ทริปเชียงใหม่ 4 วัน 3 คืน นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ เที่ยวครบทั้งในเมืองและนอกเมือง
38,168 ครั้ง
8 ก.ค. 2565
38,168 ครั้ง
8 ก.ค. 2565
จังหวัดเชียงใหม่ เมืองยอดฮิตตลอดกาลที่สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู ยังเป็นเมืองสุดสโลว์ไลฟ์ที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนชิลล์ๆ สถานที่เที่ยวก็มีมากมายทั้งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ร้านคาเฟ่เก๋ๆ ร้านอาหารอร่อยๆ และความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบล้านนา เรียกได้ว่าไปเที่ยวแค่วันสองวันก็คงเก็บไม่ครบ วันนี้ทริปเก็ทเตอร์จะพาทุกคนเที่ยวกันแบบเต็มที่กับ ทริปเชียงใหม่ 4 วัน 3 คืน นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ เที่ยวครบทั้งในเมืองและนอกเมือง รับรองว่าเป็นทริปที่ครบทุกรสชาติและมีครบทุกสไตล์ แถมได้รูปสวยๆ กลับไปอัปลงโซเชียลรัวๆ ว่าแล้วก็เตรียมแพ็คกระเป๋าแล้วขึ้นเหนือกันเลย~
มาเริ่นต้นทริปในช่วงเย็นกันที่ สถานีรถไฟกรุงเทพฯ หรือที่เรียกกันว่า สถานีหัวลำโพง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทางภายในประเทศที่สำคัญและเดินทางมาก็ง่ายแสนง่าย ทำให้ใครที่อยากขึ้นรถไฟต่างก็ต้องมาเริ่มต้นที่จุดนี้ สำหรับคนที่อยากเที่ยวเชียงใหม่โดยรถไฟนั้นก็มีให้เลือกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟเร็ว ด่วนพิเศษ ด่วนพิเศษ CNR เรียกได้ว่าอยากนั่งแบบไหนหรือสะดวกเวลาไหนก็สามารถเลือกได้ตามสบาย แต่สำหรับทริปนี้ของเราเลือกนั่งสบายหน่อยกับรถไฟขบวนด่วนพิเศษ CNR หรือขบวนอุตราวิถีเป็นรถไฟตู้นอนรุ่นใหม่ที่บอกเลยว่าหรูหราและสบายสุดๆ และก่อนจะขึ้นรถไฟเราก็เตรียมซื้อของกิน เดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ สักหน่อยก็เป็นเวลา 18.00 น. ได้เวลาเริ่มต้นการเดินทางแล้ว
บรรยากาศภายในตู้โดยสารดูสะอาดและหรูหราด้วยเบาะกำมะหยี่สีแดง ทำให้หลายคนเรียกรถไฟขบวนนี้ง่ายๆ ว่า รถไฟเบาะแดง โดยขบวนรถไฟนี้แบ่งเป็นตู้นอนชั้นหนึ่งซึ่งเป็นตู้นอนแบบส่วนตัว และตู้นอนชั้นสองซึ่งเป็นแบบเตียงบนและเตียงล่าง สำหรับทริปนี้เราก็เลือกนอนแบบชั้นสอง บอกเลยว่าความสบายและสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีครบมาก
ในช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. เจ้าหน้าที่จะเริ่มมาปูที่นอนให้
