ทริปเกาะช้าง 2 วัน 1 คืน ทริปสั้นๆ เดินทางง่าย เสาร์ – อาทิตย์ก็ไปได้แบบชิลล์ๆ
23,157 ครั้ง
2 พ.ค. 2562
23,157 ครั้ง
2 พ.ค. 2562
เกาะช้าง เกาะที่มีขนาดมหญ่เป็นอันดับสองของเมืองไทยรองจาก จ.ภูเก็ต และยังเป็นเกาะที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามมากมาย นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้วยังมีที่พักตั้งแต่ระดับหรูหราริมทะเลไปจนถึงโฮสเทลราคาสบายกระเป๋า และที่สะดวกสบายสุดๆ เลยก็คือสามารถเอารถยนต์ส่วนตัวข้ามมาขับบนเกาะได้อีกด้วย แต่เพื่อนๆ คนไหนที่จะเอารถมาขับบนเกาะช้าง ต้องขอเตือนไว้ก่อนนะว่าต้องมีประสบการณ์การขับรถในระดับนึงเลยล่ะ เพราะเส้นทางที่คดเคี้ยวสูงชันบนเกาะช้างทำเอาทริปเก็ทเตอร์ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย อยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ แบบนี้ เสาร์ – อาทิตย์นี้ ลองมากันสักครั้ง
วันนี้เรารีบออกเดินทางจากกรุงเทพกันตั้งแต่ตี 5 เพื่อที่จะไปถึงจังหวัดตราดซึ่งใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพประมาน 5 ชั่วโมง และแล้วเราก็เดินทางมาถึงท่าเรืออ่าวธรรมชาติประมาน 10.00 น. โดยเรือเฟอร์รี่ ท่าเรืออ่าวธรรมชาติจะออกตั้งแต่เวลา 06.30 – 19.00 น. (ออกทุกชั่วโมง) เพื่อนๆ สามารถกะเวลามากันได้ตามสะดวก สำหรับค่าตั๋วเรือเฟอร์รี่ข้ามไปยังเกาะช้างราคา 80/คน/เที่ยว และคิดค่าตั๋วสำหรับเอารถยนต์ส่วนตัวไป 120 บาท โดยเรือเฟอร์รี่เป็นเรือขนาดใหญ่และปลอดภัย สามารถบรรทุกรถยนต์ได้หลายคัน
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงเกาะช้างโดยเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น เมื่อข้ามมาถึงเกาะช้างจุดเช็คอินแรกที่เราจะไปเลยก็คือ วาริ คาเฟ่ คาเฟ่สไตล์มินิมอลกึ่งเรือนกระจกสุดชิคที่ตั้งอยู่ริมชายหาดคลองพร้าวชายหาดสวยน้ำใสและรายล้อมไปด้วยธรรมชาติสีเขียวจากสวนสนและทุ่งดอกไม้ที่พัดไหวตามแรงลมจากทะเล
สำหรับที่นั่งก็มีให้เลือกทั้งโซน Indoor ที่นั่งภายในร้านที่สามารถมองเห็นวิวทะเลผ่านกระจกบานใหญ่ภายในร้าน และยังมีที่นั่งแบบบีนแบ็คกับโต๊ะญี่ปุ่นอีกด้วยนะ
หรือใครที่ชอบนั่งรับลมทะเลฟังเสียงคลื่นชิลล์ๆ ที่นี่ก็มีให้เลือกอีกด้วย
เสร็จจาก วาริ คาเฟ่ ก็ได้เวลาเช็คอินเข้าที่พักเราเลยปักหมุดไปที่ เอวา รีสอร์ท เกาะช้าง ที่พักหรูยืนหนึ่งในเรื่องการตกแต่งที่โดดเด่นของเกาะช้างที่ต้องบอกก่อนเลยว่าที่เราเลือกมาพักที่นี่เพราะสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่ามีที่เดียวในเกาะช้างที่เป็นที่พักสีขาวริมชายหาดและมีมุมถ่ายรูปเยอะสุดๆ
