tripgether.com

เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก!! 5 วัน 4 คืน ตะลุย 3 เมืองแถบคันไซกับเส้นทางใหม่ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก PART 1

9,028 ครั้ง
21 ก.พ. 2562

เคยคิดกันไหมว่าถ้าได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกจะไปที่ไหน? ถ้าพูดถึงญี่ปุ่นหลายๆ คนก็คงคิดถึง โตเกียว โอซาก้า ฮอกไกโด ซัปโปโร แต่สำหรับการมาญี่ปุ่นครั้งแรกของผม ผมเลือกที่จะมาเที่ยวในภูมิภาคคันไซ ภูมิภาคที่น้อยคนแทบจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคันไซมีสถานที่ที่สวยงามอยู่มากมาย ทั้งลานสกีหิมะเทียมแห่งแรกของญี่ปุ่น จุดชมวิวที่สวยที่สุด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ และอีกหลายๆ ที่ที่ทำให้ผมได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นจริงๆ ซึ่งเป็นมุมมองการเที่ยวญี่ปุ่นที่แตกต่างไปจากเดิมที่ผมอยากให้เพื่อนๆ เดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเอง

NJapanpart1.900-01


Day1

ผมเดินทางออกจากสนามบินดอนเมืองไฟล์ทบินเวลา 23.50 น. มีหลายสายการบินที่บินตรงจากสนามบินดอนเมืองถึงสนามบินนานาชาติคันไซ แต่วันนี้ผมเลือกสายการบิน NokScoot (นกสกู๊ต) สายการบินราคาประหยัดที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเซฟงบค่าเดินทางแบบผม

Nokscook-1

Nokscook-7

ภายในตัวเครื่องกว้างขวาง นั่งสบายไม่อึดอัด ทำให้การไปญี่ปุ่นครั้งแรกของผมนั้นสะดวกและสบายกว่าที่คิดเอาไว้ ทำให้ผมประทับใจการเดินทางครั้งนี้ตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน นอกจากนี้ยังมีบริการอาหารอร่อยๆ ที่พร้อมเสิร์ฟบนเครื่องอีกด้วย

Nokscook-22

Nokscook-18

เมื่อมาถึงญี่ปุ่นแล้วจุดหมายแรกที่ผมมุ่งหน้าไปก็คือ Rokko Snow Park ลานสกีหิมะเทียมแห่งแรกของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่บนภูเขาร๊อคโค ที่เปิดให้บริการช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงสิ้นเดือนมีนาคมของทุกปี ที่สำคัญเดินทางมาจากสนามบินนานาชาติคันไซเพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็ได้มาเจอกับลานหิมะสีขาวแบบที่ไม่ต้องเสียเงินแพงๆ และเดินทางไปไกลถึงฮอกไกโด ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมเลือกมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในภูมิภาคคันไซ

Rokkosnowpark-30

ที่นี่ยังแบ่งลานสกีออกเป็น 2 โซนคือโซนแอดวานซ์สำหรับมือโปรที่ใช้ Snowboard และ Ski ในการเล่น ที่จะต้องไถลสกีลงไปบนลานหิมะและมี Chairlift สำหรับกลับขึ้นมาด้านบน

Rokkosnowpark-30

Rokkosnowpark-34

Rokkosnowpark-2

และโซนที่สอง โซนเบสิคสำหรับมือใหม่ สำหรับการมาเจอหิมะครั้งแรกของผม ผมเลยเลือกเล่นโซนเบสิคที่ใช้กระดานเลื่อนหิมะน่ารักๆ ในการเล่น

Rokkosnowpark-30

Rokkosnowpark-9

ใครที่มาเที่ยวที่นี่แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีชุดกันหนาวและอุปกรณ์สำหรับเล่นบนลานหิมะใส่ เพราะที่นี่มีบริการให้เช่าชุดและอุปกรณ์สำหรับนักท่องเที่ยวให้พร้อมทั้งเด็กและผู้ใหญ่

