เที่ยวบางแสน – ศรีราชา 2 วัน 1 คืน เช็คอินแลนด์มาร์ก รวมร้านเด็ดต้องไป!
11,010 ครั้ง
27 มิ.ย. 2566
11,010 ครั้ง
27 มิ.ย. 2566
มันจะมีอยู่ที่ที่หนึ่งที่เราไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ สามารถเที่ยวได้ซ้ำๆ แถมไปแต่ละครั้งบรรยากาศก็ต่างกันไป นั่นก็คือ จ.ชลบุรี ทะเลตะวันออกใกล้กรุงเทพฯ ที่เหมาะกับการมาพักผ่อนในวันหยุดและยังมีครบทั้ง ร้านอาหารอร่อยๆ คาเฟ่เก๋ๆ ร้านแฮงค์เอาท์สุดชิลล์ ที่พักหลายสไตล์ รวมถึงการไปนั่งริมทะเลชิลล์ๆ สำหรับทริปนี้เราจะพาไปเที่ยว ศรีราชา สัมผัสความคาวาอี้ของอำเภอที่ได้ชื่อว่าเป็นลิตเติ้ลเจแปนทาวน์ และปักหมุดไปต่อที่ บางแสน ดูพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับนั่งชิลล์ที่ร้านสุดฮิตริมทะเล ถ้าอยากรู้ว่าทริปนี้จะสนุกขนาดไหนก็ลองมาตาม เที่ยวบางแสน – ศรีราชา 2 วัน 1 คืน เช็คอินแลนด์มาร์ก รวมร้านเด็ดต้องไป! บอกเลยว่ามีครบทุกมู้ด
เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ขึ้นมอเตอร์เวย์ ใช้ระยะเวลาเพียง 2 ชั่วโมงก็ถึง จ.ชลบุรี ขับไปโซนศรีราชา วันนี้เราจะเริ่มทริปกันที่แลนด์มาร์กใจกลางเมืองศรีราชาอย่าง สำนักสงฆ์เขาพระครู เป็นสถานปฏิบัติธรรมบนยอดเขาที่นอกจากจะเงียบสงบและมีความร่มรื่น ยังเป็นจุดชมวิวเมืองแบบพาโนรามาและมีประติมากรรมพญานาคที่สวยงาม รวมถึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้กราบไหว้มากมาย เรียกได้ว่ามาที่นี่ได้ทั้งเติมแต้มบุญและได้รูปสวยๆ กลับไปแน่
ไฮไลท์ของที่นี่คือ พญานาคชมเมือง องค์พญานาคขนาดใหญ่ 2 ตนที่ถูกออกแบบมาอย่างวิจิตรงดงาม และมีลูกแก้วหรือมณีนาคราช ที่ส่องสะท้อนเป็นภาพมุมกลับของตัวเมืองศรีราชา บอกเลยว่าของจริงสวยอลังการมาก นอกจากนี้ยังเป็นจุดที่สามารถมาขอพรกับลูกแก้วได้ด้วย ซึ่งวิธีการขอพรก็เพียงแค่ท่องตามบทและขึ้นไปเอามือลูบลูกแก้ว เพียงแค่นี้ก็รอความปังได้เลย
จากบนนี้สามารถมองเห็นวิวเมืองศรีราชาได้แบบเต็มๆ แถมยังมองไปไกลถึงทะเล
ถัดมาจากพญานาคชมเมืองจะมี พระพุทธลีลานาคะบารมี เป็นพระพุทธรูปปางลีลาที่องค์ใหญ่มาก แถมตลอดทั้งตัวยังเปร่งประกายสีขาวมุกเมื่อสะท้อนกับแสงแดด บริเวณนี้ก็จะมีบทสวดให้เราได้กราบสักการะด้วย
นอกจากนี้ในสำนักสงฆ์เขาพระครูยังมีจุดให้ได้กราบไหว้อีกมากมาย อย่างพระอุปคุต ตั้งอยู่หน้าทางขึ้นไปลานชมวิวเมือง เชื่อกันว่าการได้มาไหว้สักการะพระอุปคุต จะช่วยในการขจัดอุปสรรคต่างๆ และเสริมโชคลาภเงินทอง ใครมาไหว้ตรงนี้ก็สามารถซื้อกระทงมาลอยเพื่อขอพรให้ชีวิตราบรื่น และยังมีหลวงพ่อทันใจ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ขอสิ่งใดก็ล้วนแต่ได้ตามใจปรารถนา ใครสายมูห้ามพลาดเด็ดขาด
