เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก!! 5 วัน 4 คืน ตะลุย 3 เมืองแถบคันไซกับเส้นทางใหม่ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก PART 1
9,028 ครั้ง
21 ก.พ. 2562
9,028 ครั้ง
21 ก.พ. 2562
เคยคิดกันไหมว่าถ้าได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกจะไปที่ไหน? ถ้าพูดถึงญี่ปุ่นหลายๆ คนก็คงคิดถึง โตเกียว โอซาก้า ฮอกไกโด ซัปโปโร แต่สำหรับการมาญี่ปุ่นครั้งแรกของผม ผมเลือกที่จะมาเที่ยวในภูมิภาคคันไซ ภูมิภาคที่น้อยคนแทบจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคันไซมีสถานที่ที่สวยงามอยู่มากมาย ทั้งลานสกีหิมะเทียมแห่งแรกของญี่ปุ่น จุดชมวิวที่สวยที่สุด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ และอีกหลายๆ ที่ที่ทำให้ผมได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นจริงๆ ซึ่งเป็นมุมมองการเที่ยวญี่ปุ่นที่แตกต่างไปจากเดิมที่ผมอยากให้เพื่อนๆ เดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเอง
ผมเดินทางออกจากสนามบินดอนเมืองไฟล์ทบินเวลา 23.50 น. มีหลายสายการบินที่บินตรงจากสนามบินดอนเมืองถึงสนามบินนานาชาติคันไซ แต่วันนี้ผมเลือกสายการบิน NokScoot (นกสกู๊ต) สายการบินราคาประหยัดที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเซฟงบค่าเดินทางแบบผม
ภายในตัวเครื่องกว้างขวาง นั่งสบายไม่อึดอัด ทำให้การไปญี่ปุ่นครั้งแรกของผมนั้นสะดวกและสบายกว่าที่คิดเอาไว้ ทำให้ผมประทับใจการเดินทางครั้งนี้ตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน นอกจากนี้ยังมีบริการอาหารอร่อยๆ ที่พร้อมเสิร์ฟบนเครื่องอีกด้วย
เมื่อมาถึงญี่ปุ่นแล้วจุดหมายแรกที่ผมมุ่งหน้าไปก็คือ Rokko Snow Park ลานสกีหิมะเทียมแห่งแรกของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่บนภูเขาร๊อคโค ที่เปิดให้บริการช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงสิ้นเดือนมีนาคมของทุกปี ที่สำคัญเดินทางมาจากสนามบินนานาชาติคันไซเพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็ได้มาเจอกับลานหิมะสีขาวแบบที่ไม่ต้องเสียเงินแพงๆ และเดินทางไปไกลถึงฮอกไกโด ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมเลือกมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในภูมิภาคคันไซ
ที่นี่ยังแบ่งลานสกีออกเป็น 2 โซนคือโซนแอดวานซ์สำหรับมือโปรที่ใช้ Snowboard และ Ski ในการเล่น ที่จะต้องไถลสกีลงไปบนลานหิมะและมี Chairlift สำหรับกลับขึ้นมาด้านบน
และโซนที่สอง โซนเบสิคสำหรับมือใหม่ สำหรับการมาเจอหิมะครั้งแรกของผม ผมเลยเลือกเล่นโซนเบสิคที่ใช้กระดานเลื่อนหิมะน่ารักๆ ในการเล่น
ใครที่มาเที่ยวที่นี่แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีชุดกันหนาวและอุปกรณ์สำหรับเล่นบนลานหิมะใส่ เพราะที่นี่มีบริการให้เช่าชุดและอุปกรณ์สำหรับนักท่องเที่ยวให้พร้อมทั้งเด็กและผู้ใหญ่
มาเยือนถึงเมืองโกเบทั้งทีจะพลาดกินเนื้อไปได้อย่างไร บนเขาร๊อคโคยังมีร้าน Rokkosan Genghis Khan Palace ภัตตาคารอาหารปิ้งย่าง มื้อเที่ยงวันนี้ก็เลยไม่รอช้าจัดเซ็ตปิ้งย่างเซ็ตใหญ่ที่มีทั้งเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู และเนื้อไก่ (เซ็ตอาหารในภาพ สำหรับกิน 3 – 4 คน ราคาคนละ 2000 เยน)