Rokkosnowpark-30

มาเยือนถึงเมืองโกเบทั้งทีจะพลาดกินเนื้อไปได้อย่างไร บนเขาร๊อคโคยังมีร้าน Rokkosan Genghis  Khan Palace ภัตตาคารอาหารปิ้งย่าง มื้อเที่ยงวันนี้ก็เลยไม่รอช้าจัดเซ็ตปิ้งย่างเซ็ตใหญ่ที่มีทั้งเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู และเนื้อไก่ (เซ็ตอาหารในภาพ สำหรับกิน 3 – 4 คน ราคาคนละ 2000 เยน)

Genghiskhan-2

เนื้อโกเบนุ่มๆ ที่ย่างบนเตาร้อนๆ กินกับข้าวพร้อมราดซอสสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมดูวิวเมืองโกเบผ่านกระจกบานใหญ่ของร้านเป็นอะไรที่ฟินสุดๆ

ฝั่งตรงกันข้ามกับร้าน Rokkosan Genghis Khan Palace ยังมีอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่มีชื่อว่า Rokko Shidare Observatory ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเมืองโกเบและมีสถาปัตยกรรมรูปทรงคล้ายต้นไม้ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือยามค่ำคืนจะประดับไปด้วยไฟที่สวยงามและมองเห็นวิวยามค่ำคืนของเมืองโกเบอีกด้วย ราคาค่าเข้าชม 300 เยน/คน

Shidareobservatory-1

Shidareobservatory-1

Shidareobservatory-6

ระหว่างทางกลับผมแวะที่ Rokko International Musical Box Museum พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะแห่งนี้และยังเก็บรวบรวมกล่องดนตรีโบราณจากทั่วโลกเอาไว้อีกด้วย ที่นี่มีทั้งกิจกรรมเวิร์คช็อปทำกล่องดนตรี การแสดงกล่องดนตรีโบราณจากทั่วโลก และมีร้านขายกล่องดนตรีแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่น

Musicalbox-3

ผมเลยไม่พลาดที่จะมาเวิร์คช็อปทำกล่องดนตรีที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกด้วยตัวเองในราคา 2,230 เยน (ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1,600 เยนเป็นต้นไป) โดยขั้นตอนแรกจะต้องเลือกเพลงที่เราชอบและนำมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นกล่องดนตรีน่ารักๆ ซึ่งจะมีอุปกรณ์เตรียมไว้ให้พร้อมและมีสตาฟของพิพิธภัณฑ์คอยให้คำแนะนำตลอดเวลา

และยังได้ดูการแสดงกล่องดนตรีโบราณที่หาชมได้ยากจากทั่วโลกที่เก็บรวบรวมเอาไว้ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

Musicalbox-28

ถ้าหากว่าใครที่มีเวลาน้อยและไม่ได้ทำกล่องดนตรีด้วยตัวเองก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะชั้นล่างยังมีกล่องดนตรีขายเป็นของที่ระลึก มีให้เลือกมากมายหลายเพลง หลายรูปแบบ

Musicalbox-28

Musicalbox-14

หรือใครที่ยังพอมีเวลาเหลือด้านหลังพิพิธภัณฑ์ยังมีพื้นที่สวนสวยๆ ที่มีบ่อน้ำอยู่ด้วย แต่ตอนนี้บ่อน้ำได้กลายเป็นบ่อน้ำแข็งผมก็เลยไม่พลาดเก็บภาพสวยๆ เอาไว้

Musicalbox-28

Musicalbox-28

สำหรับการเดินทางมายังเขาร๊อคโคโดยรถสาธารณะสามารถนั่งรถไฟจากโอซาก้ามาลงที่สถานี Hankyu Rokko และต่อรถ Kobe City Bus ไปขึ้น Rokko Cable Car และยังสามารถนั่งรถ Rokko Sanjo Bus ขึ้นมาบนเขาร็อคโคได้เลย

Rokkosnowpark-30

นอกจากจะได้เห็นภูเขาหิมะและธรรมชาติสวยๆ แล้ว ก็เปลี่ยนบรรยากาศมาดูความทันสมัยของเมืองโกเบกันบ้าง ผมนั่งรถลงมาประมานครึ่งชั่วโมงก็มาถึง Kobe Harborland แหล่งรวมความทันสมัยของเมืองโกเบที่มีแลนด์มาร์คชิคๆ อย่าง Kobe Port Tower หอคอยสำหรับชมวิวเมืองโกเบและ Kobe Harborland Umie ที่เป็นแหล่งช็อปปิ้ง มีร้านขายของแฮนด์เมด ร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขนมอร่อยๆ มากมาย