การเดินทางโดยรถไฟใช้เวลาที่ค่อนข้างนาน แนะนำให้โหลดหนังหรือโหลดเพลงมาระหว่างเดินทางก็ดีเหมือนกัน ในตอนกลางคืนนอนสบายๆ แอร์เย็นๆ ตื่นมาก็เห็นภาพวิวข้างทางสวยๆ กับแสงแดดยามเช้า เป็นภาพความสวยงามที่นั่งมองได้เพลินๆ บอกเลยว่าการนั่งรถไฟมาเชียงใหม่แบบนี้ถือว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศและใช้เวลาชิลล์ๆ ไม่ต้องรีบร้อนเหมือนตอนอยู่ในเมือง
ระยะเวลากว่า 13 ชั่วโมงที่นั่งรถไฟมา ในที่สุดเวลา 07.15 น. ก็ถึงจุดหมายปลายทางที่ สถานีเชียงใหม่ สำหรับใครที่ห่วงเรื่องตารางเวลาเดินรถว่าจะช้าหรือไม่ตรง บอกเลยว่าขบวนรถไฟด่วนพิเศษ CNR นี้เวลาตรงตามตารางเลย วางแพลนเที่ยวต่อไปยาวๆ ได้แบบไม่ต้องกลัวเสียเวลา และตอนนี้เราก็ผ่านคืนแรกบนรถไฟไปแล้ว เดี๋ยวมาตามดูกันดีกว่าว่าอีก 3 วันที่เหลือในเชียงใหม่เราจะพาไปเที่ยวสนุกๆ ที่ไหนกันบ้าง
มาเริ่มกันที่แลนด์มาร์กที่ต้องมาให้ได้อย่าง ประตูท่าแพ เป็นกำแพงที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความสวยงามที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างประเทศต้องแวะมาที่แห่งนี้ บอกเลยว่าใครมาแล้วห้ามพลาดถ่ายรูปคู่กับกำแพงอิฐสีส้มที่ตั้งโดดเด่นตามเส้นถนน มาที่ประตูท่าแพนี้สามารถถ่ายรูปสวยๆ ได้ทุกมุมเลย
อีกจุดไฮไลท์เก๋ๆ ของประตูท่าแพคือการถ่ายรูปคู่กับฝูงนกพิราบ โดยบริเวณประตูท่าแพมีนกพิราบเยอะมาก ถ้าใครอยากถ่ายรูปท่ามกลางฝูงนกพิราบแบบนี้ก็ตั้งกล้องให้พร้อมแล้วเดินลุยเข้าไปกลางฝูงนกเลย ภาพฝูงนกที่บินว่อนแบบนี้กับฉากหลังกำแพงสีส้มอิฐ บอกเลยว่ารูปที่ได้สวยปังมาก แต่กว่าจะได้ภาพแบบนี้ก็ต้องเดินหลายรอบเลยทีเดียว
นอกจากมีมุมถ่ายรูปเพียบ บริเวณรอบๆ ประตูท่าแพยังมีมุมนั่งชิลล์ เหมาะกับการนั่งพักผ่อนมาก
เดินเล่นถ่ายรูปมาเหนื่อยๆ ก็ถึงเวลาไปหาอะไรเย็นๆ ดับร้อนกันหน่อย คราวนี้เราเลือกที่จะโบกรถแดงกันอีกรอบซึ่งเป็นตัวเลือกการเดินทางในเมืองที่ง่ายมากเหมาะกับคนที่ไม่ได้ขับรถเที่ยว นอกจากนี้เรายังสามารถเห็นรถแดงจอดรับผู้โดยสารอยู่ทุกสถานที่ท่องเที่ยว ถ้าอยากไปที่ไหนเพียงแค่โบกๆ บอกจุดหมายปลายทาง คุยตกลงราคากันซึ่งราคาส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ 30 บาท ถ้าทุกอย่างโอเคแล้วก็กระโดดขึ้นรถเลย
นั่งรถแดงมาแป๊บเดียวจากประตูท่าแพมายังร้าน Koff and Things คาเฟ่เปิดใหม่ย่านประตูเมืองเชียงใหม่ ตัวร้านเป็นอาคารไม้ 2 ชั้นที่มองเห็นแว้บแรกให้ฟีลเหมือนอยู่ญี่ปุ่นเลย ชั้นล่างเป็นเคาน์เตอร์ สั่งขนมและเครื่องดื่มเสร็จก็เดินมานั่งชิลล์ที่ชั้น 2 ซึ่งที่นั่งทางร้านเป็นแบบอินดอร์ นั่งห้องแอร์เย็นๆ พร้อมกับชมวิวประตูเมืองเชียงใหม่ บวกกับบรรยากาศในร้านดูโปร่งด้วยกระจกล้อมรอบและเงียบสงบ เป็นร้านที่เหมาะกับการมานั่งชิลล์สุดๆ หรือใครสายโซเชียลก็ต้องบอกเลยว่าร้านนี้ถ่ายรูปสวยทุกมุม
