ทริปสุราษฎร์ธานี 3 วัน 2 คืน สัมผัสเสน่ห์เมืองใต้ แสนประทับใจไม่รู้ลืม!
14,575 ครั้ง
3 มิ.ย. 2565
14,575 ครั้ง
3 มิ.ย. 2565
สุราษฎร์ธานี จังหวัดที่เต็มไปด้วยเสน่ห์กลิ่นอายของวิถีชีวิต ภูมิปัญญาที่สืบทอดและสั่งสมมาอย่างยาวนาน ความสวยงามของธรรมชาติที่เรียกได้ว่าเป็นที่ติดตาตรึงใจของผู้ที่ได้มาเยือน รวมทั้งวัตถุดิบและรสชาติของนานาเมนูที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของอาหารพื้นถิ่น ในวันนี้ทริปเก็ทเตอร์จะพาทุกคนไปสัมผัสและตกหลุมรักจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปพร้อมๆ กันกับทริปสุราษฎร์ธานี 3 วัน 2 คืน สัมผัสเสน่ห์เมืองใต้ แสนประทับใจไม่รู้ลืม! ซึ่งเป็นทริปสุดพิเศษที่นับได้ว่าเป็น “Once in a Lifetime” ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาคภาคกลาง ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จัดขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับลูกค้า Top Spender บัตรเครดิตท่องเที่ยว ธนาคารกรุงเทพ และขอบอกเลยว่าบัตรเครดิตท่องเที่ยวใบนี้ยังมีสิทธิพิเศษอีกเพียบ! แค่ใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด เพียงเท่านี้ก็มีโอกาสได้รับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมการท่องเที่ยวสุดประทับใจได้เลย เอาเป็นว่าไม่รอช้า ทริปสุราษฎร์ธานีจะสนุก สวยงาม และประทับใจแค่ไหน ตามไปดูกันด่วนๆ เลย!
เราเริ่มต้นทริปสุราษฎร์ธานี 3 วัน 2 คืน ทริปแห่งความประทับใจครั้งนี้กันที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง โดยเมื่อผู้ร่วมทริปเดินทางมาถึง ก็จะได้รับชุด Travel Kit ซึ่งเป็นกระเป๋าผ้าสุดพิเศษที่สกรีนคำว่า “Once in a Lifetime” โดยในกระเป๋าเต็มไปด้วยอุปกรณ์และสิ่งของที่จำเป็นต่อการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ร่มขนาดพกพา หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือ และชุดตรวจ ATK และด้วยความที่เริ่มต้นการเดินทางกันตั้งแต่เช้า ทางทีมงานก็มีชุดอาหารเช้าแสนน่ารักอย่างชุดข้าวเหนียวหมูทอดที่ห่อด้วยใบตองมาบริการอีกด้วย บอกเลยว่าการบริการและการดูแลจากทางทีมงานน่าประทับใจมากๆ
การเดินทางจากกรุงเทพฯ มายังสุราษฎร์ธานี เราใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น และเมื่อเราเดินมาถึงท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี ระหว่างรอรับกระเป๋า ทางทีมงานก็จะคอยช่วยดูแลและเช็คสัมภาระของผู้ร่วมทริปแต่ละคนอีกด้วย การเดินทางท่องเที่ยวตลอดทั้งทริป บอกเลยว่าพิเศษสุดๆ เพราะเราจะเดินทางด้วยรถตู้ Hyundai H1 ที่เป็นส่วนตัวพร้อมทั้งมีทีมงานประจำรถแต่ละคันที่จะคอยดูแล อำนวยความสะดวก และให้บริการแก่ผู้ร่วมทริปราวกับว่าทุกคนๆ มี Butler คอยดูแลตลอดทั้งการเดินทางกันเลยทีเดียว ซึ่งภายในรถมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เรียกได้ว่าครบครันสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มเย็นๆ กระดาษทิชชู่ หรือผ้าเย็น และเจลแอลกอฮอล์ประจำรถ โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้อยู่ภายใต้มาตรการ D-M-H-T-T-A อีกทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและที่พักในทริปนี้ยังได้รับมาตรฐาน SHA – SHA Plus และเป็น Covid Free Setting อีกด้วย
