จันแล้ว.. จันเล่า ไปเที่ยวจันทบุรี เมืองที่ไม่ได้มีดีแค่ผลไม้อร่อย
8,070 ครั้ง
26 มี.ค. 2560
8,070 ครั้ง
26 มี.ค. 2560
ถ้าจะพูดถึงการรวมตัวกับเพื่อนครั้งยิ่งใหญ่เพื่อออกเที่ยวกันอีกครั้ง มันโคตรยากเลยใช่มั้ย? ตอบให้เลยว่าใช่ครับ เพราะต่างคนต่างทำงาน เวลานัดทานข้าวยังลำบากเลย แล้วจะนับประสาอะไรกับการไปเที่ยวกันเล่า (แหม่…..เหมือนแซะเพื่อนในนี้ยังไงยังงั้น ฮ่าๆ)bแต่วันนี้มาถึงแล้วครับ วันที่พวกเราสละเวลารวมตัวเพื่อออกเที่ยวกันอีกครั้ง ได้มา 12คน และยอมลางาน 1วัน เพื่อให้ได้เที่ยว3วัน 2คืน ที่จังหวัดจันน๊ะจ๊ะบุรี 12คน สนุกแน่ๆ
คำขวัญจังหวัดจันทบุรี น้ำตกลือเลื่อง เมืองผลไม้ พริกไทยพันธุ์ดี อัญมณีมากเหลือ เสื่อจันทบูร สมบูรณ์ธรรมชาติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวมญาติกู้ชาติที่จันทบุรี
ทุกภาพ ถ่ายด้วยกล้อง
Nikon dslr + iPhone 5s
Process Lightroom CC
Day: 1 นัดรวมตัวกันเช้าตรู่ รอจนครบก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองจัน ระหว่างทางมาดูโปรแกรมตลอด 3วัน กันเลย (เส้นทางปรับเปลี่ยนตามหน้างาน)
ที่แรกคือน้ำตกพลิ้ว สักเที่ยงๆเพื่อนคงถึง ส่วนตัวผมเองคงพลาดที่นี่ เพราะตามไปช้าเกินก็หวังรอดูรูปจากเพื่อนเอาแล้วกัน ระหว่างตามไปก็เซย์ฮัลโหลวหาสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไอ่น้ำตกพลิ้วเนี่ย… เพื่อนบอกฝนตก! เลยไม่ได้ไปตอนนี้กำลังหาอะไรกินแล้วจะเข้าที่พักก่อน อืม ไอ่เราก็กะตกแปปๆ คงหยุดมั๊งนี่เพิ่งเที่ยงเองเลยบอกไปว่า งั้นตอนเย็นเจอกันอีกที่เลยคือจุดชมวิวเนินนางพญา กับ หาดคุ้งวิมาน ไปดูพระอาทิตย์ตกกัน ก็วางสายไป “โอ่ย ที่แรกก็เฟลเสียแล้ว”
กำลังใจ
ช่วงติดไฟแดงเจอคุณลุงคุณป้า จากภาพคือคุณป้านั่งหันหน้าออกแล้วเอามือจับรถเข็นเอาไว้โดยที่รถเข็นไม่ได้ยึดกับตัวรถมอไซค์เลย เห็นแล้วก็พูดอะไรไม่ค่อยออก ” รู้สึกแค่ว่าถ้าเราคิดว่าเราลำบากแล้ว ก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว ซึ่งต่างคนก็ต่างมีภาระของตัวเองต่างกันออกไป แต่จงมองเพื่อเป็นกำลังใจก็แล้วกัน..”