สำหรับมื้อแรกของวันมาเริ่มกินเบาๆ รองท้องกันก่อน โดยเมนูที่สั่งมาก็มี Premium Matcha Latte ได้ดื่มชาเชียวเข้มข้นๆ หอมกลิ่นชาคือดีงามมาก ส่วนเค้กก็สั่ง Strawberry Shortcake กินผลไม้รสเปรี้ยวหวานคู่กับครีมนุ่มๆ บอกเลยว่าเข้ากันมาก
มาอิ่มบุญกันต่อที่ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่กลางเมืองที่อยู่คู่กับเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน ภายในวัดมีทั้งความสวยงามทางสถาปัตยกรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ไหว้สักการะบูชามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสาหลักเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าสมปรารถนา พระพุทธไสยาสน์ พระธาตุเจดีย์หลวง เรียกได้ว่าเหมาะกับการมาเสริมบุญ สร้างกุศล ขอพรให้กับการเดินทางในครั้งนี้ของเรามาก
เสาอินทขิลหรือเสาหลักเมืองเป็นศูนย์รวมความเชื่อและความศรัทธาของคนเชียงใหม่ ดังนั้นใครที่มาเที่ยวก็อย่าลืมแวะมาไหว้สักการะด้วย
พระธาตุเจดีย์หลวงถือได้ว่าเป็นพระธาตุที่สูงที่สุดในภาคเหนือ ดูยิ่งใหญ่และอลังการมาก โดยรอบๆ พระธาตุก็มีพระธาตุประจำปีเกิดตามราศีแบบจำลองให้ได้ไหว้สักการะตามวันเกิดของแต่ละคน
ช่วงสายๆ เราก็มาต่อกันที่ย่านนิมมาน แหล่งรวมร้านอาหาร ที่พัก คาเฟ่ชิคๆ พูดได้ว่าถ้าใครมาเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ต้องมาที่นิมมานสักครั้ง และมาถึงนิมมานก็ต้องแวะมากิน ข้าวซอยนิมมาน ร้านข้าวซอยชื่อดังที่ได้รางวัลมิชลินเพลทถึง 2 ปีซ้อนก็คือปี 2020 และ 2021 เห็นป้ายแค่นี้ก็เชื่อได้เลยว่าร้านเสิร์ฟอาหารที่ดีมีคุณภาพ วัตถุดิบทางร้านก็คัดมาอย่างพิเศษ โดยที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือพริกกะเหรี่ยงสายพันธุ์ 100 ปีจากแม่ฮ่องสอน ซึ่งความพิเศษของพริกนี้คือมีกลิ่นหอมมากกว่าเผ็ด นอกจากนี้ยังมีดอกเกลือจากบ่อเกลือ จังหวัดน่าน และน้ำปลาจากกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เรียกได้ว่าทางร้านใส่ใจตั้งแต่คุณภาพวัตถุดิบเลย
ภายในร้านก็ครึกครื้นมาก มีลูกค้าคอยแวะเวียนเข้ามาตลอดทั้งคนไทยและคนต่างชาติ บรรยากาศในร้านเรียบง่าย สบายๆ มีความร่มรื่นของต้นไม้ ส่วนโซนที่นั่งมีให้เลือกเยอะแยะไม่ว่าจะนั่งอินดอร์ในห้องแอร์เย็นๆ หรือจะนั่งโซนเอาท์ดอร์ก็ชิลล์สุดๆ