สำหรับที่นี่ไม่ได้มีแค่ความมูเตลู แต่ยังมีมุมให้ได้ถ่ายรูปสวยๆ ตั้งแต่ทางเข้า โดยทางเข้าจะมีสวนขนาดเล็ก มีน้ำตกจำลอง ลำธาร ฝูงปลาคาร์ป และต้นไม้นานาชนิด เดินเข้ามาสัมผัสได้ถึงไอเย็นสบาย อีกทั้งยังสวยมากๆ ถือได้ว่าเป็นมุมถ่ายรูปที่มาแล้วต้องเช็คอิน
หลังจากเที่ยวชิลล์ๆ กันแล้วก็ได้เวลาของมื้อเที่ยง ขับรถไปไม่ไกลจากสำนักสงฆ์เขาพระครู เราจะแวะไป ร้านอาหารหน้าต่างเขียว เป็นร้านอาหารแนวครอบครัวกลางธรรมชาติ บรรยากาศร่มรื่น และมีกิจกรรมสนุกๆ เพียบ สำหรับร้านหน้าต่างเขียวจะตั้งอยู่ในสวนเยาวพา สวนนี้มีพื้นที่กว้างขวางแบ่งออกเป็นโซนร้านอาหาร คาเฟ่ และสวนผัก ส่วนของร้านอาหารหน้าต่างเขียวจะมีการตกแต่งที่เรียบง่าย มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นหน่อยๆ ที่สำคัญเน้นใช้วัสดุจากธรรมชาติและเลือกโทนสีน้ำตาลเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศรอบๆ เรียกได้ว่ามานั่งกินข้าวที่นี่ให้ฟีลสบายๆ เหมือนมากินข้าวบ้านเพื่อน
บรรยากาศรอบๆ ร้านกรีนมาก และข้างๆ ตัวร้านมีสวนให้ได้เดินเล่นด้วย รวมถึงมีน้ำตกจำลองและสัตว์ตัวน้อยๆ เต็มไปหมด
มาพูดถึงเมนูอาหาร สิ่งที่ชอบก็คือคอนเซ็ปต์ของร้านที่เลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและใช้ผักออร์แกนิคที่ปลูกเองมาเป็นส่วนประกอบในทุกเมนูอาหาร เรียกได้ว่าตอบโจทย์สายเฮลตี้มาก สำหรับเมนูทางร้านจะเป็นสไตล์อาหารไทยโบราณ ทุกจานปรุงอย่างพิถีพิถัน มีผักหลากหลายชนิดให้ได้เลือก รสชาติถือว่ากินง่าย อย่างเราที่ไม่ได้ชอบกินผักก็ยังสามารถเอ็นจอยกับมื้ออาหารนี้สุดๆ สำหรับเมนูที่แนะนำก็มี น้ำพริกปลาทู (คีโต) ราคา 130 บาท ใครที่กินคีโตต้องสั่งเลย มาเอาใจสายแซ่บด้วย ยำยกสวนเยาวพา ราคา 210 บาท น้ำยำครบรส เผ็ดกำลังดี ที่สำคัญเครื่องแน่นมาก และอีกเมนูห้ามพลาด ไก่อบโอ่ง ราคา 190 บาท เนื้อไก่นุ่มและฉ่ำมาก
ไม่ได้มีแค่อาหารที่ครีเอทและดีต่อสุขภาพ แต่เครื่องดื่มทางร้านก็สร้างสรรค์และหลากหลายไม่แพ้กัน ใครชอบดื่มพวกน้ำผักน้ำผลไม้หรือคอมบูชาก็สามารถสั่งได้เลย มีหลายสูตรให้เลือกตามที่ต้องการ ใครที่เป็นหวัดบ่อยๆ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แนะนำเมนู น้ำสกัดเย็น สูตรต้านหวัด ราคา 55 บาท แก้วนี้ประกอบด้วยแครอท แอปเปิ้ลเขียว และส้ม ดื่มเข้าไปคำแรกเข้มข้นมาก มีความหวานอมเปรี้ยวจางๆ ส่วนอีกเมนูน้ำสุขภาพก็คือ น้ำเคลสกัด สูตรน้ำผึ้งมะนาว ราคา 55 บาท ต้องบอกก่อนเลยว่าตอนแรกก็กลัวๆ เพราะเคยกินน้ำผักแล้วมีกลิ่นเขียวๆ แต่แก้วนี้ให้ผ่านเลย ไม่มีกลิ่นของผักสักนิด แถมยังหอมน้ำผึ้งอ่อนๆ รสชาติเข้ากันลงตัวมาก
ส่วนใครอยากดื่มเมนูที่สดชื่นๆ ก็มีซิกเนเจอร์อย่าง หน้าต่างเขียวชามะนาว ราคา 80 บาท มีความหอมอ่อนๆ ของชา ทุกครั้งที่ดูดน้ำจะมีกลิ่นและรสชาติเปรี้ยวๆ ของมะนาวตลอด และอีกเมนูที่อยากแนะนำมากๆ ก็คือ หน้าต่างเขียวชาอัญชันมะนาว ราคา 80 บาท ได้รสเปรี้ยวหวาน ดื่มแล้วสดชื่น คลายร้อนมากๆ