ฝนตกหนัก
หืม พอเริ่มเข้าตัวเมืองจันเท่านั้นแหละฝนนี่ตกอย่างกะพายุเข้า (ก็พายุเข้าน่ะสิโว้ยยยยยเพิ่งมารู้ทีหลัง) ตกหนักจนขับรถต่อแทบไม่ได้ คือมันมองไม่เห็นทางข้างหน้าเลยแต่ก็ไปช้าๆ เรื่อยๆ ตอนนี้คือเริ่มเซ็งละ บ่าย 3โมงแล้ว ยังตกหนักอยู่เลยอย่าว่าแต่ชมวิวดูพระอาทิตย์ตก แค่เอาชีวิตรอด จากการฝ่าเม็ดฝนนับล้านนี่ยังลำบาก จึงสรุปกับเพื่อนอีกรอบว่าเจอกันที่โฮสเทลก่อนแล้วกัน ระหว่างทางไปโฮสเทลก็พลางถอนหายใจไปเรื่อย ที่ว่าวันแรกก็เละซะแล้ว มันคือปัญหาที่ผมคิดว่าหลายๆคนก็คงเจอ วางแผนมาซะดิบดีให้ตายยังไง หน้างานก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันไม่เป็นไปตามแผนอยู่ดี (อืมมมมก็คงเป็นเสน่ห์แหละมั้ง ปลอบใจตัวเองไปพร้อมกับน้ำตาซึม T T)
Sim27 Hostel
ถึงโฮสเทลครบองค์ประชุมกันแล้วก็เดินไปนั่งเล่นที่ลิฟวิ่งชั้น2 เพื่อรอฝนหยุดตก ภายในลิฟวิ่งดูโอ่โถงมาก นั่งกัน 12คน ไม่อึดอัดเลย มีเกมเพย์4 ให้เล่น, มีหนังให้ดู, มีหนังสือให้อ่าน สบายขนาดนี้รออะไรกันละ หยิบสำรับไพ่ขึ้นมาเล่นสิครับผม แต่ละคนงัดความรู้ที่ได้สะสมมาทั้งชีวิตเอาออกมาโชว์กันหมดไม่ว่าจะเป็น ป็อกเด้ง(นี้เบสิค), สลาฟ, โป๊กเกอร์, ดัมมี่ และไพ่โดเรม่อน!! (มันคืออะไรรรรรไอ่ไพ่โดเรม่อนเนี่ย แล้วไปสรรหามาจากไหน จนกลับมาแล้วก็ยังงงอยู่เลยว่าสรุปแล้วมันเล่นยังไงนะ)
วิวหน้าโฮสเทล
เล่นไปพลางมองฝนหยุดตกไป ดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบทุ่มแล้ว ออกไปหาอะไรทานกันดีกว่า อ้อ โฮสเทลมีชื่อว่า Sim27 Hostel ซึ่งมาจากเจ้าของอายุ 27ปี ถือได้ว่าเป็นเจ้าของธุรกิจที่อายุน้อยไล่เลี่ยกับผมเลย (ดูเท่ห์มากเลยใช่มั้ย ผมหยอกนะครับอย่าด่าในใจเลย) อ้อ Sim27 Hostel เป็นโฮสเทลที่ดีมากเลยนะครับ เรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด ความปลอดภัย และห้องพัก มีมาตราฐานที่ดีมาก แนะนำ
ร้านอาหารทะเลปูจ๋า
มื้อค่ำของวันนี้พวกเราเลือกร้าน ปูจ๋า..พี่มาแล้วจ้ะ เป็นร้านอาหารทะเลแถวๆท่าแฉลบ หลังจากทุกข์ระทมมาทั้งวันหวังว่าจะเป็นที่สุดท้ายที่จะทำให้พวกเราชื่นใจ ก้าวเข้ามาภายในร้าน ดูคนไม่เยอะมากจนล้นแต่ก็มีนั่งจนเกือบเต็มร้าน จากนั้นก็ลงมือเปิดเมนูแล้วสั่งอาหาร อาหารมาทีละอย่าง สองอย่าง มาทีก็หมดทีไม่รู้ว่าอร่อยหรือหิวกันแน่ แต่ส่วนตัวผมว่ารสชาติดีเลยทีเดียว ถ้ามาแถวนี้ก็จะมากินร้านนี้อีก อย่างน้อยวันเฟลๆ ก็ได้กินอาหารดีๆ ก็โอเคแล้ว (ปลอบใจตัวเองอีกรอบ)
แฮงเอาท์หน้าโฮมสเตย์
เสร็จแล้วพวกเราก็กลับมาแฮงเอาท์กันที่หน้าโฮสเทลลากยาวยันตีหนึ่ง พ่อหนุ่มหนองคายเริ่มโซโลกีต้าร์ พวกเราร้องเพลงกันเสียงเบามิใช่น้อย หวังว่าระแวกนั้นคงจะนอนหลับฝันดี ด้วยเสียงเพลงของพวกเรา