เนื้อโกเบนุ่มๆ ที่ย่างบนเตาร้อนๆ กินกับข้าวพร้อมราดซอสสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมดูวิวเมืองโกเบผ่านกระจกบานใหญ่ของร้านเป็นอะไรที่ฟินสุดๆ
ฝั่งตรงกันข้ามกับร้าน Rokkosan Genghis Khan Palace ยังมีอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่มีชื่อว่า Rokko Shidare Observatory ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเมืองโกเบและมีสถาปัตยกรรมรูปทรงคล้ายต้นไม้ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือยามค่ำคืนจะประดับไปด้วยไฟที่สวยงามและมองเห็นวิวยามค่ำคืนของเมืองโกเบอีกด้วย ราคาค่าเข้าชม 300 เยน/คน
ระหว่างทางกลับผมแวะที่ Rokko International Musical Box Museum พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะแห่งนี้และยังเก็บรวบรวมกล่องดนตรีโบราณจากทั่วโลกเอาไว้อีกด้วย ที่นี่มีทั้งกิจกรรมเวิร์คช็อปทำกล่องดนตรี การแสดงกล่องดนตรีโบราณจากทั่วโลก และมีร้านขายกล่องดนตรีแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่น
ผมเลยไม่พลาดที่จะมาเวิร์คช็อปทำกล่องดนตรีที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกด้วยตัวเองในราคา 2,230 เยน (ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1,600 เยนเป็นต้นไป) โดยขั้นตอนแรกจะต้องเลือกเพลงที่เราชอบและนำมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นกล่องดนตรีน่ารักๆ ซึ่งจะมีอุปกรณ์เตรียมไว้ให้พร้อมและมีสตาฟของพิพิธภัณฑ์คอยให้คำแนะนำตลอดเวลา
และยังได้ดูการแสดงกล่องดนตรีโบราณที่หาชมได้ยากจากทั่วโลกที่เก็บรวบรวมเอาไว้ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
ถ้าหากว่าใครที่มีเวลาน้อยและไม่ได้ทำกล่องดนตรีด้วยตัวเองก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะชั้นล่างยังมีกล่องดนตรีขายเป็นของที่ระลึก มีให้เลือกมากมายหลายเพลง หลายรูปแบบ
หรือใครที่ยังพอมีเวลาเหลือด้านหลังพิพิธภัณฑ์ยังมีพื้นที่สวนสวยๆ ที่มีบ่อน้ำอยู่ด้วย แต่ตอนนี้บ่อน้ำได้กลายเป็นบ่อน้ำแข็งผมก็เลยไม่พลาดเก็บภาพสวยๆ เอาไว้
สำหรับการเดินทางมายังเขาร๊อคโคโดยรถสาธารณะสามารถนั่งรถไฟจากโอซาก้ามาลงที่สถานี Hankyu Rokko และต่อรถ Kobe City Bus ไปขึ้น Rokko Cable Car และยังสามารถนั่งรถ Rokko Sanjo Bus ขึ้นมาบนเขาร็อคโคได้เลย
นอกจากจะได้เห็นภูเขาหิมะและธรรมชาติสวยๆ แล้ว ก็เปลี่ยนบรรยากาศมาดูความทันสมัยของเมืองโกเบกันบ้าง ผมนั่งรถลงมาประมานครึ่งชั่วโมงก็มาถึง Kobe Harborland แหล่งรวมความทันสมัยของเมืองโกเบที่มีแลนด์มาร์คชิคๆ อย่าง Kobe Port Tower หอคอยสำหรับชมวิวเมืองโกเบและ Kobe Harborland Umie ที่เป็นแหล่งช็อปปิ้ง มีร้านขายของแฮนด์เมด ร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขนมอร่อยๆ มากมาย