เดินทางออกจากท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีได้ประมาณ 30 นาที เราก็เดินทางมาถึงสถานที่แรกของทริปครั้งนี้ “ศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี” สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นดั่งศูนย์รวมความศรัทธาของชาวเมืองสุราษฎร์ ศาลาทรงบุษบกสีขาวที่มีลวดลายปูนปั้นสุดวิจิตรตั้งตระหง่านอยู่เคียงคู่กับแม่น้ำตาปี เป็นที่ประดิษฐานของเสาพระหลักเมืองสีทองสุกปลั่งที่มีส่วนยอดเป็นพรหมสี่หน้า บรรยากาศในบริเวณพื้นที่ก็โปร่งโล่งและตกแต่งด้วยเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ เมื่อผู้ร่วมทริปเดินทางมาถึงก็จะมีทีมงานหรือไกด์ที่บรรยายประวัติความเป็นมา รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่อย่างละเอียดและครบถ้วน อีกทั้งยังมีชุดเครื่องสักการะเสาพระหลักเมืองให้บริการอีกด้วย มีความเชื่อว่าหากได้มาสักการะศาลหลักเมืองแห่งนี้ เปรียบได้กับเสริมความมั่นคง ตัดเคราะห์ ต่อดวงชะตา รวมทั้งเสริมให้ชีวิตประสบความสุขสำเร็จ
ได้เข้าไปกราบสักการะและขอพรสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคลถือเป็นการเริ่มต้นทริปที่ดีและเหมาะกับวันเวลาตลอดทั้งทริปนี้เป็นที่สุด
หลังจากเสริมความเป็นสิริมงคลกันแล้ว เราก็เดินทางมารับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านชมบาง ร้านอาหารใต้ที่ยังคงรสชาติและเสน่ห์ของอาหารใต้แบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างครบถ้วน โดยร้านอาหารแห่งนี้ได้ใช้ความพิถีพิถันในการปรุงแต่ละเมนูให้เหมือนกับทำอาหารเพื่อรับประทานกันเองในครอบครัว
บรรยากาศภายในร้านก็สุดแสนร่มรื่น เพราะตั้งอยู่ติดกับริมคลองและมีเหล่าต้นจากและต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นอยู่มากมาย นั่งรับประทานอาหารสบายๆ พร้อมกับมองความสดชื่นที่ห้อมล้อมร้านเอาไว้ หรือจะเดินเล่นภายในพื้นที่ของร้านก็ชิลไม่แพ้กัน สมกับชื่อของร้านชมบาง เพราะบางก็แปลว่าลำคลอง หรือทางน้ำเล็กๆ
เมนูอาหารเรียกได้ว่ายกสำรับความดั้งเดิมมาเสิร์ฟกันเลย โดยมื้อนี้มีทั้งแกงส้มออดิบปลากะพง ออดิบที่เต็มไปด้วยความฉ่ำเพราะเมื่อกัดแล้วก็จะได้สัมผัสถึงความเข้มข้นของน้ำแกง เนื้อปลาชิ้นพอดีคำที่เมื่อชิมเข้าไปแล้วรับรู้ได้ถึงความสดใหม่ ยิ่งรับประทานทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ก็ยิ่งอร่อยมากขึ้นไปอีก ชุดน้ำพริกกุ้งสดคู่กับผักสด ถึงเครื่องและผักก็หลากหลาย ถูกใจสายสุขภาพแน่นอน ปลาอินทรีทอดน้ำปลา ยำมะม่วง เป็นอีกเมนูที่อร่อยมาก เนื้อปลาอินทรีแน่นๆ เนื้อเน้นๆ คู่กับยำมะม่วงรสชาติเปรี้ยวหวาน เข้ากันได้เป็นอย่างดี หมูผัดกะปิ สุดเข้มข้น กะปิหอมๆ เข้าเนื้อหมู อร่อยประทับใจสุดๆ
มาต่อของหวานกันต่อด้วยลูกจากลอยแก้ว เติมความกลมกล่อมและสดชื่นปิดท้ายมื้อกลางวัน
