหาดสังวาลย์ ก่อนกลับไปแถวท่าหน้าบ้าน เราแวะมาที่จุดชมวิวเกาะล้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี โดยจุดนี้จะอยู่กลางเนินเขาที่อยู่ด้านหลังกึ่งกลางหาดตาแหวนพอดี บริเวณรอบๆ มีลานจอดรถและพื้นที่โล่งที่มีเก้าอี้ให้นั่งชมวิวหาดทั้ง 3 หาดได้แบบ 180 องศากันเลย
สีท้องทะเลสวยมากจนอดถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ได้เลย แถมบรรยากาศด้านล่างคึกคักสุดๆ เห็นทั้งผู้คนที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน เรือที่ขับหลายสิบลำ
จุดชมวิวเกาะล้าน
ขับรถเลยขึ้นมาอีกหน่อยจะเป็นจุดชมวิวสำนักสงฆ์แสนล้าน (ที่อยู่จุดเดียวกับจุดชมวิวเกาะล้าน แต่อยู่สูงกว่า) ซึ่งที่นี่มีไฮไลท์คือหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ติดกับเนินเขาที่มองเห็นวิวทะเลได้แบบชัดเจน
นอกจากเป็นสำนักสงฆ์ให้ได้กราบไหว้พระแล้ว ยังเป็นจุดที่มีกิจรรมการเล่นพาราไกลดิ้ง (paragliding) หรือเครื่องร่อนที่ใช้แรงลมในการลอยขึ้นไป บอกเลยว่าถ้าได้มาชมวิวที่จุดนี้จะสามารถเห็นคนร่อนพาราไกลดิ้งไปมาได้แบบใกล้ชิดสุดๆ แถมยังมีภาพทะเลเป็นพื้นหลังด้วย และแน่นอนด้วยความที่ตื่นตาตื่นใจอยากเล่น เลยลองไปถามราคาพี่ๆ เจ้าหน้าที่ และราคาที่ได้มาก็คือ 15 นาทีจะอยู่ที่ 2,500 บาท (เอาเป็นว่าไว้รอบหน้าแล้วกัน เพราะทริปนี้งบเราจะหมดแล้ว)
จุดชมวิวสำนักสงฆ์แสนล้าน
ก่อนกลับเรามาปิดท้ายทริปกันที่ร้านอาหารป้าสร้อย ร้านอาหารชื่อดัง รสเด็ดของเกาะล้านใกล้ท่าหน้าบ้านที่ไม่ว่าใครมาเกาะล้านก็ต้องแวะมาให้ได้ เพราะที่นี่มีทั้งอาหารตามสั่ง อาหารจานหลัก ที่สำคัญยังใช้วัตถุดิบของทะเลแบบสดใหม่กันแบบวันต่อวันอีกด้วย
ตัวร้านเพิ่งรีโนเวทไปใหม่ๆ หมาดๆ ซึ่งแบ่งเป็น 2 โซน คือโซนโถงด้านหน้าและโซนด้านหลัง โดยทั้ง 2 โซนจะเป็นพื้นที่แบบโอเพ่นแอร์ทั้งหมด ด้วยความที่เรามาในวันธรรมดาและเวลาช่วงบ่ายแล้ว ทำให้คนไม่แน่นร้าน ถือเป็นโชคดีสุดๆ
เมนูอาหารที่เราสั่งมาวันนี้ก็คือ เมนูยอดฮิตประจำร้านอย่างหมึกผัดน้ำดำ 200 บาท ไข่เจียวไข่หมึกที่ให้มาแบบแน่นๆ จานละ 160 บาท และแกงส้มปลาสุจิน ที่ต้องบอกเลยว่ารสชาติถึงเครื่อง ซดน้ำแล้วคล่องคอสุดๆ ราคาเพียง 250 บาท ถือเป็นการปิดทริปที่อร่อยประทับใจมากๆ
ร้านอาหารป้าสร้อย
หลังจากปิดทริปกันที่ร้านอาหารป้าสร้อยไปแล้ว เราก็ขับมอเตอร์ไซค์กลับมาคืนที่พัก แล้วเก็บกระเป๋า ขึ้นรถไข่ก๊องมาที่ท่าหน้าบ้าน ต้องบอกว่าสะดวกมาก เพราะเกาะล้านสไมล์มีบริการรถไข่ก๊องรับ – ส่งทั้งตอนมาและตอนกลับเลย
มาถึงท่าหน้าบ้านได้เวลาเกือบ 14.00 น. พอดี ทันเรือเมล์แบบเฉียดฉิวมากๆ
สำหรับใครที่อยากประหยัดเวลาและนั่งเรือกลับไปพัทยาแบบสะดวกสบาย เกาะล้านสไมล์ยังมีบริการเรือสปีดโบ้ทรับส่งพัทยา – เกาะล้านให้ด้วยนะ ราคาอยู่ที่ ขาละ 150 บาท/คน ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีเท่านั้นเอง
มาถึงท่าเรือเหลมบาลีฮายแล้ว เราก็เดินไปขึ้นรถตู้กลับกรุงเทพฯ กัน โดยท่ารถตู้จะอยู่ติดกับอาคารรับฝากรถเลย เดินนิดเดียวก็เจอแล้ว ซึ่งรถตู้จะออกทุกๆ ชั่วโมง และรอบสุดท้ายคือเวลา 18.30 น.
ทั้งหมดนี้ก็คือทริปนั่งรถไฟไปเกาะล้าน 2 วัน 1 คืน งบ 2,500 เที่ยวได้สบาย! ที่เรียกได้ว่าเป็นการเปิดประสบการณ์เที่ยวเกาะล้านแบบสบายกระเป๋ามากๆ ตั้งแต่นั่งรถไฟ เดินทางข้ามเกาะด้วยขนส่งสาธารณะ ไปจนถึงแพ็คเกจสุดคุ้มของเกาะล้านสไมล์ที่ราคาแค่ 900 บาท ซึ่งรวมความสะดวกสบายทุกอย่างไว้เพียงแบงก์พันใบเดียวเท่านั้น และตลอดทริปยังเต็มไปด้วยความสนุกจากกิจกรรมที่หลากหลาย และความสุขที่ได้ออกไปพักผ่อนในโลเคชั่นสวยๆ ใครที่กำลังวางแพลนจะมาเที่ยวเกาะล้านแล้วอยากคุมงบ แต่ความสนุกยังครบรส ต้องตามมาเที่ยวแบบเราแล้ว!
ค่าใช้จ่ายตลอดทริปนั่งรถไฟไปเกาะล้าน 2 วัน 1 คืน งบ 2,500 เที่ยวได้สบาย!
DAY: 1
DAY: 2
รวมค่าใช้จ่ายต่อคน = 2,405 บาท
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ ทริปนั่งรถไฟไปเกาะล้าน 2 วัน 1 คืน งบ 2,500 เที่ยวได้สบาย! เป็นทริปที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ไปจริงๆ เพราะคุ้มค่า สะดวก และเต็มไปด้วยความสุข หรือถ้าใครอยากไปเที่ยวบางแสน หรือพัทยาต่อ เราก็มี One Day Trip บางแสน กินอย่างเดียว เที่ยวไว้ก่อน! และ 10 ร้านอาหารพัทยา อร่อยฟิน บรรยากาศดี ราคาไม่แพง ที่ต้องไปกิน มาแนะนำกันด้วยนะ