เพียงแค่มาถึงด้านหน้าของ เอวา รีสอร์ท ก็ได้พบกับความยิ่งใหญ่ของประตูทางเข้าที่ออกแบบให้เป็นประตูสุดอลังการเหมือนกับประตูวังในหนังจีนอย่างไงอย่างงั้น
ถัดเข้ามาอีกนิดทางด้านในจะเป็นส่วนของล็อบบี้ที่เข้ามาแล้วต้องร้องโอ้โห!! ด้วยความยิ่งใหญ่ของตัวโถงที่สูงโปร่งและประดับเสาด้วยอิฐบล็อคช่องลมลายดอกไม้จีนสีขาวงสาช้างตั้งแต่พื้นจนสุดตัวหลังคา ซึ่งถือว่าเป็นศิลปะที่อยู่ร่วมกับงานสถาปัตยกรรมได้อย่างลงตัว
มองตรงมาทางด้านหน้าก็ต้องร้องโอ้โหรอบสอง เพราะจากตัวโถงสามารถมองทะลุออกไปยังวิวของสระว่ายน้ำและวิวทะเลของ เอวา รีสอร์ทได้ บอกเลยว่าเหมือนโดนมนต์สะกดให้หยิบกล้อง ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปกันที่มุมนี้ และนอกจากนี้รอบๆ บริเวณ เอวา รีสอร์ทยังมีรูปปั้นจีน แจกันลายครามแบบจีน รวมไปถึงสัตว์มงคลอย่างสิงโตอับเฉา ก็ถูกตั้งอย่างเป็นระเบียบและยังเชื่ออีกว่า เอวา รีสอร์ท สร้างตามหลักของฮวงจุ้ยที่ดีคือ ด้านหน้าเป็นแม่น้ำด้านหลังเป็นภูเขา ยิ่งช่วยเสริมพลังให้แก่ตัวรีสอร์ทไปจนถึงผู้ที่มาพักผ่อน
สำหรับห้องพักของ เอวา รีสอร์ท มีห้องพักให้เลือกถึง 5 ไทป์ คือ Superior Hillside, Deluxe, Deluxe Premium, Deluxe Beachfront และ Beachfront Suite ซึ่งที่พักของที่นี่จะออกแบบเป็นตัวอาคารล้อมรอบสระว่ายน้ำเอาไว้
วันนี้เราเลือกนอนกันที่ห้อง Deluxe Beachfront เพราะมาทะเลทั้งที่ก็อยากจะสูดอากาศอันบริสุทธิ์จากลมทะเลให้เต็มที่ สำหรับตัวห้องพักก็กว้างขวางและมีพื้นที่ใช้สอยพอเหมาะสุดๆ เฟอร์นิเจอร์ก็ถูกจัดวางได้อย่างลงตัว ยิ่งด้วยความที่สีของผนังห้องพักเป็นสีขาวยิ่งให้ความรู้สึกที่อบอุ่น นุ่มนวล และสบายตาตัดกับสีของเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งสไตล์จีนในห้องพัก
สำหรับห้องน้ำก็ยิ่งพิเศษสุดๆ เพราะห้องน้ำแบ่งโซนเปียกและโซนแห้งไว้เพื่อความสะดวกสบายต่อผู้ที่เข้าพักพร้อมทั้งชุ่มฉ่ำหัวใจไปด้วยฝักบัวอาบน้ำแบบ Rain Shower เท่านั้นยังไม่พอยังมีอ่างอาบน้ำอีกด้วย
และที่เป็นไฮไลท์ของห้องเลยก็คือ บานกระจกบ้านใหญ่ที่อยู่ระหว่างห้องนอนและอ่างอาบน้ำที่สามารถมองทะลุออกไปได้เพียงแค่เปิดม่านกั้นออกรับรองเลยว่าเหมาะสำหรับคู่รักที่ต้องการความโรแมนติกสุดๆ
และยังมีระเบียงพร้อมโซฟานุ่มไว้ให้นั่งรับลมชมวิวทะเลได้แบบ 180 องศา
หรือถ้าเบื่อๆ ก็ลงมาเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำของ เอวา รีสอร์ท ที่มีแนวคิดทำสระว่ายน้ำให้เหมือนแม่น้ำที่ไหลผ่านกลางตัวที่พักจึงทำให้สระว่ายน้ำของเอวา รีสอร์ทมีความยาวให้เล่นแบบจุใจ แถมยังมีเก้าอี้อาบแดดอยู่รอบๆ สระว่ายน้ำอีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอยังมีกิจกรรมพายเรือคายัคให้พายเล่นบริเวณชายหาดส่วนตัวของ เอวา รีสอร์ท อีกด้วย