วิวริมระเบียงของห้อง B4 Sim27 Hostel
สะดุ้งตื่น 6โมงเช้าก่อนเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมลุกเดินไปเปิดผ้าม่านเพื่อดูฟ้าฝน อู่ยยยยย วันนี้ท่าจะดีแฮะ เลยรีบปลุกแฟนอาบน้ำแต่งตัว ไปเยี่ยมชมเมืองเก่าที่เขาเล่ามากันดีกว่า.. ชุมชนจันทบูร
แสงแดดแผดเผาไอหมอก
จัน เช้า เช้า
พอเริ่มเข้ามาในระแวกชุนชนก็ยังระแวงฟ้าฝนอยู่ ที่ทำท่าจะตกแหล่ไม่ตกแหล่สลับกับแดดออกบ้าง แต่เราก็ไม่สนใจเดินเล่นชมเมืองเก่ากันต่อไป
ตื่นก่อนได้เปรียบ
ส่วนตัวผมไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่ เพราะผมเป็นคนหัวตะเข้เห็นชุมชนเก่าริมคลองก็ตั้งแต่เด็ก แต่จะแตกต่างออกไปก็แค่สถาปัตยกรรมเท่านั้นเอง
ผู้คนยิ้มแย้มทักทายกันตามประสาปรกติ ผมว่าเป็นชุมชนที่ไม่วุ่นวายเลย เงียบและสงบมากๆ (ก็จะไม่ให้เงียบได้ยังไง นี่มันเพิ่ง 7.30 โว้ยยยย ร้านที่ไหนเขาจะตื่นมาเปิดต้อนรับเอ็งวะเนี่ย) หิวก็หิว
ติม ฮิปเตอร์
เดินเล่นต่อ ถ่ายรูปชื่นชมเรื่อยเปื่อยเพื่อรอกินก๋วยเตี๋ยวร้านเจ๊อี๊ด
ชุมชนริมน้ำจันทบูร มุมมหาชน
บรรยากาศริมน้ำจันทบูร
ระหว่างทาง เดินไปโบสถ์
ร้าน เจ๊อี๊ด
ชามพิเศษ 100.-
9 โมงตรงเป๊ะ เรานั่งอยู่ที่ร้าน เจ๊อี๊ด ตรงเวลาสุดๆ ภายในร้านดูเป็นตรอกห้องแถวปรกติ ต้อนรับด้วยพิธีเปิดโอลิมปิคที่ริโอจากทีวี ผมเลยจัดการสั่งก๋วยเตี๋ยวและพลางดูทีวีไป อ่าห์…หน้าตาดูดีเลย หลังจากที่แม่ค้านำมาเสริฟบนโต๊ะ ผมซัดปลาหมึกคำแรกก็ดูสดดี ตามด้วยกั้ง กุ้ง สลับกับน้ำซุปและเส้นบะหมี่ วนกันไป อืม รสดูเค็มแฮะ ต้มยำทำไมเค็ม สงสัยคงเพิ่งเปิดร้านน้ำซุปเลยยังไม่ได้ที่ละมั้ง ส่วนตัวผมว่าเครื่องอาหารทะเล นี่ดีเลย สด อร่อย แต่รสน้ำซุปกับเส้น ก็ดูเฉยๆ ธรรมดา อ้อ ก๋วยเตี๋ยวค่อนข้างรสจัดผมเองทานได้สบาย ส่วนใครไม่ทานเผ็ดก็อย่าลืมแจ้งพี่เขาละ
ทางแยกก่อนถึงหาด
เสร็จเรียบร้อยกับชุมชนริมน้ำจันทบูร มุ่งหน้าสู่หาดคุ้งวิมาน ตรงนี้เพื่อนผมบอกว่าจะไปดูโลมาโชว์เลยแยกทางกัน แยกทางกันแต่ยังไงก็จะไม่หย่าเด็ดขาด เลยบอกไปว่า เดี๋ยวไปเจอกันที่โฮมสเตย์เลยแล้วกัน จากชุมชนริมน้ำจันทบูรไปริมหาดคุ้งวิมาน ใช้เวลาเดินทาง 40กว่านาที
หาดคุ้งวิมาน
หาดสวยมาก มีฉากหน้าเป็นหิน ก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้างสลับจัดเรียงกันไป ฉากหลังเป็นฟ้าครึ้มฝนกับก้อนเมฆแปลกประหลาดที่โชว์ตระหง่านตาอยู่ตรงหน้า คนชอบถ่ายรูปแบบผมคงรอพระอาทิตย์ตกที่นี่แทบไม่ไหว แต่คงรอไม่ได้เพราะเย็นนี้ต้องนอนอีกที่ ซึ่งใช้เวลาในการเดินทาง 1.30ชม. (ก้มหน้าเศร้า) ช่วงสายของที่นี่ผู้คนไม่พลุกพล่าน เงียบ สงบ สงบจริงๆไม่ต้องรอร้านไหนเปิด
