ทริปสังขละบุรี 2 วัน 1 คืน เที่ยวดินแดนสองวัฒนธรรมไทย-มอญ มนต์เสน่ห์แห่งสายน้ำและขุนเขา
131,238 ครั้ง
24 ส.ค. 2561
131,238 ครั้ง
24 ส.ค. 2561
สังขละบุรี อำเภอหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตและธรรมชาติ ที่ใครเดินทางมาแล้วก็ต้องหลงรัก ด้วยความสโลว์ไลฟ์ของสังขละบุรี วิถีชีวิตที่เรียบง่าย วัฒนธรรมที่เก่าแก่ สายน้ำและขุนเขาที่โอบล้อมดินแดนสองวัฒนธรรม ไทย – มอญ ซึ่งมีแม่น้ำซองกาเรียเป็นศูนย์รวมของชีวิตผู้คน และที่พลาดไม่ได้คือ สะพานมอญ สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอีกมากมายที่รอทุกคนเดินทางมาสัมผัส
เราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพราะต้องใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมงในการขับรถไปยัง อำเภอสังขละบุรี เมื่อเข้าสู่ จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างทางมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และวิวภูเขาตลอดทาง
ระหว่างทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไปยังตัวอำเภอสังขละบุรี เราก็เลยแวะ น้ำตกเกริงกระเวีย น้ำตกแห่งนี้ตั้งที่อยู่ริมถนนสายหลักมีน้ำไหลตลอดทั้งปีและที่สำคัญสามารถมองเห็นน้ำตกได้จากบนถนนกันเลย เสียค่าเข้าเพียง คนละ 40 บาท ก็ได้เข้าไปชมน้ำใสๆ ของน้ำตกและบรรยากาศที่ร่มรื่นของธรรมชาติโดยรอบ เราก็เลยเอาเท้าลงไปจุ่มน้ำเย็นๆ สักหน่อยก่อนจะเดินทางกันต่อ
เดินทางต่อกันอีกไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงตัว อำเภอสังขละบุรี เมืองสองวัฒนธรรมไทย – มอญ ที่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เราสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความสุขของเมืองเล็กๆ ท่ามกลางภูเขาที่โอบล้อมแห่งนี้ โดยมีผู้คนใช้ชีวิตไปอย่างช้าๆ และมีแม่น้ำซองกาเรียเป็นศูนย์รวมจิตใจของชีวิตผู้คน
เมื่อเดินทางมาถึงเราก็เข้าไปเช็คอินที่ พรไพลิน ริเวอร์ไซต์ รีสอร์ท ที่พักบรรยากาศดีติดริมแม่น้ำซองกาเรีย ที่นี่มีห้องพักให้เลือกถึง 5 โซน คือ โซนริเวอร์ฮิลล์, โซนเรือนไพลินเอ,โซนเรือนไพลินบี, โซนเรือนไพลินซี และ โซนเรือนลีลาวดี ซึ่งแต่ละโซนก็จะมีห้องที่สามารถเห็นวิวแม่น้ำซองกาเรียและสะพานมอญได้อีกด้วย
วันนี้เราเลือกพักที่โซน เรือนไพลินบี Deluxe Room Panorama View เป็นห้องพักเตียงใหญ่สำหรับ 2 คน ภายในห้องกว้างขวางและตกแต่งอย่างเรียบง่ายดูสะอาดตา พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องแบบครบครัน
และห้องนี้มีมุมกระจกที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำซองกาเรียและภูเขาได้จากในห้อง ด้านหน้าห้องมีระเบียงที่สามารถออกมาสูดอากาศอันบริสุทธิ์ของเมืองสังขละบุรีแบบฟินๆ และสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำ วิวเจดีย์วัดพุทธคยา และวิวสะพานมอญซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่อีกด้วย
นอกจากที่พักบรรยากาศดีๆ แล้ว พรไพลิน ริเวอร์ไซต์ รีสอร์ท ยังมี ห้องอาหารเรือนไพลิน ที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำซองกาเรีย วิวภูเขา วัดพุทธคยาและสะพานมอญอย่างเต็มตา มีโซนให้เลือกทั้งแบบห้องอาหารและโซนระเบียง เปิดทุกวันเวลา 10.00 – 22.30 น. ครัวปิดเวลา 22.00 น.