ก่อนจะถึงตอนเย็นวันนี้เราเลยปักหมุดไปกันต่อที่ ท่าเรือบางเบ้า ซึ่งเป็นจุดที่เรือสำหรับพานักท่องเที่ยวไปดำน้ำยังเกาะต่างๆ แต่วันนี้เราไม่ได้จะไปดำน้ำนะ เพราะเราเดินมุ่งหน้าไปที่ หอคอยท่าเรือบางเบ้า หอคอยที่อยู่สุดปลายท่าเทียบเรือที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น นอกจากจะได้ชมหอคอยแล้วยังได้เห็นทะเลน้ำใสแบบ 180 องศาอีกด้วย
แถมระหว่างทางเดินยังมีร้านขายของทั้ง ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของฝากจากเกาะช้าง และยังมีร้านอาหารทะเลอีกด้วย เย็นนี้เราก็เลยไม่พลาดจัดเต็มกับอาหารทะเลที่นี่กันซะเลย
ระหว่างทางกลับไปยัง เอวา รีสอร์ท ก็ยังมีอีกหนึ่งจุดเช็คอินน่าแวะเที่ยวคือ จุดชมวิวไก่แบ้ ที่เป็นจุดชมวิวที่สูงริมทะเลซึ่งจะสามารถมองเห็นวิวทะเลได้อย่างเต็มตาและยังสามารถเห็นเกาะน้อยใหญ่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเกาะช้างอีกด้วย
กลับมาถึง เอวา รีสอร์ท ก็ช่วงค่ำพอดี เราเลยเอาบรรยากาศของเอาวา รีสอร์ทยามค่ำคืนมาฝากเพื่อนๆ อีกด้วย
ตื่นเช้าวันอาทิตย์ วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่เช้าเพราะเป็นวันสุดท้านของทริปและคิดว่าจะตะเวนเก็บที่เที่ยวบนเกาะช้างอีก แต่กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องเช้านี้เราลงมากินอาหารเช้าของทาง เอวา รีสอร์ท ที่มีชื่อห้องอาหารว่า THE SPOON ที่เป็นเซ็ตบุฟเฟ่ต์ ที่ทีทั้งอาหารไทย จีน และตะวันตกมาให้เลือกมากมายจนลายตา
สำหรับที่นั่งก็มีให้เลือกทั้งนั่งด้านในห้องอาหาร THE SPOON ห้องอาหารแบบ Open Air หรือจะออกมานั่งโซนเอ้าท์ดอร์รับลมทะเลยามเช้าชิลล์ๆ ก็ฟินไปอีกแบบ
เช้านี้เราจัดเซ็ตใหญ่ก่อนออกเดินทางทั้งก๋วยเตี๋ยว สลัด ข้าวต้ม และของหวานมากมาย
นอกจากนี้แล้วทาง เอวา รีสอร์ท ยังมีคาเฟ่อยู่ทางด้านหน้าที่อยู่ใกล้ๆ กับล็อบบี้คือ THE TEA คาเฟ่ที่มีทั้งเครื่องดื่มสุดสดชื่นและเบเกอรี่สุดอร่อย เราก็เลยไม่พลาดสั่ง Raspberry Cream Soda, Blue Berry Cream Soda และ โกโก้ปั่น เท่านั่นยังไม่พอยังมีเมนูเบเกอรี่สุดนุ่มละมุนอย่าง Blueberry Cheese Cake และ Coconut Rool มาเพิ่มความอร่อยอีกด้วย
สำหรับที่นั่งของ THE TEA ก็เป็นที่นั่งแบบโซฟายาว แต่ที่โดดเด่นเลยก็คือ ความโปร่งโล่ง และโครงสร้างของพนังรอบๆ ที่เว้นช่องเพื่อให้ลมและแสงจากธรรมชาติได้เข้ามาได้อย่างเต็มที่ และเฟิร์นสีเขียวที่ห้อยลงมาช่วยเพิ่มความเก๋ และความร่มรื่นให้กับบริเวณที่นั่ง
ก่อนที่จะเช็คเอ้าท์ออกจาก เอวา รีสอร์ท ราเลยเดินหามุมถ่ายรูปภายในรีสอร์ทต้องบอกเลยว่าเป็นที่พักที่ถ่ายรูปมุมไหนก็ได้ภาพสวยจริงๆ