เมื่อมาถึง Kobe Harborland แล้ว ร้านที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือร้าน Real Dining Cafe คาเฟ่ริมอ่าวโกเบที่สามารถชมวิวสวยๆ ของอ่าวโกเบได้แบบใกล้ๆ และยังมีขนมเค้กที่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านอย่าง Denmark Cheese ชีสเค้กยืดสุดละมุนราคา 350 เยน กินคู่กับ Caramel nut Latte ลาเต้คาราเมลหอมๆ หรือ Raspberry Latte ลาเต้ที่ผสมราสเบอร์รี่ได้อย่างลงตัว ราคา 600 เยน รับรองเลยว่าจะต้องฟินสุดๆ
และยังมีร้าน KUWA KUWA KOBE ร้านรองเท้าแฮนด์เมดแบบ Made in Japan แท้ๆ ที่มีรองเท้าสวยๆ มากมายให้เลือกช็อป
เดินมาอีกนิดก็จะเจอร้าน EAVA Kobe ร้านกระเป๋าแฮนด์เมดสไตล์เก๋ไก๋แบบไม่ซ้ำใครที่มีกระเป๋าให้เลือกหลายแบบทั้งกระเป๋าสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ห้ามพลาดเลยก็คือการนั่งชิงช้าสวรรค์ Mosaic Ferris Wheel ราคา 800 เยน/คน ใช้เวลาประมาน 10 นาที ซึ่งสำหรับผมแล้วเป็น 10 นาทีที่คุ้มค่ามากๆ เพราะเมื่อชิงช้าหมุนสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมได้เห็นวิวที่แตกต่างกันออกไปทั้งวิวท่าเรืออ่าวโกเบและวิวเมืองโกเบ
ช่วงเย็นหากใครที่ยังพอมีเวลาว่างก็ต้องไม่พลาดที่จะมาเดินเล่นรับลมชิลล์ๆ พร้อมชมวิวอ่าวโกเบ ที่ Meriken Park สวนสาธารณะขนาดย่อมริมอ่าวโกเบที่อัดแน่นไปด้วยสเน่ห์ของเมืองโกเบที่ในอดีตเคยมีชาวอเมริกันอาศัยอยู่จึงทำให้ชาวญี่ปุ่นเรียกที่นี่ว่าเมอริเคนปาร์ค และยังเป็นสวนสาธารณะที่ชาวญี่ปุ่นนิยมออกมานั่งเล่นรีแลกซ์กันในตอนเย็น ทำให้ผมได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นแบบจริงๆ
และยังสามารถเห็น Kobe Port Tower หอคอยสีแดงที่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองโกเบแบบใกล้ๆ บนหอคอยมีจุดชมวิวเมืองโกเบแบบ 360 องศาอยู่ด้วย ราคาค่าเข้าชม 700 เยน/คน
ดื่มด่ำบรรยากาศของเมืองโกเบกันพอสมควรแล้วผมก็เลยเดินทางไปต่อที่เมืองอาริมะออนเซ็น สำหรับที่พักของผมในคืนนี้คือโรงแรม Arima Gyoen Ryokan ที่พักสไตล์เรียวกังแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ตั้งอยู่ที่เมือง อาริมะ ออนเซ็น (Arima Onsen) ซึ่งเดินทางออกจากตัวเมืองโกเบประมาน 30 นาที ซึ่งมีซิกเนเจอร์ของโรงแรมก็คือบ่อออนเซ็นทั้ง 2 แบบคือแบบ คินเซ็น (Kinsen) บ่อน้ำร้อนสีทอง และแบบ กินเซ็น (Ginsen) บ่อน้ำร้อนใสไร้สี ให้เลือกแช่ผ่อนคลาย
ห้องนอนสไตล์เรียวกังที่ได้กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นตั้งแต่เปิดประตูเข้าไป ถึงแม้ห้องนอนจะถูกตกแต่งด้วยสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน
มีชุดยูกะตะให้เปลี่ยนเพื่อให้สัมผัสถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมก็ไม่พลาดที่จะแต่งชุดยูกะตะเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของเมืองอาริมะออนเซ็น
มื้อเย็นวันนี้ก็ไม่ต้องออกไปที่ไหนไกลเพราะทางโรงแรมได้จัดคอร์สอาหารญี่ปุ่นที่มีทั้ง ชาบูเนื้อโกเบสไลด์ ซาซิมิ เทมปุระ และพุดดิ้งสตรอว์เบอร์รี่ ที่มีพิธีการเสิร์ฟแบบธรรมเนียมญี่ปุ่น ให้เราได้ชมและได้ชิมเมนูต่างๆ อย่างจุใจ
กลับขึ้นมาที่ห้องนอน โต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้องในตอนแรกถูกเปลี่ยนเป็นที่นอนฟุตงตามสไตล์เรียวกังอยู่ที่กลางห้องแทน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนและเป็นหนึ่งเรื่องราวที่น่าประทับใจของการมาพักเรียวกังในญี่ปุ่น