มุมมองของต้นไม้
ได้ยินเสียงเรากับคลื่นทะเลซัดหาดและกระทบหินเป็นจังหวะ ซู่ว.. ซู่ว.. ละอองไอน้ำสัมผัสบนใบหน้าและร่างกาย ที่มาเพิ่มอุณหภูมิความเย็นให้เริ่มหนาวสั่น กลิ่นลมทะเลชวนหอมให้สูดดมสุดปอด ผสมกับกลิ่นลมฝนที่ตกอยู่ไกลๆ กลางทะเล.. ” สิ่งเหล่านี้ผมว่ามันก็พักหัวใจได้แล้วเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงซึ่งผมว่าเนี่ยมันคือสโลวไลฟ์ แค่เราอยู่กับตัวเราเอง เปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดของตัวเรา รับรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกายให้ซาบซึ้งมากยิ่งขึ้น เดินบนหาดทรายก็ให้รับรู้ว่าเท้าเราจมอยู่ในเม็ดทรายนับล้าน ย่ำน้ำก็ให้รับรู้ว่าน้ำนั้นไหลตามซอกนิ้วเท้าและเย็นมากแค่ไหน ลมพัดก็ให้รับรู้ว่าพัดจนเส้นผมปลิวลอยยุ่งเหยิงในอากาศ หายใจก็ให้รับรู้ว่าสูดกลิ่นอะไรเข้าไปบ้าง… พอแล้ว “
วิถี
จุดชมวิวเนินนางพญา มุมมหาชน
ต่อมาคือจุดชมวิวเนินนางพญา อยู่ห่างจากหาดคุ้งวิมานไม่มาก อากาศเริ่มร้อนขึ้นพอๆกับผู้คนที่มากขึ้นด้วย หลายคนสลับถ่ายรูปตรงมุมมหาชนรวมถึงตัวผมเอง ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่ลัดเลาะหาดได้งดงามชวนฝันถึงยามเย็นตอนพระอาทิตย์ตก แสงและเส้นของถนนคงเป็นภาพที่สวยงามติดตาได้ดีเลยทีเดียว…. ตัดภาพกลับมา ตอนนี้เหงื่อไหลท่วมหัวกระบาลแล้ว มัวแต่เพ้ออยู่นั่น…
ไหล่เขา
ชาวร็อค
มุมนี้อยู่ด้านล่างของจุดชมวิวด้านบนที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ปูตัวน้อยออกมาวิ่งเล่น(หรือวิ่งหนี) และผู้คนท้องถิ่นที่นั่งเฝ้าคันเบ็ดเพื่อรอปลามาติดกับ พอร้อนจนได้ที่ หิวน้ำจนจะเป็นลม ก็กลับไปที่ลานจอดรถตรงบริเวณนี้จะมีร้านอาหารและเครื่องดื่มขาย พอจัดการกับตัวเองเสร็จก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์ บังเอิญเพื่อนๆนั้นดูโลมาเสร็จกันพอดี ประจวบเหมาะกับที่เราผ่านไปแถวนั้นพอดีอีก เลยแวะไปหาแล้วรอไปพร้อมกัน อ่าห์…ความบันเทิงกลับมาอีกครั้ง (โอ เอ ซิส ซีเวิลด์ คือสถานที่ดูปลาโลมาโชว์)
ระหว่างทางไปโฮมสเตย์
สะพานข้ามทะเล
โอโห กว่าจะถึงที่พัก ช่วงเข้าโฮมสเตย์ 10กว่ากิโลนั้นลำบากแท้ ถนนเป็นดินแดงขรุขระมีหลุมตลอดทาง รถเตี้ยหน่อยก็เตรียมปาดน้ำตารอได้เลย ภาพรวมโฮมสเตย์ดูดีโอเคมาก มีบึงน้ำที่ช่วยสร้างบรรยากาศโดยรอบ แถมอีกฝั่งก็ติดกับทะเลอีก แต่ไหงเราได้ห้องที่ดูไม่ค่อยดีเลยแฮะ เป็นห้องที่แย่ที่สุดในโฮมสเตย์แล้วหลังจากที่เดินไปสำรวจมา แย่ในที่นี้คือมันก็นอนได้ อาบน้ำได้ แต่1500/1คน ซึ่งห้องผมนอน 8คน แล้วได้ห้องแบบนี้ก็ไม่ไหว