Haborland-7

Haborland-7

Haborland-7

เมื่อมาถึง Kobe Harborland แล้ว ร้านที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือร้าน Real Dining Cafe คาเฟ่ริมอ่าวโกเบที่สามารถชมวิวสวยๆ ของอ่าวโกเบได้แบบใกล้ๆ และยังมีขนมเค้กที่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านอย่าง Denmark Cheese ชีสเค้กยืดสุดละมุนราคา 350 เยน กินคู่กับ Caramel nut Latte ลาเต้คาราเมลหอมๆ หรือ Raspberry Latte ลาเต้ที่ผสมราสเบอร์รี่ได้อย่างลงตัว ราคา 600 เยน รับรองเลยว่าจะต้องฟินสุดๆ

Haborland-7

Haborland-7

และยังมีร้าน KUWA KUWA KOBE ร้านรองเท้าแฮนด์เมดแบบ Made in Japan แท้ๆ ที่มีรองเท้าสวยๆ มากมายให้เลือกช็อป

Haborland-7

Haborland-7

Haborland-23

เดินมาอีกนิดก็จะเจอร้าน EAVA Kobe ร้านกระเป๋าแฮนด์เมดสไตล์เก๋ไก๋แบบไม่ซ้ำใครที่มีกระเป๋าให้เลือกหลายแบบทั้งกระเป๋าสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย

Haborland-7

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ห้ามพลาดเลยก็คือการนั่งชิงช้าสวรรค์ Mosaic Ferris Wheel ราคา 800 เยน/คน ใช้เวลาประมาน 10 นาที ซึ่งสำหรับผมแล้วเป็น 10 นาทีที่คุ้มค่ามากๆ เพราะเมื่อชิงช้าหมุนสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมได้เห็นวิวที่แตกต่างกันออกไปทั้งวิวท่าเรืออ่าวโกเบและวิวเมืองโกเบ

Haborland-7

Haborland-7

Haborland-7

ช่วงเย็นหากใครที่ยังพอมีเวลาว่างก็ต้องไม่พลาดที่จะมาเดินเล่นรับลมชิลล์ๆ พร้อมชมวิวอ่าวโกเบ ที่ Meriken Park สวนสาธารณะขนาดย่อมริมอ่าวโกเบที่อัดแน่นไปด้วยสเน่ห์ของเมืองโกเบที่ในอดีตเคยมีชาวอเมริกันอาศัยอยู่จึงทำให้ชาวญี่ปุ่นเรียกที่นี่ว่าเมอริเคนปาร์ค และยังเป็นสวนสาธารณะที่ชาวญี่ปุ่นนิยมออกมานั่งเล่นรีแลกซ์กันในตอนเย็น ทำให้ผมได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นแบบจริงๆ

Haborland-7

และยังสามารถเห็น Kobe Port Tower หอคอยสีแดงที่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองโกเบแบบใกล้ๆ บนหอคอยมีจุดชมวิวเมืองโกเบแบบ 360 องศาอยู่ด้วย ราคาค่าเข้าชม 700 เยน/คน

Haborland-7

ดื่มด่ำบรรยากาศของเมืองโกเบกันพอสมควรแล้วผมก็เลยเดินทางไปต่อที่เมืองอาริมะออนเซ็น สำหรับที่พักของผมในคืนนี้คือโรงแรม Arima Gyoen Ryokan ที่พักสไตล์เรียวกังแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ตั้งอยู่ที่เมือง อาริมะ ออนเซ็น (Arima Onsen) ซึ่งเดินทางออกจากตัวเมืองโกเบประมาน 30 นาที ซึ่งมีซิกเนเจอร์ของโรงแรมก็คือบ่อออนเซ็นทั้ง 2 แบบคือแบบ คินเซ็น (Kinsen) บ่อน้ำร้อนสีทอง และแบบ กินเซ็น (Ginsen) บ่อน้ำร้อนใสไร้สี ให้เลือกแช่ผ่อนคลาย