สำหรับการเดินทางมายังเมืองอาริมะออนเซ็นโดยรถสาธารณะจาก เกียวโต โกเบ และโอซาก้า จะมีรถบัสสาธารณะ (ด่วน) ให้บริการทุกวัน
เช้านี้แพลนของผมก็คือไปเดินรอบๆ เมืองอาริมะออนเซ็นเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคคันไซ และมีซิกเนเจอร์คือบ่อออนเซ็นที่มีน้ำร้อนสีทองซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมีคุณสมบัติพิเศษในการบำบัดและรักษาโรคได้ แต่ก่อนออกไปเดินเล่นก็ต้องมาชาร์จพลังด้วยมื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่นของทางโรงแรมที่มีพิธีรีตองการกินแบบสไตล์ญี่ปุ่นมีทั้งซุปมิโซะ ไข่ลวก สลัดผัก ปลาย่างร้อนๆ และเครื่องเคียงที่เป็นผักดองอีกหลายอย่าง
เมื่อกินอิ่มแล้วก็ออกมาเดินเล่นรอบๆ เมืองอาริมะออนเซ็นท่ามกลางอากาศ 5 องศา จุดแรกที่ผมไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมแบบที่เรียกได้ว่าเดินออกมาจากโรงแรมก็เจอเลย คือสะพาน Taikobashi ที่มีลำธารอยู่ด้านล่างและมีน้ำพุร้อนไหลผ่านตลอดทั้งปี ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งแลนด์มาร์คของที่นี่ นอกจากนี้ ต้องไม่พลาดที่จะไปถ่ายรูปกับสะพานสีแดง Nene Bridge อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองอาริมะออนเซ็น
ตัวเมืองอาริมะออนเซ็นจะเป็นตรอกซอกซอยเล็กๆ และมีบ้านเรือนโบราณแบบญี่ปุ่นที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างดี ผมเดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงวัด ออนเซนจิ วัดเก่าแก่ของเมืองอาริมะออนเซ็นที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นสถานที่ขอพรสำหรับคนที่อยากมีลูก
มุมน่ารักๆ ของเมืองอาริมะออนเซ็นที่เต็มไปด้วยร้านขนมและร้านขายของฝากซึ่งถูกใจสายกินอย่างแน่นอน
แถมยังมีขนม อาริมะ เซมเบ้ ที่เป็นขนมที่มีชื่อเสียงของอาริมะออนเซ็น ที่มีโซดาน้ำแร่อาริมะมาเป็นส่วนผสมในการทำขนม ทำให้ขนมมีรสชาติที่อร่อยและแตกต่างจากที่อื่น
อย่างที่บอกไปแล้วว่าที่นี่เป็นเมืองออนเซ็นที่เก่าแก่ที่ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็สามารถเจอบ่อออนเซ็นได้ทั้งเมือง และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งบ่อออนเซ็นสาธารณะที่มีน้ำร้อนสีทองสำหรับแช่เท้าอีกด้วย ซึ่งจะไล่ระดับความร้อนของแต่ละบ่อ ตั้งแต่บ่อที่ร้อนที่สุดจะอยู่ชั้นบนสุดและบ่อที่ร้อนน้อยที่สุดจะอยู่ชั้นล่างสุด มาถึงถิ่นออนเซ็นทั้งทีผมก็ไม่พลาดที่จะลองเอาเท้าลงไปแช่
เดินมาอีกนิดก็มาเจอกับแหล่งผลิตน้ำแร่ออนเซ็นซึ่งเป็นบ่อที่สำคัญของเมือง ที่ขุดเจาะจากใต้ดินด้วยความลึกถึง 60 กิโลเมตร เพื่อนำน้ำแร่มาใช้ในออนเซ็นของแต่ละโรงแรม
เดินเล่นจนครบทุกซอกทุกซอยของเมืองอาริมะออนเซ็นแล้ว ผมเลยเดินทางไปต่อที่เมือง อิสุชิ (Izushi) ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางจากเมืองอาริมะออนเซ็นประมาน 2 ชั่วโมง ซึ่งตลอดสองข้างทางก็เต็มไปด้วยธรรมชาติและบ้านเรือนของชาวญี่ปุ่น