มาต่อที่เมนูยอดฮิตของสายเฮลตี้ ช่วงนี้ใครๆ ก็ดื่มคอมบูชาหรือชาหมัก เป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อการปรับสมดุลระบบลำไส้และที่สำคัญเป็นแหล่งโพรไบโอติก สำหรับคอมบูชาของทางร้านจะมีขายเป็นขวดแก้ว สามารถพกพาหรือซื้อเป็นของฝากคนที่บ้านได้ ใครที่อยากลองก็แนะนำ คอมบูชา รสอัญชันและลูกจันทน์ และ คอมบูชา รสชาดำมะนาวและกานพลู ราคาขวดละ 65 บาทเท่านั้น
เต็มอิ่มกับเมนูแล้วก็มาดูกิจกรรมกันต่อ ทางร้านมีกิจกรรมสนุกๆ เอาใจเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นปั่นจักยานสามัคคี ปั่นจักรยานรอบสระ ให้อาหารเต่าและปลาคาร์ป สนามเด็กเล่น หรือใครอยากทำกิจกรรม Workshop ก็มีให้ทำสบู่ออร์แกนิค ก้านไม้หอม ถุงผ้ารักษ์โลก เรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารบรรยากาศดี มีกิจกรรมให้ทำ แถมอาหารก็อร่อย เหมาะกับการพาครอบครัวมาใช้เวลาร่วมกัน
สำหรับคืนนี้ปักหมุดไปนอนกลางเมืองศรีราชากันที่ Hotel Kuretakeso Thailand Sriracha (โรงแรมคุเรทาเกะโซ่) เป็นโรงแรมญี่ปุ่นแท้ๆ หนึ่งเดียวในศรีราชา มีครบทั้งบรรยากาศ การตกแต่ง ไลฟ์สไตล์ การบริการ ที่คงเอกลักษณ์และมาตรฐานความเป็นญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ตัวโรงแรมเป็นตึก 7 ชั้น มีห้องทั้งหมด 107 ห้อง แบ่งออกเป็น Studio, Deluxe, Executive, Suite และ Japanese Tatami Room แต่ละห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย ใช้โทนสีที่ดูแล้วสบายตา และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้ยังมีบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ่อออนเซ็น ห้องเก้าอี้นวด ห้องซักอบรีด ห้องฟิตเนส สนามซ้อมกอล์ฟ ห้องประชุม มุมถ่ายรูปญี่ปุ่น เรียกได้ว่ามาพักสบายๆ มีครบจบทุกสิ่ง
และในที่สุดก็มาถึงห้องพักกันแล้ว ทริปนี้เราจองห้องพักแบบ Yukata Package เป็นแพ็คเกจที่รวมค่าห้องพัก อาหารเช้า แช่ออนเซ็น ชุดยูกะตะ และ Japanese Afternoon Tea ถือว่าเป็นแพ็คเกจที่คุ้มมาก และมีไฮไลท์เป็นการใส่ชุดยูกะตะมาถ่ายรูปคู่กับเซ็ตขนมญี่ปุ่น บอกเลยว่าคาวาอี้สุดๆ ในส่วนของห้องที่เราเลือกก็คือ Japanese Tatami Room เป็นห้องเสื่อทาทามิที่ฟีลญี่ปุ่นแบบเต็มร้อย อีกทั้งห้องกว้างมาก แบ่งโซนนั่งเล่น โต๊ะทำงาน และที่นอนได้อย่างลงตัว แถมสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบ ไม่ว่าจะเป็นไดร์เป่าผม ตู้เย็น ทีวี หม้อไฟฟ้า ไมโครเวฟ ชุดชงชา