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกันแล้ว เราก็เดินทางมากันต่อที่วัดบางใบไม้ วัดสำคัญของชุมชนบางใบไม้ที่ประดิษฐานหลวงพ่อข้าวสุก พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อายุนับสองร้อยปีที่ได้สร้างขึ้นจากความศรัทธาและความสามัคคีกันของคนในชุมชน โดยเอกลักษณ์ของหลวงพ่อข้าวสุกก็คือองค์พระถูกรังสรรค์ขึ้นจากข้าวก้นบาตร รวมทั้งสิ่งมงคลที่ปลุกเสกไว้ถึง 9 อย่าง ชาวบ้านบางใบไม้ต่างเชื่อกันว่าหากผู้ใดได้มากราบสักการะหลวงพ่อข้าวสุก ก็จะได้รับโชคลาภ ผลผลิตทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ ดังคำว่าข้าว และได้รับความสุข ความเจริญ ดังคำว่า สุข (สุก) ตามปริศนาธรรมของชื่อองค์พระนั่นเอง
กราบสักการะหลวงพ่อข้าวสุกเป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงเวลาทำกิจกรรมสัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชนบางใบไม้กันต่อกับการล่องเรือชมอุโมงค์ต้นจาก โดยสามารถขึ้นเรือได้บริเวณท่าน้ำของวัดได้เลย ตลอดสองข้างทางเราก็จะได้พบกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ เหล่าต้นจากต่างแผ่กิ่งก้านที่ยาวเหยียดและบริเวณส่วนปลายก้านของต้นจากทั้งสองฝั่งก็จะโค้งลงมาประกบกันราวกับอุโมงค์ อีกทั้งบรรยากาสภายใต้ร่มเงาอุโมงค์ธรรมชาตินี้ก็ร่มรื่นและมีความเย็นสบายเป็นอย่างมาก โดยแต่ละช่วงที่เป็นจุดถ่ายรูป พี่ๆ คนขับเรือก็จะจอดชะลอให้ได้ชมความงามอย่างช้าๆ รวมทั้งยังสามารถถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำและอัปลงโซเชียลได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้ชิมบ้านเรือนริมคลองและวิถีชีวิตชาวบ้านที่ผูกพันกับสายน้ำแห่งนี้อีกด้วย
นั่งเรือชมสองฝั่งริมคลองได้ราวๆ 15 นาที เราก็เดินทางมาถึงสวนลุงสงค์ แหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตเกษตรกรรมชาวสวนมะพร้าว สถานที่ที่ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติและสวนมะพร้าวสุดเขียวขจี โดยผลผลิตจากสวนลุงสงค์แห่งนี้ถือเป็นผลผลิตคุณภาพจากมะพร้าวของชุมชนที่นำไปต่อยอดสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่นได้
พอเข้ามาถึง ทางสวนลุงสงค์ก็มีของว่างบริการที่เป็นขนมพื้นบ้านของภาคใต้อย่างขนมโคคลุกมะพร้าวขูดสดๆ พร้อมกับน้ำพร้าวสดๆ ให้ได้รับประทานกัน
กิจกรรมที่ทรงคุณค่าที่เรียกได้ว่าพิเศษสุดๆ สำหรับทริปนี้ก็คือการชมลิงเก็บมะพร้าว ซึ่งเป็นภูมิปัญญาวิถีการเกษตรที่ผูกพันกับลิง โดยวิทยากรก็ได้ให้คำอธิบายไว้ว่าการที่แต่ละบ้านหรือสวนเลี้ยงลิงนั้น ก็ไม่ต่างกันกับการเลี้ยงดูแลลูกหลานคนหนึ่งด้วยความรัก ความห่วงใย ส่วนเจ้าลิงก็นับได้ว่าผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และฉลาดแสนรู้เป็นที่สุด แถมในช่วงท้ายยังสามารถไปนั่งถ่ายรูปเซลฟี่กับเจ้าจ๋อตัวเก่งอีกด้วย
มะพร้าวที่เจ้าลิงเก็บมา บอกเลยว่าลูกใหญ่มากๆ
มีช่วงที่เราสามารถถ่ายรูปหรือจะเซลฟี่คู่กับเจ้าลิงแสนรู้ได้แบบใกล้ชิดด้วย
หลังจากชมความสามารถและความน่ารักของลิงไปแล้ว เราก็มาต่อกันกับกิจกรรมสาธิตทำผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าว นั่นก็คือสบู่มะพร้าว โดยการสาธิตแต่ละขั้นตอนทางวิทยากรก็ได้อธิบายรวมทั้งบรรยายให้ความรู้อย่างละเอียด แถมในแต่ละขั้นตอนเรายังสามารถเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์สบู่ได้อีกด้วย และสบู่ที่เราช่วยกันทำ ทางสวนลุงสงค์ก็จะนำมามอบเป็นของที่ระลึกให้กับผู้เข้าร่วมทริป บอกเลยว่าได้ทั้งความรู้ที่ทรงคุณค่าและผลิตภัณฑ์ที่มาจากความคิดสร้างสรรค์ของชุมชน