อิสุชิ (Izushi) อยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ เป็นเมืองเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยวัฒนธรรมและยังเป็นเมืองปราสาทโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่สมัยเอโดะ และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์สถาปัตยกรรมโบราณที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย และที่นี่ก็ยังมีของอร่อยอย่างโซบะเป็นซิกเนเจอร์ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะได้เจอกับร้านโซบะเรียงรายเต็มไปทั่วทั้งเมือง
เมื่อผมถึงเมืองอิสุชิแล้วก็ไม่พลาดที่จะไปถ่ายรูปหอนาฬิกา Shinkoro หอนาฬิกาโบราณที่เป็นสัญลักษณ์ของอิสุชิและยังคงใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน
เดินมาอีกไม่ไกลก็จะมี Eirakukan Kabuki Theatre โรงละครคาบูกิที่มีอายุมากกว่าร้อยปีที่ในอดีตเคยปิดตัวลงและได้ถูกทำการรีโนเวทขึ้นมาใหม่ซึ่งปัจจุบันยังคงมีการแสดงคาบูกิที่หาชมได้ยากอยู่ ค่าเข้าชม 240 – 300 เยน/คน
เมื่อผมเดินเข้าไปในโรงละครคาบูกิก็ได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นแบบโบราณจริงๆ ซึ่งด้านบนจะเป็นเวทีสำหรับนักแสดงและด้านล่างจะเป็นที่นั่งสำหรับผู้ที่มาชมการแสดง ที่แปลกตาคือบริเวณที่นั่งจะมีทางเดินไม้คล้ายๆ สะพานซึ่งเป็นทางเดินสำหรับนักแสดง
อีกหนึ่งไฮไลท์ของเมืองอิสุชิซึ่งถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของเมืองเลยก็คือ ซากปราสาทอิสุชิ (Ruins of Izushi Castle) ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะที่ตั้งโดดเด่นบนเนินเขา ถ้าหากจะขึ้นไปจะต้องเดินผ่านบันไดหินและ เสาโทริอิ สีแดงที่ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบซึ่งเป็นอีกหนึ่งมุมสำหรับการถ่ายรูปสวยๆ
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องห้ามพลาด ซึ่งถ้าหากพลาดแล้วก็เหมือนมาไม่ถึงเมืองอิสุชิ นั้นก็คือการกินซาระโซบะ มื้อเที่ยงวันนี้ผมเลยไปลองชิมเมนูเด็ดของเมืองอิสุชิที่ร้าน Drive-In Izushi ร้านโซบะชื่อดังของเมืองอิสุชิ และก็ไม่พลาดที่จะสั่งเมนู Izushi Sara Soba ที่มีเส้นโซบะเหนียวนุ่มซึ่งเป็นรสชาติที่หาไม่ได้จากที่ไหนอย่างแน่นอน
เมื่อมาถึงเมืองอิสุชิแล้วอีกหนึ่งเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กัน และใช้เวลาเดินทางประมาน 1 ชั่วโมงก็คือเมือง คิโนซากิ ออนเซ็น (Kinosaki Onsen) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดเมืองแห่งน้ำพุร้อนที่ถูกพบตั้งแต่สมัยอะซุกะ และเป็นเมืองที่มีบ่อออนเซ็นสาธารณะมากถึง 7 บ่อ ซึ่งแต่ละบ่อก็จะมีสไตล์และความเชื่อที่แตกต่างกันออกไปและยังเชื่ออีกว่าถ้าหากแช่ออนเซ็นครบทุกบ่อก็จะโชคดีและได้รับเรื่องดีๆ ไปตลอดทั้งปี
ออนเซ็นแห่งแรกที่ผมไปก็คือ Yanagi-Yu Onsen ออนเซ็นที่มีความเชื่อในเรื่องของการขอลูก ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 15.00 – 23.00 น. ราคา 600 เยน/คน ซึ่งภายในออนเซ็นจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือส่วนสำหรับผู้หญิงและส่วนสำหรับผู้ชาย
และเดินมาอีกไม่ไกลผมก็มาถึงอีกหนึ่งออนเซ็นที่คนโสดไม่ควรพลาดก็คือ Gosho no Yu Onsen บ่อออนเซ็นที่ใหม่และใหญ่ที่สุดในบรรดาออนเซ็นทั้ง 7 บ่อ และมีความเชื่อในเรื่องของความรัก สำหรับใครที่กำลังตามหาความรักอยู่ละก็ ลองมาแช่ออนเซ็นแห่งนี้สักครั้ง