Arimagyoenryokan-40

ห้องนอนสไตล์เรียวกังที่ได้กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นตั้งแต่เปิดประตูเข้าไป ถึงแม้ห้องนอนจะถูกตกแต่งด้วยสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน

Arimagyoenryokan-40

Arimagyoenryokan-40

มีชุดยูกะตะให้เปลี่ยนเพื่อให้สัมผัสถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมก็ไม่พลาดที่จะแต่งชุดยูกะตะเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของเมืองอาริมะออนเซ็น

Arimagyoenryokan-40

มื้อเย็นวันนี้ก็ไม่ต้องออกไปที่ไหนไกลเพราะทางโรงแรมได้จัดคอร์สอาหารญี่ปุ่นที่มีทั้ง ชาบูเนื้อโกเบสไลด์ ซาซิมิ เทมปุระ และพุดดิ้งสตรอว์เบอร์รี่ ที่มีพิธีการเสิร์ฟแบบธรรมเนียมญี่ปุ่น ให้เราได้ชมและได้ชิมเมนูต่างๆ อย่างจุใจ

Arimagyoenryokan-40

Arimagyoenryokan-24

กลับขึ้นมาที่ห้องนอน โต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้องในตอนแรกถูกเปลี่ยนเป็นที่นอนฟุตงตามสไตล์เรียวกังอยู่ที่กลางห้องแทน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนและเป็นหนึ่งเรื่องราวที่น่าประทับใจของการมาพักเรียวกังในญี่ปุ่น

Arimagyoenryokan-40

สำหรับการเดินทางมายังเมืองอาริมะออนเซ็นโดยรถสาธารณะจาก เกียวโต โกเบ และโอซาก้า จะมีรถบัสสาธารณะ (ด่วน) ให้บริการทุกวัน


Day2

เช้านี้แพลนของผมก็คือไปเดินรอบๆ เมืองอาริมะออนเซ็นเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคคันไซ และมีซิกเนเจอร์คือบ่อออนเซ็นที่มีน้ำร้อนสีทองซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมีคุณสมบัติพิเศษในการบำบัดและรักษาโรคได้ แต่ก่อนออกไปเดินเล่นก็ต้องมาชาร์จพลังด้วยมื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่นของทางโรงแรมที่มีพิธีรีตองการกินแบบสไตล์ญี่ปุ่นมีทั้งซุปมิโซะ ไข่ลวก สลัดผัก ปลาย่างร้อนๆ และเครื่องเคียงที่เป็นผักดองอีกหลายอย่าง

Arimagyoenryokan-36

เมื่อกินอิ่มแล้วก็ออกมาเดินเล่นรอบๆ เมืองอาริมะออนเซ็นท่ามกลางอากาศ 5 องศา จุดแรกที่ผมไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมแบบที่เรียกได้ว่าเดินออกมาจากโรงแรมก็เจอเลย คือสะพาน Taikobashi ที่มีลำธารอยู่ด้านล่างและมีน้ำพุร้อนไหลผ่านตลอดทั้งปี ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งแลนด์มาร์คของที่นี่ นอกจากนี้ ต้องไม่พลาดที่จะไปถ่ายรูปกับสะพานสีแดง Nene Bridge อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองอาริมะออนเซ็น

Arimahotspring-6

Arimahotspring-16

ตัวเมืองอาริมะออนเซ็นจะเป็นตรอกซอกซอยเล็กๆ และมีบ้านเรือนโบราณแบบญี่ปุ่นที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างดี ผมเดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงวัด ออนเซนจิ วัดเก่าแก่ของเมืองอาริมะออนเซ็นที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นสถานที่ขอพรสำหรับคนที่อยากมีลูก

Arimahotspring-6

Arimahotspring-6

มุมน่ารักๆ ของเมืองอาริมะออนเซ็นที่เต็มไปด้วยร้านขนมและร้านขายของฝากซึ่งถูกใจสายกินอย่างแน่นอน