ตอนนั้นแทบอยากจะไม่จ่ายส่วนที่เหลือแล้วออกไปพักที่อื่นเลยด้วยซ้ำ ส่วนเพื่อนอีก 4คน ก็ได้ห้องนอนใหม่น่าอยู่มากกว่าเราอีก ราวกับว่าเอาห้องเหลือใช้สุดๆ มาให้นอน บอกตรงนี้เลยว่าถ้าห้องมันเต็มก็อย่าพยายามหาห้องที่ไม่ได้คุณภาพเท่ากับห้องอื่นๆ ในราคาเดียวกันเอามาให้นอนเลย (ชื่อหลังว่า บ้านไม้ไผ่ มั้งนะครับถ้าจำไม่ผิด) แต่พวกเราก็ทำใจลืมๆ และก็อยู่ไป เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศก็เลยงัดไพ่และเครื่องดื่มออกมาจัดปาร์ตี้ก่อนตะวันตกดินซะนานเลย ย้อมใจกับสิ่งที่เจอหน่อย ยังไม่ทันมื้อค่ำก็เละซะแล้ว
เป็นโฮมสเตย์ที่สร้างบรรยากาศได้งดงาม สอดรับกับธรรมชาติได้ลงตัว
บรรยากาศ ทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์
โซนจัดเตรียมอาหาร และทำอาหาร
เสียกันเพลินจนเริ่มหิว เลยมารออาหารค่ำท่าจะเวิร์คกว่า ทางร้านจัดเรียงอาหารต้อนรับแขกหน้าทางเข้า เป็นวิธีเรียกน้ำย่อยได้ดี อาหารอร่อยมาก รสชาติดี และสามารถเติมได้เรื่อยๆ เพราะเป็นบุฟเฟ่ต์ จบด้วยผลไม้ 2อย่าง ก็ยังอร่อยอีก แทนที่ทานเสร็จแล้วจะกลับไปแฮงเอาท์ต่อกันที่บ้านพัก ดันเหลือบไปเห็นว่ามีคาราโอเกะตั้งโชว์อยู่กลางวงโซนอาหารพร้อมมีโปเจคเตอร์ติดผนังฉายเอ็มวี ได้อารมณ์แบบบ้านๆมากมาย เหมือนสมัยยุคเก่าๆ ที่เวลาไปเข้าค่ายหรือไปเที่ยวกับพวกผู้ใหญ่ ระหว่างทานอาหารค่ำหรือทานเสร็จ มักจะร้องเพลงประชันกันเสมอ ความทรงจำแบบนี้ในวัยเด็กก็พรั่งพรูขึ้นมา พวกเรานั่งรอผู้กล้าสักกลุ่มเปิดฟลอร์ แรกๆก็ร้องตามเขา ปรบมือ โฮฮิ้วกันไป
หลังๆ พอเหลือ 2โต๊ะ คือโต๊ะผมกับอีกโต๊ะก็แข่งกันเปิดฟลอร์เลยที่นี้ ลากตั้งแต่ คริสติน่า, ทาทา, ไปยังพี่เจ เจตริน เรียกได้ว่าสนุกสุดแล้ว มันมีไม่กี่ครั้งหรอกที่ได้ร้องเพลงคาราโอเกะแบบบ้านๆ เพลงเก่าๆ กับเพื่อนๆ เป็นกิจกรรมที่ได้ทำไม่บ่อยนัก (ส่วนใหญ่เวลาไปคาราโอเกะกับเพื่อน ก็แทบไม่ได้ร้องเลย… เดี๋ยว! คาราโอเกะไหนวะเนี่ย)
ร้องไปร้องมา ร้องยันไฟดับ!! โอ้วแม่เจ้า ร้องอะไรกันวะเนี่ยไฟดับเฉย ฮ่าๆๆ แต่มันไม่ได้ดับเพราะร้องเพลงหรอกนะ ดับเพราะฝนตกหนัก(อีกแล้ว) ทีนี้ไฟดับยาวเลย ผมรู้สึกตลกกับชีวิตจริงๆ ที่นานๆทีจะได้รวมตัวกันครบแต่ก็ดันมีหลายอย่างที่เฟลซะอย่างงั้น ราวกับเรียกร้องให้พวกเรารวมตัวกันอีกรอบเพื่อแก้มือ (แหน่ะ)
พอไฟดับฝนตกหนักกลับที่พักไม่ได้ ก็นั่งเล่นมันอยู่ตรงนี้แหละ ทุกอย่างมืดสนิทเหลือแต่แสงไฟจากมือถือ มีเสียงเพลงเคล้าคลอจากโต๊ะข้างๆ ที่ยังคงอยู่เป็นเพื่อน ส่วนตัวผมนั้นเอนหลังนอนราบไปกับโต๊ะ ค่อยๆหลับตาแล้วฟังเสียงเพลง ฟังเสียงเพื่อนคุยกัน ฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคา ท่ามกลางอากาศเย็นๆ (อืม หลับตรงนี้เลยดีมั้ยนะ) แต่ตัวผมนั้นกลับรู้สึกอุ่นใจที่รู้ว่ายังมีเพื่อนๆคอยคุยอยู่ข้างๆผม ผมหลับตายาวจนเสียงนั้นเริ่มเงียบและหายไป…