ส่วนของห้องน้ำจัดสรรพื้นที่อย่างดี ไม่แคบ มีอ่างอาบน้ำ เรนชาวเวอร์ และโถชักโครกเป็นระบบอัตโนมัติ พร้อมอุปกรณ์อาบน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ แชมพู ครีมนวด ผ้าเช็ดตัว
ใครที่ซื้อ Yukata Package ก็สามารถสั่งเซ็ต Afternoon Tea มากินบนห้องได้เลย ในเซ็ตประกอบด้วยชาเขียวร้อนและขนมญี่ปุ่น อย่างดังโงะ ถั่วลันเตาญี่ปุ่น วาราบิโมจิ ขนมถั่วแดงกวน
นั่งพักและเก็บของเรียบร้อยก็มาเดินถ่ายรูปเล่นกัน ในโรงแรมได้เซ็ตมุมถ่ายรูปฟีลญี่ปุ่นไว้เพียบ อย่างที่แรกที่เรามาเป็น ห้องนั่งเล่นและถ่ายรูป Play & Photo room เซ็ตมาอย่างน่ารัก เหมาะกับการถ่ายรูปสุดๆ นอกจากนี้ยังมีบริเวณหน้าโรงแรมและสวนซุ้มไผ่ญี่ปุ่นหลังโรงแรม ไฮไลท์คือสะพานแดงที่มาแล้วต้องถ่ายรูปคู่ด้วยนะ บอกเลยว่ามุมถ่ายรูปมีเยอะและถ่ายได้ทุกจุดของโรงแรม ใครคิดถึงญี่ปุ่นต้องลองมาแล้ว
สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของโรงแรมจะอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ใครที่เข้ามาพักสามารถมาใช้บริการได้ตามที่ต้องการ ยกเว้นห้องชุดยูกะตะที่เข้าได้เฉพาะผู้เข้าพักที่ซื้อ Yukata Package แต่ถ้าใครอยากใส่จริงๆ ก็สามารถติดต่อเช่าชุดที่เคาน์เตอร์ได้ ห้องชุดยูกะตะเป็นห้องเล็กๆ มีห้องน้ำในตัว ข้างในห้องมีชุดทั้งของผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก รวมถึงเครื่องประดับและอุปกรณ์ต่างๆ ชุดยูกะตะที่นี่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น สวมใส่ง่ายมาก เพียงแค่ใส่เสื้อและผูกผ้ารัดเอวได้เลย
อีกไฮไลท์ของทางโรงแรมที่มาแล้วห้ามพลาดก็คือ การแช่ออนเซ็น ที่จะช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวพรรณด้วยแร่ธาตุหินภูเขาไฟญี่ปุ่น ใครที่เหนื่อยๆ แนะนำให้มาแช่น้ำร้อนๆ ช่วยลดความเหนื่อยล้าและรู้สึกผ่อนคลายมาก สำหรับห้องออนเซ็นจะเปิดอยู่ 2 ช่วงก็คือ ช่วงเช้าเวลา 05.00 – 10.00 น. และช่วงเย็นเวลา 17.00 – 23.00 น.
นอกจากนี้ยังมีมุมพักผ่อนอย่าง ห้องเก้าอี้นวดและมุมหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น ในห้องมีเก้าอี้ไฟฟ้า 2 ตัวและมีการ์ตูนให้นั่งอ่านเล่น และยังมี ห้องฟิตเนส สำหรับคนที่อยากออกกำลังกายเบาๆ นอกจากนี้ถ้าขึ้นไปชั้นบนก็จะมี สนามซ้อมกอล์ฟกลางแจ้ง ให้ได้ฝึกวงสวิงกันด้วย
ในช่วงเย็นนี้มาฝากท้องเบาๆ พร้อมนั่งชิลล์รับลมทะเลที่ เทียบท่า ณ ศรีราชา เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ตั้งอยู่ที่ท่าเรือจรินทร์ บรรยากาศร้านสบายๆ มีที่นั่งนั่งอินดอร์และเอาท์ดอร์ เรามาถึงก็พุ่งตรงไปที่เอาท์ดอร์ริมทะเลเลย อากาศกำลังดี มีลมพัดเข้ามาตลอด แถมยังเห็นพระอาทิตย์ตกดิน ไฮไลท์เด่นๆ ของร้านก็คือคราฟต์เบียร์และเบียร์สดที่มีให้เลือกหลายรสชาติ นอกจากนี้ยังมีเมนูกับแกล้มและอาหารจานเดียวด้วย ถือว่าเป็นร้านนั่งชิลล์ที่เหมาะกับชวนเพื่อนมาแฮงค์เอาท์ หรือใครเหนื่อยๆ ก็แวะมานั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ รับลมทะเลก็ช่วยชาร์จพลังเหมือนกัน