ในสวนลุงสงค์นอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวอื่นๆ อีกมากมายจำหน่าย แถมยังมีคาเฟ่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเมนูจากมะพร้าวอีกด้วย
ได้ทำกิจกรรม Workshop และชมความสวยงามของวิถีชีวิตกันไปทั้งวันแล้ว ก็ถึงเวลาพักผ่อนสบายๆ ในคืนแรกเราเข้าพักกันที่ S.22 Hotel โรงแรมที่ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นลอฟท์ ที่ผสมผสานความเรียบง่ายกับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ภายในห้องพักก็ตกแต่งไว้อย่างสะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และโลเคชั่นของโรงแรมก็ตั้งอยู่ในตัวเมืองสุราษฎร์ที่อยู่ระหว่างตัวเมืองชั้นในและทางเลี่ยงเมือง จึงเหมาะกับการพักผ่อนระหว่างเดินทางท่องเที่ยวเป็นที่สุด
พักผ่อนกันไปได้พักใหญ่ก็ถึงเวลามื้ออาหารค่ำสุดพิเศษ เพราะค่ำคืนนี้ได้มีการจัดเลี้ยงที่มาในธีม “หลาดใต้” ที่จำลองเอกลักษณ์และวัฒนธรรมวิถีชีวิตแดนใต้
นอกจากนี้ภายในงานยังจัดเต็มทั้งไลน์อาหารบุฟเฟต์เน้นๆ ที่มีทั้งเมนูขึ้นชื่อของเมืองสุราษฎร์ นั่นก็คือ หอยนางรมสดๆ แต่ละตัวใหญ่สมคำร่ำลือ! หมึกย่าง กุ้งเผา คู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัดจ้าน เมนูแกงมัสมั่นไก่กับโรตี หลนไตปลารสชาติกลมกล่อมที่รับประทานคู่กับผักสดนานาชนิด ใบเหลียงผัดกุ้งเสียบ ปลากะพงชิ้นทอดกระเทียม และยำเห็ดรวมกุ้งสด
และที่เป็นไฮไลต์สุดประทับอีกหนึ่งอย่างการร่วมทริปครั้งนี้เลยก็คือมินิคอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังอย่างคุณแสตมป์ อภิวัฒน์ บอกเลยว่าความพิเศษนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
นอกจากนี้ในการเข้าพักคืนแรก ผู้เข้าร่วมทริปยังได้รับเซ็ตของที่ระลึกเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวที่เต็มไปด้วยคุณภาพจากสวนลุงสงค์ ภายใต้แบรนด์ “Prow Thai By สวนลุงสงค์” โดยมีทั้งน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น สบู่มะพร้าว และโคโค่นัท ออยล์ บอดี้ โลชั่น ซึ่งทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากภูมิปัญญาแสนพิถีพิถันผสานกับนวัตกรรม อีกทั้งยังเต็มไปด้วยคุณค่าและประโยชน์มากมาย
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้ากันที่โรงแรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางกันไปที่เขื่อนรัชชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลาน โดยใช้เวลาในการเดินทางราวๆ 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยจุดแรกที่เรามาเยือนก็คือ จุดชมวิวเขื่อนรัชประภา จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นภาพวิวทิวทัศน์มุมกว้างของผืนน้ำโดยมีแนวเขาและท้องฟ้าเป็นฉากหลัง เป็นภาพที่สวยงามจนอดถ่ายภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำไม่ได้เลย ซึ่งชื่อของเขื่อนแห่งนี้เป็นชื่อพระราชทานจากรัชกาลที่ 9 ซึ่งมีความหมายว่า แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร เนื่องจากเขื่อนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของไทยนั่นเอง