หลังจากเช็คเอ้าท์เสร็จแล้วเราก็ปักหมุดไปต่อกันที่ น้ำตกคลองพูล น้ำตกสวยที่นักเที่ยวนิยมไปแช่น้ำหรือนั่งชมบรรยากาศจากธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์โดยมีป่าสีเขียวล้อมรอบ เมื่อมาถึงจะต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 40 บาท และเดินต่อไปอีก 500 เมตรจากลานจอดรถ
บรรยากาศภายในน้ำตกร่มรื่นสุดๆ
เสร็จจากเที่ยวชมบรรยากาศน้ำตกคลองพูลเสร็จแล้วเราก็ไปต่อกันที่ จุดชมวิวหาดทรายขาว จุดชมวิวมุมสูงที่เห็นท้องทะเลเกาะช้างได้อย่างชัดเจน ได้เห็นท้องฟ้าและน้ำทะเลสีฟ้าที่อยุ่คู่กันดูแล้วสดชื่นตาสดชื่นใจสุดๆ
อยู่ที่จุดชมวิวไม่นานเราก็ไปต่อกันที่ ศาลเจ้าพ่อเกาะช้าง ศาลเจ้าจีนที่คนเกาะช้างให้ความเคารพนับถือมาถึงเกาะช้างทั้งที่ก็ต้องเข้าไปกราบไหว้ขอพรกันสักหน่อยเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
และอีกหนึ่งที่ที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมาถึงเกาะช้างแล้วก็คือ หมู่บ้านประมงสลักคอก หมู่บ้านประมงสุดสโลว์ไลฟ์ที่ตั้งอยู่ที่ปากอ่าวสลักคอก และที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือการนั่งเรือมาดชมความงามของหมู่บ้านสลักคอกจนได้ฉายามาที่นี่คือเรือกอนโดลาเมืองไทย แต่วันนี้น่าเสียดายที่เราได้ไม่นั่งชมเรือมาดเนื่องจากเกาะช้างอยู่ในเขตที่มีสภาพอากาศแปรปรวณจึงทำใหเ้ฝนตกค่อนข้างมาก
เรือของชาวบ้านที่จอดเทียบท่าดูมีสเน่ห์ที่น่ารักไปอีกแบบ
และที่สุดท้ายที่เราจะไปก็คือ ป่าชายเลนบ้านสลักเพชร พื้นที่ป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ของเกาะช้างที่ชาวบ้านยังคงช่วยกันรักษาไว้เป็นอย่างดี จุดเด่นของี่นี่คือทางเดินไม้ที่ทอดยาวเข้าไปในป่าชายเลน ซึ่งทำให้เราได้เข้าใกล้ชิดกับธรรมชาติราวกับได้อิงแอบธรรมชาติไว้ และยังได้ศึกษาเส้นทางธรรมชาติที่มีทั้งสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามป่าชายเลนอีกด้วย
นั่งเท่ๆ ถ่ายรูปชิลล์ๆ บนต้นไม้ระหว่างทางเดินก็ได้ภาพสวยไปอีกแบบ
และแล้วก็ถึงเวลาต้องกลับข้ามฝั่งแล้วเราต้องขับรถย้อนกลับขึ้นมายังท่าเรือเฟอร์รี่เกาะช้างเพื่อข้ามไปยังท่าเรืออ่าวธรรมชาติ จ.ตราด โดยเสียค่าบริการตามเดิมคือ คนละ 80 บาทและเสียค่ารถยนต์คันละ 120 บาท
เป็นอย่างไงกันบ้างกันทริปเกาะช้าง 2 วัน 1 คืน ที่มีวัดหยุดแค่เสาร์ – อาทิตย์ก็สามารถมาเที่ยวได้ แถมยังเดินทางง่ายๆ โดยใช้รถส่วนตัวแบบสะดวกสบายและที่สำคัญใช้งบไม่เยอะอีกด้วย วันหยุดนี้ใครที่กำลังมองหาที่เที่ยวอยู่ลองเอาตัวอย่างจากทริปนี้ไปเที่ยวกัน รับรองเลยว่าจะเป็นเสาร์ – อาทิตย์ ที่ใช้เวลาในวันหยุดอย่างคุ้มค่าและสนุกสุดๆ