ที่นี่มีทั้งอาหารไทยและอาหารไทย – มอญ ที่เป็นสูตรลับเฉพาะของที่นี่ และเมนูแนะนำที่เราเลือกก็คือ ยำเรือนไพลิน 90 บาท ปลาแรดทอดสมุนไพร 390 บาท ต้มเปรี้ยวสาวมอญ 250 บาท น้ำพริกเรือนไพลิน 120 บาท แกงฮังเลไก่สูตรไทยรามัญ 200 บาท บอกเลยว่ามื้อนี้ทั้งอร่อยและอิ่มสุดๆ
เมื่อกินอาหารเย็นอิ่มท้องแล้วก็ต้องหาที่เดินย่อยกันสักหน่อย แสงอาทิตย์ค่อยๆ เลือนหายไปและแสงไฟสีส้มๆ จาก สะพานมอญ ก็เด่นสว่างขึ้นมาทันที เราเลยมาเดินเล่นที่สะพานมอญตอนค่ำๆ เพียงขับรถจากที่พักไม่ถึง 5 นาที ก็มาถึงสะพานมอญแล้ว บรรยากาศลมพัดเย็นๆ มีไฟส้มๆ ตลอดแนวสะพานที่ถ่ายรูปออกมาก็สวยหรือจะมานั่งเล่นแบบไม่ต้องคิดอะไรก็ฟินไปอีกแบบ
วันนี้เราตื่นแต่เช้าเพราะว่าอำเภอสังขละบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และเติมพลังก่อนออกเดินทางด้วยบุพเฟ่ต์มื้อเช้าของ พรไพลิน ริเวอร์ไซต์ รีสอร์ท ที่มีทั้งอาหารไทย อาหารเช้าสไตล์ฝรั่ง และยังมีปาท่องโก๋ ชานมร้อนๆ และยังมี ขนมทองโย๊ะ ที่เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ที่ไม่ควรพลาด เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.30 – 10.00 น.
เมื่อเช็คเอาท์จากที่พักแล้วเราก็เดินทางกันต่อ วันนี้เราขับรถข้ามแม่น้ำซองกาเรียมาอีกฝั่งซึ่งคนที่นี่เรียกกันว่าฝั่งมอญ และอีกหนึ่งไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือการเช่าชุดมอญไปถ่ายรูปบนสะพานมอญ สำหรับใครที่อยากจะเช่าชุดมอญก็สามารถเช่าได้ที่ ร้านโฉมงาม1 อยู่ใกล้ๆ สะพานมอญ ร้านนี้มีทั้งชุดผู้ชายและผู้หญิงให้เลือกหลากหลาย ในราคาเช่าเพียง ชุดละ 50 บาท
วันนี้เรามาสะพานมอญกันตั้งแต่เช้าทำให้ได้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ เมืองสองวัฒนธรรมที่มีผู้คนใช้ชีวิตโดยมีแม่น้ำซองกาเรียและสะพานมอญเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ บรรยากาศของชาวบ้านที่ยังใช้เรือล่องไปในแม่น้ำซองกาเรีย พร้อมกับวิวภูเขาที่มีไอหมอกจางๆ ที่บอกได้เลยว่าหาที่ไหนไม่ได้นอกจากที่สังขละบุรี
เมื่อใส่ชุดมอญแล้วก็อยากจะใช้ชีวิตแบบชาวมอญกันสักหน่อย เราเลยมาไหว้พระต่อกันที่ วัดพุทธคยา วัดที่มีเจดีย์พุทธคยาแบบประเทศอินเดียสีเหลืองทองอร่ามสะดุดตามองเห็นได้แต่ไกล ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นพุทธยาเมืองไทย บอกเลยว่าสวยงามและยิ่งใหญ่มากๆ