จากนั้นเราก็เดินทางมายังท่าเรือ เพื่อเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวชมความสวยงามในอุทยานแห่งชาติเขาสก บรรยากาศและภาพความสวยงามของภายในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาสกนั้นถือเป็นภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด ผืนน้ำสีฟ้า ภูเขาหินปูนสูงชันที่มีรูปทรงแตกต่างกัน สูงต่ำสลับกันไป รวมทั้งเหล่าความเขียวขจีของต้นไม้ที่ขึ้นกระจายกันตามแนวเขา เป็นอันซีนของเมืองไทยมากๆ
ล่องเรือชมความงามกันมาแบบสบายๆ เรื่อยๆ ได้ราว 1 ชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงสถานที่รับประทานอาหารกลางวันบรรยากาศดี นั่นก็คือ แพพันวารีย์ บอกเลยว่านอกจากอาหารแต่ละเมนูจะมีรสชาติถึงเครื่องแล้ว ภาพวิวที่สามารถมองได้จากบนแพก็สวยประทับใจเป็นที่สุด
เมนูอาหารกลางวันของเราในวันนี้เป็นเมนูอาหารที่มีความหลากหลายและครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น แกงส้มปลาทับทิมมะม่วง ปลาแรดทอด ต้มฟักเนื้อไก่ ไข่เจียว ผัดผัก น้ำพริกกะปิ ปิดท้ายด้วยผลไม้ตามฤดูกาล
นอกจากนี้ทางแพพันวารีย์ก็ยังมีเรือคายัค และพื้นที่ให้ได้กระโดดน้ำฉ่ำๆ รองรับอีกด้วย
หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันเติมพลังกันเป็นที่เรียบร้อย เราก็เดินทางมายังควนคางคก จุดชมวิวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาสกที่ตั้งอยู่บนเกาะในส่วนของกลางเขื่อน และเมื่อได้ขึ้นไปยังจุดชมวิวเราก็สามารถมองเห็นภาพของเขาหินปูนวางตัวซ้อนสลับกันไปอย่างสวยงาม แถมยังมีมุมถ่ายรูปเช็คอินสวยๆ อย่างซุ้มต้นไม้ที่มองออกไปเห็นเป็นภาพวิวอีกด้วย
แน่นอนว่ามาเยือนสุราษฎร์ธานีและเขื่อนเชี่ยวหลานทั้งทีจะพลาดแลนด์มาร์กอย่าง เขาสามเกลอ หรือ กุ้ยหลินเมืองไทย ไปได้อย่างไร โดยจุดนี้ถือเป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมที่ไม่ว่าใครได้มาเยือนก็ต้องเก็บภาพเอาไว้ เขาหินปูนขนาดเล็ก 3 เขาที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาใกล้ๆ กัน ซึ่งมีน้ำสีฟ้าห้อมล้อมเอาไว้ มีตำนานเล่าว่าเกิดจากขบวนขันหมากของพ่อตาโจงโดงที่จะไปสู่ขอยายแก้วได้จมลง จึงเกิดเป็นภูเขาขนาดเล็กคล้ายพานพุ่มขึ้นมานั่นเอง และที่เป็นจุดสังเกตสุดมหัศจรรย์อีกจุดหนึ่ง นั่นก็คือ เขาหนึ่งในสามนี้มีลักษณะคล้ายกับหัวของพญานาคอีกด้วย
เมื่อนั่งเรือมาถึงเขาสามเกลอ ทางทีมงานก็จะดับเครื่องยนต์ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมทริปได้ดื่มด่ำไปกับความสวยงามและความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ รวมทั้งได้ถ่ายรูปเซลฟี่สวยๆ กันอย่างจุใจ บอกเลยว่าเขาสามเกลอแห่งนี้สวยงามดังคำร่ำลือและสมที่ได้คำนิยามว่ากุ้ยหลินเมืองไทย
ได้เก็บเกี่ยวความทรงจำและความสุขกับความสวยงามสุดประทับใจในอุทยานแห่งชาติเขาสกกันแล้ว เราก็เดินทางกลับสู่ท่าเทียบเรือและเดินทางไปยัง เชี่ยวหลานแค้มป์ แอนด์ รีสอร์ท สถานที่รับประทานอาหารเย็นที่อยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา พร้อมทั้งมีสายน้ำไหลผ่าน แม้ว่าเราจะเข้าไปในช่วงเย็น แต่ความสวยงามและความสดชื่นยังคงมีอยู่อย่างครบถ้วน อีกทั้งบริเวณพื้นที่ของเชี่ยวหลานแค้มป์ แอนด์ รีสอร์ท ยังเป็นพื้นที่โล่งกว้างสามารถเดินเล่นสบายๆ หรือจะไปนั่งซุ้มริมน้ำชิลล์ๆ ก็ได้