เมนูของร้านไม่ได้มีแค่ข้าวซอย แต่ยังมีเมนูของกินเล่น เครื่องดื่มสมุนไพร และของหวานให้ได้เลือกมากมาย และในเมื่อเป็นอาหารมื้อแรกของทริปก็ขอจัดเต็มหน่อย โดยเริ่มจากสั่งออเดิร์ฟเมืองที่เสิร์ฟมาบนขันโตก จิ้มผักกินคู่กับน้ำพริกหนุ่มและน้ำพริกอ่อง แกล้มด้วยไส้อั่วและแคบหมู บอกเลยว่าถ้ามาเชียงใหม่ต้องสั่งออเดิร์ฟเมืองให้ได้ นอกจากนี้เรายังสั่งไก่สะเต๊ะและอ่องปูมากินรองท้องก่อน
รอไม่นานข้าวซอยเนื้อตุ๋นก็มาเสิร์ฟแล้ว~ เป็นเมนูเอกของเราในมื้อนี้เลย น้ำซุปข้นๆ นัวๆ กินกับเนื้อที่ตุ๋นมากำลังดี บีบมะนาวอีกเล็กน้อย บอกเลยว่าฟินสุดๆ และนอกจากข้าวซอยไก่ ทางร้านยังมีข้าวซอยอื่นๆ ให้เลือกเยอะมาก ใครที่ชอบกินข้าวซอยห้ามพลาดร้าน ข้าวซอยนิมมาน เด็ดขาด
เดินทางมาทั้งวันในที่สุดเราก็มาถึงที่พักกันแล้ว สำหรับคืนนี้เราพักกันแบบพิเศษมากๆ ที่ Chala Poolvilla at Nimman เป็นที่พักเปิดใหม่ในย่านนิมมนาน โดยที่พักตั้งอยู่ในซอยสายน้ำผึ้งซึ่งเป็นซอยที่มีความเงียบสงบแต่ก็ใกล้กับที่เที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผับบาร์ ร้านอาหาร ร้านขายของ เรียกได้ว่าโลเคชั่นดีสุดๆ ในส่วนของบ้านพักเป็นพูลวิลล่าที่มีด้วยกันทั้งหมด 3 หลัง แต่ละหลังมีสไตล์การตกแต่งที่แตกต่างกันไป อย่างบ้านที่เราได้พักเป็นบ้านหลังที่ 3 ก็จะมีการออกแบบที่ดูวัยรุ่น มีการใช้สีสันต่างๆ และความสนุกสนาน บรรยากาศในบ้านก็ชิลล์มาก มีพื้นที่กว้างขวางสามารถจัดกิจกรรมได้เลย แนะนำสำหรับใครที่มาเชียงใหม่เป็นกลุ่มใหญ่แล้วอยากนอนรวมกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน ต้องลองมาพักที่ Chala Poolvilla at Nimman ตอบโจทย์ทุกการพักผ่อนแน่ๆ
ห้องที่เราเลือกนอนเป็นห้องที่ติดกับสระว่ายน้ำ ห้องนอนกว้างขวางมีหน้าต่างบานใหญ่ทำให้ห้องดูสว่างและโล่งโปร่ง เพียงเดินเข้ามาก็เหมือนตัดความวุ่นวายจากภายนอก ภายในที่พักมีความเป็นส่วนตัวมาก บรรยากาศดูสบายๆ น่านอนพักผ่อนสักคืนจริงๆ บอกเลยว่าแค่เห็นห้องพักก็ช่วยให้หายเหนื่อยไปได้เยอะ
และพิเศษสุดๆ!! ใครที่อยากมานอนสบายๆ ถ่ายรูปสวยๆ แบบนี้ต้องรีบโทรจองแล้ว เพราะตอนนี้มีโปรโมชั่นที่พักร่วมกับทริปเก็ทเตอร์ เพียงโทรจองบ้านพักหลังนี้ภายในเดือนสิงหาคม พร้อมบอกว่าเป็นลูกค้ามาจากทริปเก็ทเตอร์ก็ได้รับราคาพิเศษเพียง 5,000 บาทเท่านั้น จากราคาเต็ม 7,500 บาท จองตอนนี้แต่เข้าพักได้ถึงเดือนตุลาคมเลย เรียกได้ว่าไม่ต้องคิดอะไรมากจองห้องพักก่อน แพลนเที่ยวค่อยตามมาก็ยังทัน
ในบ้านพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
เพียงเปิดประตูออกจากห้องนอนก็เดินลงสระ เล่นน้ำเย็นๆ ได้เลย แถมถ่ายรูปอัปลงโซเชียลก็สวยเริ่ดมาก