Arimahotspring-6

Arimahotspring-6

Arimahotspring-6

แถมยังมีขนม อาริมะ เซมเบ้ ที่เป็นขนมที่มีชื่อเสียงของอาริมะออนเซ็น ที่มีโซดาน้ำแร่อาริมะมาเป็นส่วนผสมในการทำขนม ทำให้ขนมมีรสชาติที่อร่อยและแตกต่างจากที่อื่น

Arimahotspring-6

Arimahotspring-6

อย่างที่บอกไปแล้วว่าที่นี่เป็นเมืองออนเซ็นที่เก่าแก่ที่ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็สามารถเจอบ่อออนเซ็นได้ทั้งเมือง และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งบ่อออนเซ็นสาธารณะที่มีน้ำร้อนสีทองสำหรับแช่เท้าอีกด้วย ซึ่งจะไล่ระดับความร้อนของแต่ละบ่อ ตั้งแต่บ่อที่ร้อนที่สุดจะอยู่ชั้นบนสุดและบ่อที่ร้อนน้อยที่สุดจะอยู่ชั้นล่างสุด มาถึงถิ่นออนเซ็นทั้งทีผมก็ไม่พลาดที่จะลองเอาเท้าลงไปแช่

Arimahotspring-6

เดินมาอีกนิดก็มาเจอกับแหล่งผลิตน้ำแร่ออนเซ็นซึ่งเป็นบ่อที่สำคัญของเมือง ที่ขุดเจาะจากใต้ดินด้วยความลึกถึง 60 กิโลเมตร เพื่อนำน้ำแร่มาใช้ในออนเซ็นของแต่ละโรงแรม

Arimahotspring-6

Arimahotspring-6

เดินเล่นจนครบทุกซอกทุกซอยของเมืองอาริมะออนเซ็นแล้ว ผมเลยเดินทางไปต่อที่เมือง อิสุชิ (Izushi) ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางจากเมืองอาริมะออนเซ็นประมาน 2 ชั่วโมง ซึ่งตลอดสองข้างทางก็เต็มไปด้วยธรรมชาติและบ้านเรือนของชาวญี่ปุ่น

Onthewayizushi-4

Onthewayizushi-6

อิสุชิ (Izushi) อยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ เป็นเมืองเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยวัฒนธรรมและยังเป็นเมืองปราสาทโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่สมัยเอโดะ และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์สถาปัตยกรรมโบราณที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย และที่นี่ก็ยังมีของอร่อยอย่างโซบะเป็นซิกเนเจอร์ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะได้เจอกับร้านโซบะเรียงรายเต็มไปทั่วทั้งเมือง

Walkaroundizuchi-3

Walkaroundizuchi-9

เมื่อผมถึงเมืองอิสุชิแล้วก็ไม่พลาดที่จะไปถ่ายรูปหอนาฬิกา Shinkoro หอนาฬิกาโบราณที่เป็นสัญลักษณ์ของอิสุชิและยังคงใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน

Shinkoro-5

Shinkoro-12

เดินมาอีกไม่ไกลก็จะมี Eirakukan Kabuki Theatre โรงละครคาบูกิที่มีอายุมากกว่าร้อยปีที่ในอดีตเคยปิดตัวลงและได้ถูกทำการรีโนเวทขึ้นมาใหม่ซึ่งปัจจุบันยังคงมีการแสดงคาบูกิที่หาชมได้ยากอยู่ ค่าเข้าชม 240 – 300 เยน/คน

Kabukitheatre-3

เมื่อผมเดินเข้าไปในโรงละครคาบูกิก็ได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นแบบโบราณจริงๆ ซึ่งด้านบนจะเป็นเวทีสำหรับนักแสดงและด้านล่างจะเป็นที่นั่งสำหรับผู้ที่มาชมการแสดง ที่แปลกตาคือบริเวณที่นั่งจะมีทางเดินไม้คล้ายๆ สะพานซึ่งเป็นทางเดินสำหรับนักแสดง