เมนูอาหารของที่นี่เป็นอาหารใต้รสชาติสุดกลมกล่อม ที่มีทั้งแกงคั่วปลากดที่ทั้งละมุนและจัดจ้านไปพร้อมๆ กัน ปลากะพงราดพริก ผักผัดกูดกุ้งสด ที่ผักกูดกรอบทุกคำ แกงเลียงกุ้งสด และมีผลไม้อย่างสับปะรดฉ่ำๆ และแตงโมหวานๆ ปิดท้าย
หลังจากเดินทางท่องเที่ยวกันมาทั้งวันแล้ว เราก็เข้ามาพักกันที่ Belong Jin The Dam Resort รีสอร์ทท่ามกลางความสดชื่นของธรรมชาติ และอยู่ใกล้กับเขื่อนรัชชประภา ภายในห้องพักก็สุดกว้างขวางสะดวกสบาย ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นสุดเรียบหรู เท่านั้นยังไม่พอด้านหน้าของห้องพักมีสระว่ายน้ำ และยังสามารถมองเห็นวิวของภูเขารูปหัวใจ แลนด์มาร์กอีกแห่งหนึ่งของสุราษฎร์ธานีได้จากระยะไกลอีกด้วย
สิ่งพิเศษสำหรับผู้เข้าร่วมทริปในค่ำคืนที่สองก็คือของที่ระลึกอย่างกระเป๋าผ้าปาเต๊ะ ผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดที่นำเสนอเอกลักษณ์วัฒนธรรมอันโดดเด่นของแดนใต้ผ่านการออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้ประโยชน์ และหากเมื่อน้ำกระเป๋าผ้าปาเต๊ะนี้ไปซักก็จะยิ่งทำให้เนื้อผ้ามีความนิ่มมากขึ้นอีกด้วย
เช้าของทริปวันสุดท้ายของเรา หลังจากที่ได้รับประทานอาหารเช้า และพักผ่อนดื่มด่ำกับบรรยากาศในที่พักกันแล้ว เราก็เดินทางมาชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติกันที่วัดเขาพัง ซึ่งมีแลนมาร์กที่โดดเด่นอย่าง ภูเขารูปหัวใจ (เขาเทพพิทักษ์) พร้อมกับสะพานแขวนสวยๆ ต้องบอกเลยว่าเช้าวันนี้เราโชคดีมากๆ เพราะมีกลุ่มเมฆมาคลอเคลียยอดเขา และอากาศก็สดชื่นมาก สายน้ำเบื้องล่างก็ไหลเอื่อยอย่างช้าๆ เดินเล่นสบายๆ บนสะพาน หรือจะถ่ายรูปสวยๆ มีภูเขารูปหัวใจเป็นฉากหลังก็สวยมากจนอดอัปลงโซเชียลอวดเพื่อนๆ ไม่ได้เลย
เดินชมบรรยากาศกันอย่างจุใจแล้ว เราก็ข้ามมายังอีกฝั่งหนึ่งเพื่อเข้าชมตลาดคลองแสง ตลาดกลางป่าที่รวบรวมเอาสินค้าและอาหารพื้นถิ่นของชุมชนมาไว้อย่างหลากหลาย ซึ่งสินค้าและอาหารแต่ละอย่างนั้นก็ถูกจัดตกแต่งและบรรจุในภาชนะที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ ที่มีทั้งขนมไทยพื้นบ้านอย่างขนมครก ขนมโค ขนมหยกมณี รวมทั้งผลไม้โปรดของใครหลายๆ คน อย่างทุเรียนและสับปะรด โดยในพื้นที่ของตลาดแห่งนี้ยังเป็นสวนผลไม้ที่มีทุเรียนคลองแสง ทุเรียนพื้นบ้านโบราณที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสาธิตการทำของเล่นที่เป็นภูมิปัญญาชาบ้านของคนในชุมชนอย่าง ลูกหวือ ที่ประดิษฐ์มาจากกะลามะพร้าว รวมทั้งหลามไข่ปลา เมนูอาหารสุดคลาสสิกอีกด้วย
เมื่อเดินเรื่อยมาจนถึงกลางสวน ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บ้านเขาเทพพิทักษ์ ทางวิทยากรของชุมชนก็ได้มีการบรรยายให้ความรู้ถึงประวัติความเป็นมา รวมทั้งปณิธานที่จะรักษาพันธุ์ทุเรียนพื้นบ้าน รวมทั้งรักษาวิถีชีวิต สร้างรายได้ให้กับชุมชน จึงได้รวมตัวกันจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และตลาดแห่งนี้ขึ้น และที่พิเศษสุดๆ ก็คือการเข้าไปเก็บทุเรียนคลองแสงสดๆ จากต้น รวมทั้งพาเข้าไปชมต้นทุเรียน 200 ปี ซึ่งมีลำต้นที่สูงโปร่ง ขนาด 2 – 3 คนโอบกันเลยทีเดียว แอบกระซิบเลยว่าภายในสวนทุเรียน 100 ปีแห่งนี้ กลิ่นทุเรียนที่เป็นเอกลักษณ์ของทุเรียนคลองแสง หอมอบอวลไปทั่วบริเวณเลยด้วย