เก็บกระเป๋าเรียบร้อย แช่น้ำเย็นๆ ก็สบายตัวแล้ว มาเดินถ่ายรูปเก็บแสงสียามค่ำคื่นกันต่อที่ One Nimman เป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้า รวมร้านคาเฟ๋เก๋ๆ ของแฮนด์เมดชิคๆ นอกจากเดินช้อปปิ้งซื้อของแล้ว ตัวโครงสร้างอาคารที่มีการออกแบบดูโดดเด่นด้วยอิฐสีส้ม เป็นสถาปัตยกรรมยุโรปที่มีกลิ่นอายล้านนาผสมกันอย่างสวยงาม ยิ่งมาตอนเย็นอากาศกำลังสบายๆ บวกกับแสงจากหลอดไฟที่ประดับประดาตามจุดต่างๆ ใครสายถ่ายรูปทำคอนเทนต์ต้องแวะมาเก็บภาพกันแล้ว
ไฮไลท์คือลานกลางแจ้งที่เป็นพื้นที่โล่งกว้าง มีฉากหลังเป็นหอนาฬิกา เป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตเลย
ภายใน One Nimman มีร้านขายของกระจุกกระจิกมากมาย บอกเลยว่าแต่ละชิ้นน่ารักมากๆ แทบอยากแวะเข้าไปซื้อทุกร้านเลย บรรยากาศที่นี่ชิลล์มากและให้ฟีลเหมือนเดินช้อปปิ้งที่ยุโรป เรียกได้ว่าสามารถเดินเล่นได้เรื่อยๆ
เดินตามถนนนิมมานมาเรื่อยๆ จนถึงหน้า Warmup Cafe แต่เป้าหมายวันนี้เราไม่ได้มาดื่มกัน! เดินเยื้องมาจากร้านเล็กน้อยจะเจอกับรถเข็นขายลูกชิ้นเล็กๆ ชื่อดังที่บอกเลยว่าใครมาเชียงใหม่ต้องแวะมากินให้ได้ ลูกชิ้นเห็ด-หอม เป็นร้านลูกชิ้นที่มีลูกชิ้นให้เลือกหลากหลายทั้ง ลูกชิ้นหมู ไก่ ปลา ราดซอสข้นๆ สูตรพิเศษจากทางร้าน จบด้วยการโรยเกี๊ยวทอดกรอบแบบจัดเต็ม แถมราคาก็ไม่แพงเลย โดยทางร้านจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 ขนาด คือ S M และ L ราคาก็ 30 50 และ 100 บาทตามลำดับ บอกเลยคุ้มค่ามาก เดินกินชิลล์ๆ เคี้ยวเพลินๆ ระหว่างเดินทางกลับที่พักคือดีมาก
ในเช้าวันที่ 3 เรามีแพลนไปเที่ยวนอกตัวเมืองเชียงใหม่กัน สำหรับใครที่ชอบธรรมชาติ ชอบความเขียวชอุ่มของต้นไม้ใบหญ้าต้องมาเที่ยวตามแพลนนี้เลย ยิ่งในช่วงนี้ที่เราเที่ยวกันช่วงหน้าฝน อากาศเย็นสบายและบรรยากาศธรรมชาติคือกรีนมากๆ ว่าแล้วก็เตรียม Check Out ออกจากที่พักและเดินทางขึ้นเขากันดีกว่า โดยเริ่มต้นวันกับการปักหมุดไปที่ วัดหลวงขุนวิน
การเดินทางมาวัดหลวงขุนวินทางค่อนข้างยากเล็กน้อย ยิ่งในช่วงฝนตกก็อาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังหน่อย เพราะถนนลื่นและมีหลุมโคลนบางจุด ถ้าใครไม่อยากขับรถลุยเองก็มีรถของชาวบ้านคอยบริการขับรถไปส่งถึงวัดหลวงขุนวิน ซึ่งไป-กลับแบบเหมาทั้งคันราคาอยู่ที่ 600 บาท ส่วนเราเองก็เลือกที่จะเอารถส่วนตัวจอดไว้ที่หมู่บ้านห้วยหยวกและขึ้นรถชาวบ้านไปยังวัดแทน แม้ว่าการเดินทางลำบากไปบ้าง แต่เพียงขึ้นมาถึงบนวัดความเหนื่อยทั้งหลายก็หายไปเลย