บริเวณด้านหน้าวัดก็มีบริการล่องเรือในแม่น้ำซองกาเรียเที่ยวชม วัดจมน้ำและ วัดสมเด็จ ซึ่งใครที่มาเที่ยวสังขละบุรีแล้วต้องมาล่องเรือชมให้ได้ บอกเลยว่าถ้ามาสังขละบุรีแล้วไม่มาล่องเรือในแม่น้ำซองกาเรียก็เหมือนยังมาไม่ถึง
เดิมทีบริเวณวัดจมน้ำแห่งนี้เคยเป็น วัดวังก์วิเวการามเก่า ซึ่งปัจจุบันถูกน้ำท่วมทำให้โบสถ์และหอระฆังต้องจมอยู่ใต้น้ำ ถ้าหากใครอยากเห็นแบบเต็มๆ ต้องรอช่วงเดือน เมษายน – ตุลาคม
และมาต่อกันที่ วัดสมเด็จ ซึ่งนั่งเรือไม่ถึง 5 นาทีต่อจากวัดจมน้ำก็มาถึง และต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาน 200 เมตร ก็จะไปถึงวัดสมเด็จ ที่ยังคงเหลือสภาพเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้าง ล้อมรอบไปด้วยต้นไทรที่สูงใหญ่และเงียบสงบมากๆ
ก่อนเดินทางกลับออกจากตัวอำเภอสังขละบุรีเราก็เลยมาแวะ ชื่นใจ ลองสเตย์ ที่มีคาเฟ่สุดชิลล์และเป็นลองสเตย์ด้วย ภายในคาเฟ่มีหนังสือให้เลือกอ่านมากมาย มีทั้งมุมอ่านหนังสือเงียบๆ และมีโปสการ์ดให้เขียนบันทึกความทรงจำอีกด้วย
ขับรถออกมาจากอำเภอสังขละบุรีก่อนกลับกรุงเทพฯ ก็เลยมาแวะแช่บ่อน้ำร้อนผ่อนคลายความเหนื่อยล้ากันสักหน่อย ที่ บ่อน้ำพุร้อนหินดาด ที่อยู่ระหว่างทางกลับ บ่อน้ำพุร้อนหินดาด เป็นบ่อน้ำร้อนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่นี่มีทั้งหมด 3 บ่อให้เลือก จะเอาเท้าลงไปจุ่มหรือจะลงไปแช่ทั้งตัวเลยก็ได้ รับรองเลยว่าผ่อนคลายจากความเมื้อยล้าอย่างแน่นอนและยังมีลำธารเย็นๆ ไหลผ่านข้างๆ อีกด้วย
เป็นอย่างไงกันบ้างกับ ทริป 2 วัน 1 คืน ที่สังขละบุรี ที่ ทริปเก็ทเตอร์ เอามาฝากเพื่อนๆ เอาไว้เป็นอีกหนึ่งทริปสำหรับใครที่กำลังอยากไปเที่ยวอำเภอสังขละบุรี ที่ไม่ได้มีดีแค่สะพานมอญเท่านั้น แต่ยังมีสถานที่เที่ยวอีกหลากหลายที่ที่สวยงาม และแฝงไปด้วยเสน่ห์แห่งวิถีชีวิตของผู้คนที่มีแม่น้ำซองกาเรียไหลผ่านและมีสะพานมอญเป็นตัวเชื่อมสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทริปเก็ทเตอร์เก็บภาพสวยๆ มุมดีๆ มาฝาก ทั้งที่พัก ที่เที่ยว ที่กิน ที่รับรองว่าไปแล้วต้องหลงรักเมืองสังขละบุรีอย่างแน่นอน