หลังจากเข้าไปเก็บทุเรียนและเดินชมสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็กลับมารับประทานอาหารกลางวันกันต่อ โดยเมนูในมื้อนี้พิเศษสุดๆ เพราะเป็นเมนูพื้นบ้านที่ใช้วัตถุดิบจากในท้องถิ่นและชาวชุมชนช่วยกันปรุงขึ้นมา จึงทำให้รสชาติของอาหารแต่ละเมนุเต็มไปด้วยความพิถีพิถันและความกลมกล่อมที่มาจากความสุขและรอยยิ้ม มีทั้งแกงกะทิหน่อไม้ไก่ ใบเหลียงผัดไข่ ผักผลไม้รวมทอด ซึ่งประกอบไปด้วยใบเหลียง ใบหม่อน มะละกอ เผือก มัน และยอดหน่อกล้วย น้ำชุบผักลวกรับประทานคู่กับยอดผักเหลียง ยอดผักกูด หยวกกล้วย และลูกกล้วยป่า จบท้ายด้วยสับปะรด มะม่วงน้ำพริกกะปิหวาน และทุเรียนคลองแสงที่เราไปลุยกันเก็บมานั่นเอง
ทริปสุราษฎร์ธานี 3 วัน 2 คืน สัมผัสเสน่ห์เมืองใต้ แสนประทับใจไม่รู้ลืม! ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการท่องเที่ยวเยี่ยมชมความสวยงามและความมหัศจรรย์ของสถานที่ท่องเที่ยวและธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังได้เรียนรู้ ได้สัมผัสถึงวิถีชีวิต เสน่ห์ และความงดงามของวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้ และมากไปกว่านั้นยังรับรู้ได้ถึงจิตสำนึกของการลุกขึ้นมาพัฒนาวิถีดั้งเดิมและบ้านเกิดของผู้คนในชุมชนที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยว ดังนั้นการที่ได้เข้าร่วมท่องเที่ยวในทริปนี้ก็ถือเป็นอีกแรงสำคัญเล็กๆ ที่มีส่วนช่วยในการผลักดันและสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนต่อไป
กิจกรรมท่องเที่ยวสุดประทับใจทั้งหมดนี้เป็นสิทธิพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อมอบให้ Top Spender ของบัตรเครดิตท่องเที่ยว ธนาคารกรุงเทพเท่านั้น โดยบัตรเครดิตใบนี้ยังมีสิทธิพิเศษอีกมากมาย และเพียงแค่ใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายผ่านบัตรอย่างสม่ำเสมอ หรือมียอดใช้จ่ายสะสมสูงสุดในแต่ละปี ก็มีโอกาสได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการท่องเที่ยวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าและประสบการณ์ล้ำค่าได้เลย
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ ทริปสุราษฎร์ธานี 3 วัน 2 คืน สัมผัสเสน่ห์เมืองใต้ แสนประทับใจไม่รู้ลืม! ที่เรียกได้ว่าเป็นทริปที่พิเศษสุดๆ อีกทั้งยังได้เที่ยวแบบลงลึกมากกว่าการท่องเที่ยวทั่วไป และทริปสุราษฎร์ธานี 3 วัน 2 คืนครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ก็ได้มีการจัดทริปการท่องเที่ยวอย่าง ทริป 3 วัน 2 คืน ประจวบคีรีขันธ์ – เพชรบุรี เที่ยวครบทุกสไตล์ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปลอง!! และสำหรับเพื่อนๆ คนไหนมีไอเดียอยากไปเที่ยวภาคใต้กันต่อล่ะก็เรามี 5 พูลวิลล่าภูเก็ตสุดหรูเคยแพง ไม่อยากพลาด ต้องรีบจอง! และ อัปเดต 12 จุดเช็คอินภูเก็ต เมืองเด็ดที่ต้องมาสักครั้งในชีวิต มาให้เพื่อนๆ ลองไปตามกัน