วัดหลวงขุนวิน เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 700 ปีที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ มองไปทางไหนก็เจอแต่ความกรีน บวกกับบรรยากาศที่เงียบสงบและสถาปัตยกรรมล้านนาโบราณที่ดูมีมนต์ขลัง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้จิตใจเรารู้สึกสงบ อยากเดินเพลินๆ ดื่มด่ำกับความสวยงามที่เรียบง่ายของวัด นอกจากนี้ภายในวัดมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบันไดพญานาค อุโบสถพระนอน อุโบสถพระยืน
ข้างในอุโบสถพระนอนถือเป็นจุดอันซีนของวัด โดยภายในมีพระนอนปางปรินิพพานที่เป็นพระพุทธรูปไม้แกะสลักตลอดทั้งตัว อีกทั้งตามผนังอุโบสถยังมีภาพไม้แกะสลักที่มีความสวยงามและประณีตมากๆ
อีกจุดไฮไลท์คือบันไดพญานาคสีขาวที่มีความงามอ่อนช้อยและดูสมจริง แถมบันไดแต่ละขั้นก็ถูกออกแบบมาให้เหมือนเกล็ดพญานาค เป็นความวิจิตรศิลป์ที่อยู่ท่ามกลางป่าเขาได้อย่างลงตัว
นั่งรถกันมายาวๆ กว่า 2 ชั่วโมง ผ่านโค้งของดอยอินทนนท์มาสักพักก็มาถึงจุดสูงสุดของประเทศไทยอย่างยอดดอยอินทนนท์ สำหรับใครที่อยากมาเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ดอยอินทนนท์จะมีด้วยกัน 2 เส้นทางหลัก คือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานและเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา โดยเราเลือกที่จะมาเดินชิลล์ๆ กันที่ เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ระยะทางสั้นๆ ที่ใช้เวลาเดินเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น ทางเดินโอบล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ดูร่มรื่นอุดมสมบูรณ์ บวกกับช่วงที่เรามาเที่ยวกันนั้นมีฝนตกตลอดทั้งทริป ทำให้ต้นไม้ดูเขียวชุ่มฉ่ำมากเป็นพิเศษ อากาศก็เย็นสบายสุดๆ แถมมีหมอกลอยปกคลุมตลอดทางเดิน
ท่ามกลางธรรมชาติของป่าไม้มีกู่พระเจ้าอินทวิชยานนท์ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา
นอกจากมาสูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว ยังสามารถเดินถ่ายรูปชิลล์ๆ ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของต้นไม้ก็ดูดีไปอีกแบบ
เดินทางลงมาจากยอดดอยอินทนนท์ คืนนี้เราจะมาพักที่ The Garden Tent & House ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับที่เที่ยวของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ บรรยากาศในที่พักรายล้อมไปด้วยความเขียวขจีของธรรมชาติ และมีความเงียบสงบ ภายในที่พักมีพื้นที่กว้างขวางพร้อมลานกิจกรรมและซุ้มรอบกองไฟ ในส่วนของห้องพักแบ่งออกเป็นบ้านพัก 4 หลังและเต็นท์กระโจม 4 หลัง และเพื่อให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติเราก็เลยเลือกพักเต็นท์กระโจม ได้ฟีลเหมือนนอนกลางป่าเขาสุดๆ ภายในเต็นท์กระโจมมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันและมีห้องน้ำอยู่ในตัว รวมถึงมี Snack Bar ทั้งขนมปัง แยม โอวัลติน กาแฟเตรียมไว้ให้พร้อม เรียกได้ว่าสะดวกสบายมาก