สำหรับเมนูทางร้านส่วนใหญ่จะเป็นแนวกับแกล้มหรือกินเล่น แต่ถ้าใครอยากกินอาหารตามสั่งก็มีเหมือนกัน ส่วนเมนูที่มาแล้วต้องสั่งเลยก็คือ ไข่ตุ๋นทะเลหม้อไฟ ราคา 250 บาท เนื้อนุ่มฟู ปรุงรสมาอย่างกลมกล่อม อัดแน่นด้วยกุ้งและหมึกตัวโตๆ หรือจะกินเล่น แต่อร่อยไม่ธรรมดาอย่าง ปีกไก่คลุกฝุ่น ราคา 119 บาท สุดท้ายเป็น บาร์บีคิวหมู ราคาไม้ละ 52 บาท ได้หมูมาชิ้นใหญ่มาก น้ำซอสฉ่ำๆ อร่อยแบบกินได้เพลินๆ
นอกจากนี้ทางร้านยังมีดนตรีสดทุกวัน โดยวงแรกจะขึ้นตั้งแต่ 20.00 น. จากนั้นก็ลากยาวๆ ไปเกือบเที่ยงคืน เรียกได้ว่าเป็นร้านที่ใครชอบบรรยากาศชิลล์ๆ มีคราฟต์เบียร์อร่อยๆ มีดนตรีสดทุกวัน ให้ปักหมุดมาเทียบท่าไว้เลย และแนะนำว่าถ้ามีแพลนมานั่งชิลล์วันศุกร์หรือวันเสาร์ ควรจะจองที่นั่งผ่านเพจร้านก่อน
ตื่นเช้ามาวันที่ 2 นอนสบายพร้อมเที่ยวแบบจัดเต็มสุดๆ ก่อนอื่นเลยเราก็ลงไปกินมื้อเช้ากันที่ห้องอาหารชั้น 1 สำหรับอาหารเช้าจะเริ่มตั้งแต่ 05.00 – 09.00 น. เมนูอาหารจะต้องสั่งกับพนักงานเท่านั้น มีให้เลือก 2 แบบก็คือ เซ็ตอาหารญี่ปุ่นและเซ็ตอาหารอเมริกัน รวมถึงมีบุฟเฟ่ต์เครื่องดื่ม ขนมปัง และผลไม้ที่สามารถตักได้ด้วยตัวเอง ใครที่สั่งอาหารเช้าแล้วก็เลือกได้ว่าจะเอาไปกินบนห้องหรือกินที่ห้องอาหาร ซึ่งห้องอาหารก็จะมี 2 ส่วน คือ แบบส่วนกลางและแบบห้องส่วนตัว ถ้ามากันหลายคนและต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถแจ้งพนักงานขอเปิดห้องส่วนตัวได้เลย
เซ็ตอาหารญี่ปุ่น น่ากินมาก เสิร์ฟมาแบบจัดเต็มทั้งข้าว ปลาซาบะ ซุปมิโซะ นักเก็ต ไข่ดาว สำหรับเราเซ็ตนี้อิ่มแบบจุกๆ
ส่วน เซ็ตอาหารอเมริกัน จะเสิร์ฟมาในจานเดียว มีทั้งไข่ดาว ไส้กรอก แฮม นักเก็ต และสลัดผัด รวมถึงมีซุปมิโซะให้ซดร้อนๆ
เก็บของและเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเรียบร้อย ก็พร้อมเที่ยวกันต่อยาวๆ มาเริ่มด้วยการเช็คอินคาเฟ่ชิลล์ๆ ที่ LOL campcafe เป็นคาเฟ่น้องใหม่ สไตล์แคมป์ปิ้งริมน้ำ บรรยากาศร่มรื่น มีลำธารไหลผ่าน ส่วนที่นั่งก็มีให้เลือกเยอะตั้งแต่โซนที่นั่งด้านบน เป็นแบบบีนแบคและนั่งห้อยขา ส่วนด้านล่างเป็นที่นั่งแบบเก้าอี้สนาม มีทั้งนั่งริมน้ำและนั่งกลางลำธาร แน่นอนว่าอากาศร้อนๆ ก็ต้องเดินตรงไปนั่งจุ่มเท้าเย็นๆ บอกเลยว่าฟีลดีมาก มีลมพัดโกรกตลอด เหมาะกับการมานั่งพักเหนื่อยจริงๆ
มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้เช็คอินด้วย