อีกหนึ่งไฮไลท์ถ้ามาเยือนถึงเมืองคิโนซากิออนเซ็นแล้วคือการเช่าชุดยูกะตะเดินเล่นในเมือง ซึ่งสามารถหาร้านเช่าชุดยูกะตะได้ทั่วทั้งเมืองคิโนซากิออนเซ็น และเมื่อมีชุดยูกะตะแล้วก็ต้องหามุมถ่ายรูปเด็ดๆ โดนๆ ซึ่งภายในเมืองก็มีมุมถ่ายภาพสวยๆ อยู่มากมาย อย่างมุมสวยๆ มุมนี้เรียกว่า สะพานซากุระ (SAKURABASHI Bridge) สะพานที่มีฉากหลังเป็นต้นซากุระเรียงรายไปตลอดสองฝั่งถนน
และผมก็ไม่พลาดที่จะไปดูบรรยากาศบ้านเก่าสไตล์ญี่ปุ่นที่อยู่เลียบคลองน้ำใสและเก็บภาพสะพานทั้ง 5 แห่งที่พาดผ่านคลองแห่งนี้ที่ทั้งสองฝั่งคลองเรียงรายไปด้วยต้นหลิวและต้นซากุระ
เดินมาอีกไม่ไกลผมก็มาพบกับบ่อน้ำพุร้อนที่สามารถดื่มได้ และคนญี่ปุ่นยังนิยมกรอกใส่ขวดเพื่อนำน้ำแร่กลับไปล้างหน้าเพราะน้ำแร่ของคิโนซากิออนเซ็นยังมีสรรพคุณที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวและสมานแผลได้อีกด้วย
มุมสวยๆ ของภายในเมืองคิโนซากิออนเซ็นที่สามารถพบเห็นหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นใส่ชุดยูกะตะเดินเล่นภายในเมืองซึ่งกลายเป็นภาพชินตาของผู้คนในเมืองคิโนซากิออนเซ็น แต่สำหรับผมแล้วเป็นภาพที่น่าประทับใจและหาชมได้ยากสุดๆ
เราใช้เวลาอยู่ที่เมืองคิโนซากิออนเซ็นอยู่นานพอสมควรก่อนที่จะเดินทางไปยังที่พักของเราในคืนนี้ นั่นก็คือ Hashidate Bay Hotel ในเกียวโตและใช้เวลาเดินทางไปประมาน 1 ชั่วโมงครึ่ง สำหรับโรงแรม Hashidate Bay Hotel เป็นโรงแรมสไตล์ยุโรปที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิวทะเลและสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างจุดชมวิวสะพานสู่สรวงสวรรค์ Amanohashidate
ใกล้ๆโรงแรม มีเมืองข้างเคียง เป็นเมืองชายทะเลชื่อ มิยาซุ ซึ่งปูมัตสึบะ (Matsuba gani) เป็นของเด็ดประจำเมืองนี้
ซึ่งในวันนี้ทางโรงแรมก็ได้มีคอร์สอาหารสไตล์ยุโรปที่มีวัตถุดิบหลักจากปูมัตสึบะมาให้เราได้ชิมกันทั้งเมนู สลัดปูมัตสึบะ ปูมัตสึบะราดซอส สเต็กเนื้อโกเบ และซุปปูมัตสึบะ ซึ่งแต่ละเมนูได้สัมผัสถึงความอร่อยจากเนื้อปูมัตสึบะแบบเต็มๆ
หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนทันที ไม่รอช้าผมรีบขึ้นไปที่ห้องพักสำหรับคืนนี้ ภายในห้องมีพื้นที่ขนาดพอเหมาะและมีหน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวของหมู่บ้านริมทะเลที่อยู่ด้านนอกโรงแรมได้และยังครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่อยู่ภายในห้อง
สำหรับวันที่สองของทริปนี้ผมไปตะลุยเที่ยวแบบเต็มที่ทั้งที่ อิสุชิ และ คิโนซากิ ออนเซ็น ซึ่งทั้งสองสถานที่นี้เป็นสถานที่ที่ไม่ไกลกันมากและคนส่วนใหญ่นิยมมาเที่ยวเป็นรูทเดียวกัน วิธีการเดินทางโดยรถสาธารณะก็สามารถเดินทางมาง่ายๆ โดยใช้รถไฟ JR มาลงที่สถานี Toyooka Station ที่อยู่ใกล้อิสุชิ ซึ่งจะมีทั้งรถบัสและรถไฟไปต่อที่ Kinosaki station
ความสนุกยังไม่จบเพียงเท่านี้ อ่านต่อ Part2>> เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก!! กับทริป 5 วัน 4 คืน ตะลุย 3 เมืองในแถบคันไซกับเส้นทางใหม่ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก Part2