กาญจนบุรี 2วัน 1คืน เน้นเรื่องกิน ฟินเรื่องเที่ยวตัวเมืองกาญฯ หยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็เที่ยวได้แบบชิลล์ๆ
35,090 ครั้ง
8 ต.ค. 2561
35,090 ครั้ง
8 ต.ค. 2561
พอเลื่อนหน้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊คช่วงนี้ก็จะเจอที่เที่ยวกาญจนบุรีแบบรัวๆ ยิ่งช่วงใกล้ปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ อากาศที่กาญจนบุรีกำลังเย็นสบายดี ใครที่เบื่ออยากจะเที่ยวแต่ยังไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน จะไปเที่ยวไกลๆ ก็กลัวหมดเวลาเยอะกลับมาทำงานไม่ทัน วันนี้ ทริปเก็ทเตอร์ เลยมีทริปเล็กๆ มาฝากเพื่อนๆ ใครที่กำลังมองหาที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ อยู่ต้องห้ามพลาด อ้ะ! แต่ต้องบอกก่อนนะว่าทริปนี้เน้นเรื่องกิน ฟินเรื่องเที่ยวในตัวเมืองกาญฯ แถมที่พักยังใกล้ที่เที่ยวอีกด้วย เดินทางเช้าวันเสาร์ กลับเย็นวันอาทิตย์ได้แบบสบายๆ เตรียมสมุดลิสต์รายชื่อให้พร้อม แล้วไปลุยกันเล้ย!
เช้าวันเสาร์เราตื่นนอนกันตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยัง จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายและมีที่พักบรรยากาศดีๆ อีกเพียบ แต่ทริปนี้เราเน้นกิน เน้นเที่ยวในตัวเมืองกาญฯ จริงๆ เพราะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานมานานแสนนาน เลยมาหาที่รีชาร์จพลังกันให้ตัวเองสักหน่อย เราออกเดินทางกันตั้งแต่ 09.00 น. จากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง กว่าจะถึงตัวเมืองกาญจนบุรีก็เที่ยงวันพอดี พอถึงตอนเที่ยงท้องก็เริ่มร้อง เราเลยมาแวะกันที่ ร้านอาหารแพคุณอี๊ด ร้านเด็ดริมแม่น้ำแควที่แนะนำว่ามาแล้วต้องแวะให้ได้
ร้านอาหารแพคุณอี๊ด เป็นอีกหนึ่งร้านน่านั่งติดริมแม่น้ำแคว มีทั้งโซนแพริมน้ำและโซนห้องแอร์ พอถึงปุ๊บก็ไม่รอช้า รีบสั่งอาหารทันที วันนี้เราสั่ง เซตน้ำพริกปลาทูผักต้ม ไข่เจียวฟู และแกงปลา อิ่มท้องแล้วก็พร้อมลุยกันต่อ
และเราก็มากันต่อที่ วัดถ้ำพุหว้า วัดที่สร้างด้วยศิลปะแบบขอมประยุกต์ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามมากๆ รอบๆ วัดก็เต็มไปด้วยต้นไม้ที่ร่มรื่น ที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองกาญจนบุรีอีกด้วย
ภายในจะเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม และยังสามารถเข้าไปกราบไหว้ขอพรกันได้ แถมข้างในยังอากาศเย็นและเงียบสงบสุดๆ
ใช้เวลาที่วัดถ้ำพุหว้าอยู่ไม่นานก็ได้เวลาเช็คอินที่พัก วันที่เรามาพักกันที่ รอยัล ริเวอร์แคว รีสอร์ต แอนด์ สปา ที่พักหรูสไตล์ไทยๆ ติดริมแม่น้ำแคว ที่พักบรรยากาศร่มรื่น เมื่อมาถึงเราก็ได้รับการต้อบรับอย่างอบอุ่น และ Welcome Drink สุดสดชื่น
ภายในตัวรีสอร์ทเต็มไปด้วยต้นไม้ดูแล้วสบายตามากๆ และมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางอีกด้วย
ภายในห้องพักก็เรียบหรูตกแต่งด้วยสไตล์ไทยๆ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ผสมผสานกันอย่างลงตัว ขนาดห้องก็กว้างขวางและมีระเบียงส่วนตัวไว้ให้สูดอากาศและชมวิวสวนภายในรีสอร์ทอีกด้วย
หลังจากนั่งรถมานานก็เลยมานวดผ่อนคลายกันสักหน่อย ที่นี่เป็นรีสอร์ทที่มีบริการนวดและทำสปา แถมห้องที่นวดยังเป็นกระจกมองเห็นวิวแม่น้ำแควอีกด้วย รับรองว่าผ่อนคลายสุดๆ
และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ มุมชิงช้าริมน้ำ ที่สามารถมาดูวิวพระอาทิตย์ตกพร้อมกับเอาเท้าจุ่มน้ำไปพร้อมกันแบบชิลล์ๆ และมุมระเบียงริมน้ำที่สามารถเห็นวิวแม่น้ำแควได้แบบ 180 องศา