บรรยากาศหน้าเต็นท์กระโจมเพียงเปิดมาก็พบกับสนามหญ้าโล่ง วิวภูเขาที่มีสายหมอกคลอเคลีย และมองไปอีกนิดก็สามารถเห็นน้ำตกสิริภูมิได้เลย
มาบนเขาและอากาศเย็นๆ แบบนี้ก็ต้องสั่งหมูกระทะสำหรับมื้อเย็นของวันหน่อย โดยหมูกระทะเซ็ตใหญ่ๆ แบบนี้ราคา 600 บาท มีทั้งหมูหมัก ไก่ เบคอน ลูกชิ้น ปูอัด เต้าหู้ และชุดผัดชุดใหญ่ๆ กินแบบจุใจกันไปเลย ยิ่งกินปิ้งย่างร้อนๆ หน้าที่พักกับบรรยากาศของขุนเขาและสายหมอก บอกเลยว่าความฟินเต็มร้อย
หลังจากที่นอนสบาย ชาร์จพลังมาทั้งคืน ในช่วงเช้านี้อากาศดีมาก เปิดเต็นท์มาก็เจอกับความเย็นๆ ที่พัดเข้ามาและเห็นความเขียวชอุ่มของธรรมชาติ ก่อนจะไปกินข้าวเช้ากันก็มาเดินเล่นรอบๆ ที่พักเก็บบรรยากาศในยามเช้าสักเล็กน้อย หรือรองท้องเบาด้วยขนมปังปิ้งและจิบโอวัลตินร้อนๆ หน้าที่พักก็ชิลล์ดีเหมือนกัน
สำหรับอาหารเช้าของทางที่พักจะเป็นอาหารตามสั่งซึ่งสามารถเริ่มสั่งได้ตั้งแต่ 7 โมงเช้า และตอนเช้าแบบนี้ก็ต้องอุ่นท้องร้อนๆ ด้วยข้าวต้มสักชามเป็นการเริ่มทริปในวันสุดท้ายของเรา
เดินทางออกจากที่พักไม่นานก็เจอกับที่เที่ยวที่แรกของวันนี้ เส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยว โดยจุดหมายการเดินเส้นทางนี้เพื่อไปยังน้ำตกผาดอกเสี้ยวหรือน้ำตกรักจัง ซึ่งชื่อน้ำตกนี้ก็โด่งดังมาจากหนังเรื่องรักจัง ทำให้หลายคนที่มาเที่ยวดอยอินทนนท์ต้องแวะมาตามรอยหนังที่น้ำตกแห่งนี้ ส่วนการเดินทางจะไปยังน้ำตกนี้ต้องติดต่อไกด์นำทาง โดยไกด์ 1 คนจะนำทางนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มไม่เกิน 10 คน ราคากลุ่มละ 220 บาท ซึ่งเป็นราคารวมทั้งค่าไกด์และค่าบริการ เตรียมร่างกายให้พร้อมแล้วเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า
เดินไปเสพความกรีนจากธรรมชาติไปด้วย
เส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยว เป็นเส้นทางที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และมีน้ำตกที่สวยงามมากอย่าง น้ำตกผาดอกเสี้ยว โดยน้ำตกนี้มีทั้งหมด 10 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีความงามที่ต่างกันไป แต่ชั้นที่เป็นไฮไลท์ก็คือชั้นที่ 7 ซึ่งเป็นชั้นที่น้ำตกสูงถึง 20 เมตร ส่วนการเดินทางกว่าจะไปถึงน้ำตกมีระยะทาง 1 กิโลเมตร ทางเดินก็ไม่ได้ยากมากสามารถเดินชิลล์ๆ มองวิวป่าไม้ 2 ข้างทางได้สบาย อาจจะมีเดินบันได เดินขึ้นเนินลงเนินบ้าง แต่อากาศที่เย็นสบายก็เดินได้เรื่อยๆ ใช้เวลาเพียงแค่ 40 กว่านาทีก็ถึงน้ำตกผาดอกเสี้ยวแล้ว