Kabukitheatre-3

อีกหนึ่งไฮไลท์ของเมืองอิสุชิซึ่งถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของเมืองเลยก็คือ ซากปราสาทอิสุชิ (Ruins of Izushi Castle) ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะที่ตั้งโดดเด่นบนเนินเขา ถ้าหากจะขึ้นไปจะต้องเดินผ่านบันไดหินและ เสาโทริอิ สีแดงที่ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบซึ่งเป็นอีกหนึ่งมุมสำหรับการถ่ายรูปสวยๆ

Izushicastelruins-24

Izushicastelruins-24

Izushicastelruins-24

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องห้ามพลาด ซึ่งถ้าหากพลาดแล้วก็เหมือนมาไม่ถึงเมืองอิสุชิ นั้นก็คือการกินซาระโซบะ มื้อเที่ยงวันนี้ผมเลยไปลองชิมเมนูเด็ดของเมืองอิสุชิที่ร้าน Drive-In Izushi  ร้านโซบะชื่อดังของเมืองอิสุชิ และก็ไม่พลาดที่จะสั่งเมนู Izushi Sara Soba ที่มีเส้นโซบะเหนียวนุ่มซึ่งเป็นรสชาติที่หาไม่ได้จากที่ไหนอย่างแน่นอน

Izushisarasoba-1

Izushisarasoba-5

เมื่อมาถึงเมืองอิสุชิแล้วอีกหนึ่งเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กัน และใช้เวลาเดินทางประมาน 1 ชั่วโมงก็คือเมือง คิโนซากิ ออนเซ็น (Kinosaki Onsen) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดเมืองแห่งน้ำพุร้อนที่ถูกพบตั้งแต่สมัยอะซุกะ และเป็นเมืองที่มีบ่อออนเซ็นสาธารณะมากถึง 7 บ่อ ซึ่งแต่ละบ่อก็จะมีสไตล์และความเชื่อที่แตกต่างกันออกไปและยังเชื่ออีกว่าถ้าหากแช่ออนเซ็นครบทุกบ่อก็จะโชคดีและได้รับเรื่องดีๆ ไปตลอดทั้งปี

Kinosakihotspring-70

ออนเซ็นแห่งแรกที่ผมไปก็คือ Yanagi-Yu Onsen ออนเซ็นที่มีความเชื่อในเรื่องของการขอลูก ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 15.00 – 23.00 น. ราคา 600 เยน/คน ซึ่งภายในออนเซ็นจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือส่วนสำหรับผู้หญิงและส่วนสำหรับผู้ชาย 

Kinosakihotspring-70

และเดินมาอีกไม่ไกลผมก็มาถึงอีกหนึ่งออนเซ็นที่คนโสดไม่ควรพลาดก็คือ Gosho no Yu Onsen บ่อออนเซ็นที่ใหม่และใหญ่ที่สุดในบรรดาออนเซ็นทั้ง 7 บ่อ และมีความเชื่อในเรื่องของความรัก สำหรับใครที่กำลังตามหาความรักอยู่ละก็ ลองมาแช่ออนเซ็นแห่งนี้สักครั้ง

Kinosakihotspring-70

อีกหนึ่งไฮไลท์ถ้ามาเยือนถึงเมืองคิโนซากิออนเซ็นแล้วคือการเช่าชุดยูกะตะเดินเล่นในเมือง ซึ่งสามารถหาร้านเช่าชุดยูกะตะได้ทั่วทั้งเมืองคิโนซากิออนเซ็น และเมื่อมีชุดยูกะตะแล้วก็ต้องหามุมถ่ายรูปเด็ดๆ โดนๆ ซึ่งภายในเมืองก็มีมุมถ่ายภาพสวยๆ อยู่มากมาย อย่างมุมสวยๆ มุมนี้เรียกว่า สะพานซากุระ (SAKURABASHI Bridge) สะพานที่มีฉากหลังเป็นต้นซากุระเรียงรายไปตลอดสองฝั่งถนน

Kinosakihotspring-70

Kinosakihotspring-70

Kinosakihotspring-70

และผมก็ไม่พลาดที่จะไปดูบรรยากาศบ้านเก่าสไตล์ญี่ปุ่นที่อยู่เลียบคลองน้ำใสและเก็บภาพสะพานทั้ง 5 แห่งที่พาดผ่านคลองแห่งนี้ที่ทั้งสองฝั่งคลองเรียงรายไปด้วยต้นหลิวและต้นซากุระ