สำหรับเมนูทางร้านเยอะมาก แม้ว่าจะเป็นคาเฟ่แต่ก็มีครบทั้งของคาวหวาน ไม่ว่าจะเป็นอาหารจานเดียว ของกินเล่น เครื่องดื่ม เบเกอรี เค้ก แต่ที่มาแล้วต้องสั่งก็คือ เป็ดร่อน ราคา 150 บาท เป็นเมนูซิกเนเจอร์ สูตรเฉพาะของทางร้าน เนื้อเป็ดติดกระดูก รสกลมกล่อม กินเล่นได้เพลินๆ นอกจากนี้ยังมี ผัดพริกแกงหมูและผัดกะเพราหมู ราคา 70 บาท ที่เป็นเมนูขวัญใจใครหลายคนด้วย
ส่วนเมนูกินเล่นก็จะเป็นพวกของทอดกรอบ เราก็จัดเต็มไปเลย 4 เมนู ไม่ว่าจะเป็นเฟรนช์ฟรายส์ นักเก็ตสติ๊ก ชิกเก้นริบ ไก่ป๊อป ทุกจานราคา 70 บาท กินตอนร้อนๆ กรอบกำลังดี ใครสายของทอดห้ามพลาดเด็ดขาด
เมนูเครื่องดื่ม มีให้เลือกทั้งชา กาแฟ โซดา ถ้าคอกาแฟแนะนำ LOL Coffee ราคา 95 บาท รสเข้มข้นละมุนมาก และ คาราเมลมัคคิอาโต้ ราคา 75 บาท จะได้รสความหอมมันของนม มีความขมกาแฟหน่อยๆ แต่ถ้าใครอยากดื่มอะไรที่สดชื่นก็ต้อง สตรอว์เบอร์รี่มะนาวโซดา ราคา 75 บาท หวานอมเปรี้ยว แถมยังมีความซ่าของโซดา เมนูนี้ความเฟรชเต็มสิบ หรือจะเมนู ยูซุมัทฉะสปาร์คกลิ้ง ราคา 85 บาท หวานหอมซ่อนเปรี้ยวจากตัวยูซุ เป็นเมนูที่ช่วยคลายร้อนได้มาก
อีกจุดแลนด์มาร์กที่มาชลบุรีห้ามพลาด สวนสัตว์เปิดเขาเขียว เมื่อมาถึงเราจะต้องชำระค่าเข้าที่ด้านหน้า โดยราคาผู้ใหญ่คนละ 150 บาท ส่วนเด็กราคาคนละ 30 บาท และค่าที่จอดรถยนต์คันละ 80 บาท หลังจากนั้นเราก็จะได้ตั๋วเข้าชมพร้อม QR Code แผนที่และรอบการแสดงของสัตว์ เพียงเท่านี้ก็พร้อมตะลุยเดินสำรวจสัตว์โลกน่ารักแล้ววว
สวนสัตว์เปิดเขาเขียวมีขนาดใหญ่มากกินพื้นที่กว่า 5,000 ไร่และแบ่งออกเป็นหลายๆ โซน ดังนั้นใครที่มาแล้วอยากเที่ยวให้ทั่วก็แนะนำให้เช่ารถกอล์ฟหรือไม่ก็นั่งรถราง อย่างเราเลือกเช่ารถกอล์ฟ จะได้แวะดูและถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ สำหรับค่าบริการรถกอล์ฟ ราคา 500 บาท/2 ชั่วโมง และค่าประกันอีก 50 บาท/คัน ถ้าใครขับเกินเวลาที่กำหนดก็ต้องเสียค่าปรับเล็กน้อย
สำหรับสัตว์ในเขาเขียวมีมากกกว่า 300 ชนิด และถูกแบ่งตามโซนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโซนสัตว์แอฟริกัน ซาวันน่า โซนออสเตรเลีย โซนสัตว์ป่าเอเชีย โซนหุบเสือป่า โซนกรงนก โซนเกาะลีเมอร์ รวมถึงมีการแสดงพิเศษจากสัตว์ด้วย ซึ่งแต่ละการแสดงก็จะมีรอบเวลาที่ต่างกันไป แนะนำว่าให้เช็ครอบและวางแพลนกันดีๆ ส่วนแรกที่เรามาก็คือโซนน้องเพนกวิน เราจะมาดูพาเหรดเพนกวินกัน ก่อนหน้าเคยเห็นในคลิปที่น้องเดินเรียงแถวออกมา ตอนนี้ได้มาเห็นของจริงจะต้องน่ารักมากแน่ๆ
รอบเพนกวินที่เรามาดูคือ 14.00 น. น้องออกมาตรงเวลามาก แล้วค่อยๆ เดินเรียงแถวอย่างน่ารัก แต่ตรงนี้จะไม่มีการแสดงจากเพนกวินนะ น้องออกมากินอาหารเฉยๆ ซึ่งเราก็สามารถซื้ออาหารไปป้อนได้
ดาราเด่นท่านหนึ่งที่ใครๆ ก็เอ็นดู น้องคาปิบารา น่ารักมึนอึนสุดๆ
ใครยังจำแม่มะลิได้บ้าง แม่ย้ายจากสวนสัตวดุสิตมาอยู่ที่นี่เอง