ภาพของสายน้ำตกสีขาวฟูฟ่องที่ตกผ่านหน้าผาสูง บวกกับสะพานไม้ไผ่หน้าน้ำตก กลายเป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตที่สามารถเห็นความสวยงามของน้ำตกได้แบบเต็มๆ ตา
เดินทางมาสู่ที่เที่ยวสุดท้ายของทริป หลังจากเดินทางมาเหนื่อยๆ ก็เปลี่ยนมู้ดมาเที่ยวแบบสวยๆ กันบ้างที่ ทุ่งดอกไฮเดรนเยียร์ สวนคุณทองดี ด้วยพื้นที่สวนกว่า 5 ไร่ที่เต็มไปด้วยสีสันหลากหลายของทุ่งดอกไฮเดรนเยียร์ ประกอบกับสวนตั้งอยู่กลางหุบเขา ทำให้อากาศเย็นสบายและมีหมอกปกคลุมตามขุนเขาเป็นฉากหลังที่สวยงามมาก ทุกๆ จุดในสวนเรียกได้ว่าถ่ายรูปสวยๆ อัปลงโซเชียลได้หมด
ใครอยากได้รูปปังๆ มากขึ้นก็อย่าลืมเอาพร็อพมาถ่ายรูปคู่ด้วย โดยราคาตะกร้าอยู่ที่ 20 บาท หรือถ้าอยากได้ดอกไม้มาถือสวยๆ ก็ราคา 3 ดอก 100 บาท เท่านี้แค่เตรียมชุดให้พร้อมก็กดชัตเตอร์ได้รัวๆ เลย
การจะเดินทางมาพบความสวยแบบนี้ก็ค่อนข้างยากหน่อย แต่สามารถนั่งรถกระบะโฟวิลของชาวบ้านเข้าไปได้เพียง 350 บาทเท่านั้น
และทั้งหมดนี้คือ ทริปเชียงใหม่ 4 วัน 3 คืน นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ เที่ยวครบทั้งในเมืองและนอกเมือง ที่เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ตั้งแต่การเดินทางด้วยรถไฟด่วนพิเศษ CNR ได้ใช้เวลาชิลล์ๆ บนรถไฟและสัมผัสบรรยากาศยามเช้า นอนมองดูวิวธรรมชาติในช่วงที่รถไฟแล่นผ่าน ภาพแบบนี้บอกเลยว่าถ้าไม่ได้ขึ้นรถไฟก็คงไม่มีทางได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้ หลังจากนั้นก็ได้เที่ยวตามที่เที่ยวสำคัญต่างๆ ทั้งในเมืองที่เต็มไปด้วยความสีสันสนุกสนานและนอกเมืองที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เรียกได้ว่าเป็นทริปเชียงใหม่ 4 วัน 3 คืนที่ครบทุกสไตล์ และแน่นอนว่าทุกที่สวยๆ ทั้งนั้นได้รูปกลับไปลงโซเชียลเพียบ! ใครที่มาเชียงใหม่แล้วไม่รู้จะเที่ยวไหนก็ลองมาเที่ยวตามแพลนนี้ได้เลย
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ ทริปเชียงใหม่ 4 วัน 3 คืน นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ เที่ยวครบทั้งในเมืองและนอกเมือง เป็นอีกทริปที่พิเศษสุดๆ เที่ยวแบบจัดเต็มทุกบรรยากาศ สำหรับคนที่สนใจขึ้นรถไฟเที่ยวแต่ไม่รู้ต้องเริ่มจากตรงไหน เราก็มีวิธีจองแบบละเอียดที่ นั่งรถไฟตู้นอนไปเชียงใหม่ ด้วยรถไฟด่วนพิเศษ CNR รีวิวการจองแบบละเอียด! และมาเที่ยวเชียงใหม่ก็อย่าลืมมานั่งคาเฟ่ชิคๆ ที่นิมมานกับ One Day Trip | ตะลุยคาเฟ่นิมมาน เช็คอินจุดถ่ายรูปสวยๆ อัปเดต 2022