Kinosakihotspring-70

Kinosakihotspring-70

เดินมาอีกไม่ไกลผมก็มาพบกับบ่อน้ำพุร้อนที่สามารถดื่มได้ และคนญี่ปุ่นยังนิยมกรอกใส่ขวดเพื่อนำน้ำแร่กลับไปล้างหน้าเพราะน้ำแร่ของคิโนซากิออนเซ็นยังมีสรรพคุณที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวและสมานแผลได้อีกด้วย

Kinosakihotspring-70

มุมสวยๆ ของภายในเมืองคิโนซากิออนเซ็นที่สามารถพบเห็นหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นใส่ชุดยูกะตะเดินเล่นภายในเมืองซึ่งกลายเป็นภาพชินตาของผู้คนในเมืองคิโนซากิออนเซ็น แต่สำหรับผมแล้วเป็นภาพที่น่าประทับใจและหาชมได้ยากสุดๆ

Kinosakihotspring-70

Kinosakihotspring-70

Kinosakihotspring-70

Kinosakihotspring-70

เราใช้เวลาอยู่ที่เมืองคิโนซากิออนเซ็นอยู่นานพอสมควรก่อนที่จะเดินทางไปยังที่พักของเราในคืนนี้ นั่นก็คือ Hashidate Bay Hotel ในเกียวโตและใช้เวลาเดินทางไปประมาน 1 ชั่วโมงครึ่ง สำหรับโรงแรม Hashidate Bay Hotel เป็นโรงแรมสไตล์ยุโรปที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิวทะเลและสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างจุดชมวิวสะพานสู่สรวงสวรรค์ Amanohashidate

Hashidatebayhotel-28

Hashidatebayhotel-28

Hashidatebayhotel-28

ใกล้ๆโรงแรม มีเมืองข้างเคียง เป็นเมืองชายทะเลชื่อ มิยาซุ ซึ่งปูมัตสึบะ (Matsuba gani) เป็นของเด็ดประจำเมืองนี้

Hashidatebayhotel-2

ซึ่งในวันนี้ทางโรงแรมก็ได้มีคอร์สอาหารสไตล์ยุโรปที่มีวัตถุดิบหลักจากปูมัตสึบะมาให้เราได้ชิมกันทั้งเมนู สลัดปูมัตสึบะ ปูมัตสึบะราดซอส สเต็กเนื้อโกเบ และซุปปูมัตสึบะ ซึ่งแต่ละเมนูได้สัมผัสถึงความอร่อยจากเนื้อปูมัตสึบะแบบเต็มๆ

Untitled-5

หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนทันที ไม่รอช้าผมรีบขึ้นไปที่ห้องพักสำหรับคืนนี้ ภายในห้องมีพื้นที่ขนาดพอเหมาะและมีหน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวของหมู่บ้านริมทะเลที่อยู่ด้านนอกโรงแรมได้และยังครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่อยู่ภายในห้อง

Hashidatebayhotel-28

สำหรับวันที่สองของทริปนี้ผมไปตะลุยเที่ยวแบบเต็มที่ทั้งที่ อิสุชิ และ คิโนซากิ ออนเซ็น ซึ่งทั้งสองสถานที่นี้เป็นสถานที่ที่ไม่ไกลกันมากและคนส่วนใหญ่นิยมมาเที่ยวเป็นรูทเดียวกัน วิธีการเดินทางโดยรถสาธารณะก็สามารถเดินทางมาง่ายๆ โดยใช้รถไฟ JR มาลงที่สถานี Toyooka Station ที่อยู่ใกล้อิสุชิ ซึ่งจะมีทั้งรถบัสและรถไฟไปต่อที่ Kinosaki station


ความสนุกยังไม่จบเพียงเท่านี้ อ่านต่อ Part2>> เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก!! กับทริป 5 วัน 4 คืน ตะลุย 3 เมืองในแถบคันไซกับเส้นทางใหม่ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก Part2


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