ขับรถกอล์ฟมาถึงโซนสัตว์แอฟริกัน พร้อมการต้อนรับจากเหล่าสัตว์เรื่อง Madagascar โซนนี้พื้นที่กว้างมาก สามารถเดินถึงกันได้หมดและได้จำลองบรรยากาศเหมือนอยู่ทุ่งหญ้าสะวันน่า รวมถึงมีสัตว์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นยีราฟ ม้าลาย นกกระจอกเทศ เสือ แรด
ไฮไลท์ก็คือป้อนอาหารยีราฟ สำหรับอาหารนี้สามารถซื้อได้ที่หน้าโซนยีราฟ ราคาเพียง 30 บาท ก็ได้มาเป็นกำใหญ่ๆ พี่พนักงานบอกว่าเวลาป้อนให้จับก้านไว้แน่นๆ เพราะยีราฟจะกินแต่ใบเท่านั้น และแนะนำว่าค่อยๆ ป้อนที่ละก้าน อย่ายื่นไปทีเดียวกำใหญ่ ไม่งั้นน้องจะดึงแรงและทำให้เราเจ็บมือได้
เสือที่นี่ก็มีหลายสายพันธุ์ ทั้งเสือโคล่ง เสือเบงกอล เสือขาว เสือดำ
มาปิดทริปด้วย ท่าช้างบางแสน ร้านอาหารกึ่งบาร์สุดฮิตริมทะเล ใครจะมาแนะนำต้องโทรจองโต๊ะล่วงหน้าไว้ก่อนเลย ซึ่งสามารถจองล่วงหน้าได้ 7 วัน ส่วนถ้าจะ walk-in เข้ามาก็ได้เหมือนกัน แต่จะต้องเสียเวลานั่งรอกว่าโต๊ะจะว่าง และเห็นว่าฮิตขนาดนี้ก็ไม่แปลกใจเลย เพราะแค่เดินเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความชิลล์ มีลมทะเลพัดเข้ามาตลอด และจากร้านเดินไปไม่กี่ก้าวก็เจอหาดทรายและน้ำทะเล แถมดีไซน์ร้านก็เข้ากับบรรยากาศของท้องทะเล เน้นโทนสีน้ำตาลตัดกับสีฟ้าของน้ำ ถ่ายรูปมาแล้วสวยคุมโทนสุดๆ
มุมตรงนี้ถ่ายรูปสวยมาก พื้นหลังเป็นท้องทะเล ช่วงเย็นๆ ถ้าได้แสงพระอาทิตย์ตกดินจะช่วยให้มู้ดภาพสวยยิ่งขึ้นไปอีก
โซนนั่งเป็นแบบโอเพ่นแอร์ มีให้เลือกเยอะมาก แต่ละโซนก็ให้ฟีลที่ต่างกันไป สำหรับโซนฮิตก็คือโซนแซนหรือบนหาดทราย มุมนี้เป็นโต๊ะนั่งริมทะเล เห็นพระอาทิตย์ตกดิน ความชิลล์เต็มร้อย ส่วนใครสายคอนเทนต์ อยากได้นั่งชิลล์พร้อมได้รูปสวยก็ต้องมาโซน pool เป็นที่นั่งกลมกลางสระว่ายน้ำ บรรยากาศเย็นสบาย และถ้าอยากจอยๆ โดดลงสระก็สามารถทำได้เลย แต่ต้องเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำก่อนนะ
สำหรับเมนูทางร้านมีหลากหลาย หลักๆ จะเป็นอาหารเหนือ ที่แนะนำก็จะเป็น ออเดิร์ฟเมืองเหนือ ราคา 290 บาท ในเซ็ตประกอบด้วยไส้อั่ว แหนม แคบหมู ไข่ต้ม และเครื่องเคียงผักต่างๆ รวมถึงมีน้ำพริกอ่องและน้ำพริกหนุ่ม จิ้มเพิ่มความแซ่บและความนัว ใครชอบซดน้ำเข้มๆ ก็ห้ามพลาด แกงฮังเลหมู ราคา 220 บาท ตัวแกงเข้มข้น มีครบทุกรสเค็ม เผ็ด หวาน และหมูชิ้นโตๆ หรือจะอิ่มอร่อยกับ ไก่นึ่งเครื่องแกง ราคา 220 บาท น่องไก่ชิ้นโตๆ เนื้อนุ่มเปื่อยกำลังดี ราดด้วยเครื่องแกงรสจัดจ้าน และยำวุ้นเส้นโบราณ ราคา 190 บาท น้ำยำแซ่บๆ ถูกใจสุดๆ
และแน่นอนว่ามาถึงท่าช้างก็ห้ามพลาดเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ที่ทุกโต๊ะต้องมีอย่าง แสงสว่าง bucket ราคา 490 บาท เป็นสูตรแรกที่ร้านคิดค้นขึ้นมา บอกเลยว่าเข้มถึงใจสุดๆ กลิ่นแอลกอฮอล์มาเต็มๆ และอีกเมนู ช้างใจร้าย bucket ราคา 490 บาท ตัวนี้จะกินง่ายกว่าแสงสว่าง รสออกหวานๆ กลิ่นบลูเบอร์รี่ แต่แอลกอฮอล์แรงไม่แพ้กันนะ