วันสุดท้ายเสียแล้ว… ที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตปรกติ
หยดน้ำ
เสียงฝนดังขึ้นกับบรรยากาศเงียบสงบที่มีแต่ธรรมชาติ ต้อนรับพวกเราด้วยเช้าวันนี้ พวกเราจัดการธุระส่วนตัวเตรียมของและออกไปทานอาหารเช้าของโฮมสเตย์ที่แสนเรียบง่ายเพื่อรอเช็คเอาท์
บรรยากาศยามเช้า หน้าบานพัก
ล่าเพื่อความสนุก หรือ ล่าเพื่อกิน
ที่แรกของวันนี้คืออ่าวคุ้งกระเบนและไปเดินป่าชายเลน ในใจก็ภาวนาให้ฝนนั้นหยุดตกซะทีเถ๊อะ ให้พวกเราได้เที่ยวตามแผนบ้าง แต่ภาวนาให้ตายยังไงก็ไม่เป็นผล ครั้นตัวผมเองจะใช้วิธีไสยๆก็กลัวพายุจะเข้าอีกรอบเลยเปลี่ยนเป็น สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบ พระชนมพรรษาแล้วกัน
อุโมงค์สัตว์น้ำ
ภายในมีสัตว์น้ำให้ชมไม่มากเนื่องจากสถานที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็มีอุโมงค์เป็นไฮไลท์ของที่นี่ให้พอตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย
โลกใต้น้ำ
หลังจากเที่ยวชมสัตว์น้ำก็เที่ยงกว่าแล้ว จะเข้าตัวเมืองเพื่อไปทานอาหารแล้วกลับ กทมฯ ก็คงจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ พวกเราเลยตัดสินใจกลับ กทมฯ แล้วไปทานที่แกลงเป็นทางผ่านดูท่าจะประหยัดเวลากว่า
หาดเจ้าหลาว
ฝนยังคงตกเรื่อยๆ
ถึงแล้ว พวกเราเลือกทานอาหารทะเลที่ริมหาดนี้ ชื่อร้านว่า น้องนุช (โดยคำแนะนำจากเพื่อน) และก็ทำให้พวกเราไม่ผิดหวังสำหรับมื้อสุดท้าย อาหารอร่อย รสชาติดีจริงๆ ถ้ามีโอกาสมาแถวนี้ก็คงแวะมาทานที่นี่อีกเช่นเคย
ย่อทริปสั้นๆ ที่แสนปวดร้าวเพราะฝนตกตลอด
– Sim27 hostel ดีมากครับ สะอาดปลอดภัยไร้รอยต่อทอเต็มผืนหลับเต็มตื่น (เดี๋ยวๆ)
– ทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์ บริการดี สถานที่ดี อาหารอร่อย (ถ้าได้นอนห้องใหม่ คงประทับใจกว่านี้)
– หาดคุ้งวิมาน ส่วนตัวผมชอบ ประทับกับหินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
– จุดชมวิวเนินนางพญา เป็นถนนลัดเลาะหาดได้สวยงามจริงๆ
– ชุมชนริมน้ำจันทบูร จะต่างออกไปก็แค่สถาปัตยกรรม
– จันน๊ะจ๊ะ ถ้าพายุไม่เข้า คงฟินกว่านี้แน่นอน
เนื่องจากแต่ละสถานที่อยู่ไม่นานจึงซึมซับอะไรได้ไม่มากเท่าที่ควร เลยเอาสิ่งที่สัมผัสแรกเห็นคือ การมองเห็นและความรู้สึก เป็นตัวตั้ง ขอบคุณที่ติดตามอ่านหรือชมภาพ
ภาพควันหลงจากทริปครับ
หาดคุ้งวิมาน
หมู่บ้านริมน้ำ
ขอบคุณรีวิวและภาพสวยๆ จากสมาชิกพันทิปคุณ Goodpong