พอพระอาทิตย์ตกดินท้องฟ้าเริ่มมืดท้องก็เริ่มร้องอีกรอบ มื้อเย็นนี้ก็เลยขอจัดหนักอีกรอบกับอาหารสไตล์ไทยๆ ของทางรีสอร์ท ไม่ว่าจะเป็น แกงเขียวหวานโรตี, แกงฮังเลกระดูกอ่อน และอีกหลายเมนูที่หากินที่หาทานได้ยาก
เช้าวันอาทิตย์ วันนี้เราตื่นเช้าอีกเช่นเคย เพราะว่าวันนี้เราจะตะลุยเที่ยวเมืองกาญฯ กันก่อนกลับกรุงเทพฯ เลยขอชาร์จพลังกับอาหารเช้าของทางรีสอร์ทกันสักหน่อย
กินอิ่มแล้วก็พร้อมออกเดินทาง วันนี้เรามาเที่ยวที่สถานที่เที่ยวเปิดใหม่ที่ไปแล้วเหมือนหลุดเข้าไปในยุคโบราณอย่างไงอย่างงั้น และที่นั่นก็คือ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 เมืองย้อนยุคของวิถีชีวิตชาวสยามลุ่มแม่น้ำเจ้าพญาในสมัย ร.5 และยังบอกเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์มากมาย
ก่อนเข้าไปในเมืองมัลลิกาก็เลยมาเปลื่ยนชุดให้เข้ากับบรรยากาศสักหน่อย ที่นี่มีบริการเช่าชุดไทยให้ใส่เดินถ่ายรูปสวยๆ ภายในเมืองมัลลิกาอีกด้วย
วันนี้เลยเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นแม่หญิงการะเกดแบบชิคๆ สักวัน แค่เห็นทางเข้าก็ยิ่งใหญ่แล้ว ลองเข้าไปดูข้างในสักหน่อยว่าเป็นอย่างไงบ้าง
เมื่อเดินเข้ามาก็จะเจอกับโซน สะพานหัน ที่มีร้านค้าโบราณและแม่ค้าแต่งตัวย้อนยุค มีของขายหลากหลายอย่าง ถัดเข้ามาก็จะเจอโซน ย่านแพรง ที่มีขนมโบราณขายไม่ว่าจะเป็น ขนมเบื้อง, ขนมม้าฮ้อ และขนมที่หากินได้ยากอีกหลายอย่าง
และโซน ย่านเยาวราช ที่จำลองชุมชนคนจีนในอดีตมาไว้อีกด้วย และยังมีอีหลากหลายโซน ไม่ว่าจะเป็นโซน เรือนหมู่, หอชมเมือง, เรือนแพ, เรือนเดี่ยว, เรือนคหบดี, ยุ้งข้าว และอีกหลากหลายโซนที่จำลองวิถีชีวิตชาวสยามในอดีตมาไว้ที่นี่
บอกก่อนเลยว่าใครที่อยากมาเที่ยวที่เมืองมัลลิกาต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆ เพราะว่าที่นี่มีพื้นที่เยอะและมีหลากหลายโซนมากๆ และแต่ละโซนก็ยังสวยงามและบอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้เป็นอย่างดี
เสร็จจากเที่ยวเมืองมัลลิกาแล้วเราก็ไปตะลุยกันต่อที่อีกหนึ่งไฮไลท์แห่งเมืองกาญจนบุรีที่ใครมาก็ต้องไม่พลาด นั่นก็คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานที่มีเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเวลาที่เราไปก็ประมานหกโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่รถไฟมาพอดี
ก่อนกลับกรุงเทพฯ เราเลยมาแวะกันที่ ครัวต้นแม่กลอง ร้านอาหารแพริมแม่น้ำแม่กลองบรรยากาศดี ที่สามารถนั่งกินและนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำไปพร้อมๆกัน บรรยากาศภายในร้านตกแต่งแบบเรียบง่าย แบ่งโซนที่นั่งออกเป็น 2 โซนด้วยกัน คือ โซนอินดอร์และโซนเอ้าท์ดอร์ และยังมีเปลตาข่ายไว้ให้ถ่ายรูปเก๋ๆอีกด้วย
มื้อเย็นนี้เลยจัดหนักกันอีกรอบกับเมนู เมนูน้ำพริกปลาย่าง, แกงคั่วหอยขม, ยำถั่วพลู, ปลากระพงทอดราดน้ำปลา นั่งกินเพลินๆ พร้อมชมบรรยากาศแม่น้ำแม่กลองก่อนกลับเป็นอะไรที่ฟินสุดๆ
เป็นอย่างไงกันบ้างกับทริปเล็กๆ 2วัน1 คืน เที่ยวกาญจนบุรี ทริปนี้เน้นกิน เน้นเที่ยวในตัวเมืองกาญฯ ที่สำคัญทริปนี้เรามาเสาร์-อาทิตย์ ก็สามารถเที่ยวได้แบบชิลล์ๆ แถมยังได้รูปสวยๆ อีกเพียบ ที่สำคัญยังมีแรงเหลือไปลุยงานต่อในวันจันทร์อย่างแน่นอน ใครที่กำลังมองหาที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ แนะนำให้มาตามทริปเราได้เลย รับรองแฮปปี้ทั้งใจ แฮปปี้ทั้งพุงแน่นอน เป็ดน้อยคอนเฟิร์ม!!!