บรรยากาศดีๆ เครื่องดื่มพร้อม ดนตรีก็จัดเต็มตั้งแต่ร้านเปิด โดยร้านจะมีดีเจสลับเปลี่ยนกันขึ้นไปตั้งแต่ 17.00 – 24.00 น. เรียกได้ว่ามีเพลงให้ฟังตั้งแต่ร้านเปิดจนร้านปิด และแนวเพลงส่วนใหญ่จะเป็นเพลงสากล มีทั้ง EDM, Hip-hop รวมถึงเพลงฮิตในช่วงนั้นๆ แต่ถ้าใครอยากได้บรรยากาศม่วนๆ เหมือนทางเชียงใหม่ก็ต้องลองนั่งไปจนดึก บอกเลยว่าที่นี่ยิ่งดึกยิ่งคึก เพลงท่าช้างช็อตฟีลมีอยู่จริงแน่นอน
ที่ท่าช้าง บางแสนพอเริ่มดึก คนก็เริ่มเยอะ แถมยังเปิดไฟแสงสีต่างๆ บอกเลยว่าฟีลมาก็ตอนนี้แหละ
และทั้งหมดนี้คือ เที่ยวบางแสน – ศรีราชา 2 วัน 1 คืน เป็นทริปที่มีครบทุกบรรยากาศ ถ้าใครชอบบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นเมืองไทยก็ต้องลองไปโซนศรีราชา แถวนี้มีทั้งคนญี่ปุ่นและร้านอาหารญี่ปุ่นเพียบ แล้วอย่าลืมมานอนที่โรงแรมคุเรทาเกะโซ่ สัมผัสมาตรฐานการพักผ่อนแบบฉบับคนญี่ปุ่น ห้ามพลาดแช่ออนเซ็นร้อนๆ ขับไล่ความเหนื่อยล้า และใส่ชุดยูกาตะถ่ายรูปคิ้วท์ๆ รวมถึงแวะคาเฟ่และร้านอาหารสุดร่มรื่น มานั่งเสพธรรมชาติกรีนๆ นอกจากนี้ทริปนี้ยังเอาใจสายแฮงเอาท์ พาไปนั่งดื่มริมทะเล รับลมชิลล์ๆ พร้อมดูพระอาทิตย์ตกดิน บอกเลยว่าเป็น 2 วัน 1 คืนที่ได้ชาร์จพลังกลับไปเต็มๆ
รวมค่าใช้จ่ายตลอด เที่ยวบางแสน – ศรีราชา 2 วัน 1 คืน เช็คอินแลนด์มาร์ก รวมร้านเด็ดต้องไป!
-ค่าทำบุญสำนักสงฆ์เขาพระครู 20 บาท
-ค่าอาหารหน้าต่างเขียว 1,610 บาท (หาร 4 ตกคนละ 403 บาท)
-ค่าที่พัก Kuretakeso ห้อง Japanese Tatami Room (Yukata Package) 2,222 บาท (หาร 2 ตกคนละ 1,111 บาท)
-ค่าอาหารเทียบท่า ณ ศรีราชา 577 บาท (หาร 4 ตกคนละ 144 บาท)
-ค่าอาหารและเครื่องดื่ม LOL Campcafe 975 บาท (หาร 4 ตกคนละ 244 บาท)
-ค่าเข้าสวนสัตว์เปิดเขาเขียว 680 บาท (หาร 4 ตกคนละ 170 บาท)
-ค่าเช่ารถกอล์ฟ 550 บาท (หาร 4 ตกคนละ 138 บาท)
-ค่าอาหารและเครื่องดื่มท่าช้าง บางแสน 1,900 บาท (หาร 4 ตกคนละ 475 บาท)
รวมค่าใช้จ่ายตลอดทริป 2,705 บาท/คน
**ราคาไม่รวมค่าน้ำมันรถไป-กลับ และค่าของฝากต่างๆ**
อยากให้ทุกคนลองมาตาม เที่ยวบางแสน – ศรีราชา 2 วัน 1 คืน เช็คอินแลนด์มาร์ก รวมร้านเด็ดต้องไป! เป็นทริปง่ายๆ ที่มีสามารถพาครอบครัวและเพื่อนไปสนุกด้วยกันได้ นอกจากนี้ใครอยากรู้เพิ่มเติมว่าบางแสนและศรีราชามีที่กิน ที่เที่ยวที่ไหนอีกบ้างก็แนะนำ 10 ที่เที่ยวบางแสน เช็คอินกิน เที่ยว วันเดียวง่ายๆ และ 8 คาเฟ่ ร้านอาหารศรีราชาติดทะเล อร่อยทั้งของกิน อิ่มกับบรรยากาศดีๆ เอาเป็นว่ารีบแพ็คกระเป๋าแล้วมาเที่ยวทะเลกัน~