ทริปเที่ยวเชียงดาว เมืองคอง เชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน เที่ยวสามเมือง เดินทางเอง ไปเก็บความทรงจำดีๆ กับกล้อง Canon EOS R8
14,145 ครั้ง
13 ก.ย. 2566
14,145 ครั้ง
13 ก.ย. 2566
เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายปี ได้เวลาปักหมุด เชียงใหม่ จังหวัดที่สามารถไปเที่ยวได้ซ้ำๆ ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ และวันนี้ทริปเก็ทเตอร์จะพาทุกคนไปสัมผัสความงามของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์กันที่ อ.เชียงดาว ที่เที่ยวเชียงใหม่ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดหมายปลายทางหน้าฝนที่ใครๆ ก็มาสัมผัสไอหมอก ดื่มด่ำความกรีน และชมความยิ่งใหญ่ของดอยหลวงเชียงดาว นอกจากนี้เราจะไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กลางทุ่งนากันที่ เมืองคอง และไปนั่งชิลล์ฟังเสียงน้ำไหลที่ บ้านแม่แมะ และยังไม่พอตลอดทริปนี้เราได้กล้อง Canon EOS R8 พร้อมฟีเจอร์เด็ดๆ ที่สายครีเอเตอร์ห้ามพลาด มาดูกันว่าตลอดทั้ง ทริปเที่ยวเชียงดาว เมืองคอง เชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน เที่ยวสามเมือง เดินทางเอง ไปเก็บความทรงจำดีๆ กับกล้อง Canon EOS R8 (กล้องแคนนอน อีโอเอส อาร์แปด) จะได้รูปสวยๆ กลับไปเยอะขนาดไหน
เริ่มต้นทริปเที่ยวเชียงใหม่เวลา 06.30 น. ด้วยการลงเครื่องที่สนามบินเชียงใหม่ และต่อรถมาที่ วัดโลกโมฬี วัดสวยสไตล์ล้านนาที่มีอายุรวมกว่า 500 ปี เรียกได้ว่าเป็นวัดที่อยู่คู่กับเมืองเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมล้านนาประณีตงดงาม ไฮไลท์แรกก็คือ วิหารไม้ศิลปะล้านนาที่ตกแต่งและแกะสลักด้วยลวดลายดอกไม้ ก้านไม้อย่างสวยงาม ในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถ บอกเลยว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยมนต์ขลังและความศักดิ์สิทธิ์ ใครที่มาเที่ยวเชียงใหม่อย่าลืมมากราบสักการะกันด้วยนะ
บนเพดานประดับด้วยกระจกหลากสี พร้อมรูปพระพุทธรูปงดงามตระการตา
ในทริปนี้เราได้กล้อง Canon EOS R8 (กล้องแคนนอน อีโอเอส อาร์แปด) ซึ่งเป็นกล้อง Mirrorless (กล้องมิเรอร์เลส) ฟูลเฟรมที่น้ำหนักเบาที่สุดเพียง 461 กรัม สามารถพกไปเที่ยวได้สบายๆ แถมความละเอียดภาพที่ได้ประมาณ 24.2 ล้านพิกเซล ทำให้ได้ผลงานที่คุณภาพสูง ช่วยให้การถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอง่ายขึ้น บอกเลยว่าถูกใจชาวคอนเทนต์อย่างเราสุดๆ
และอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ เจดีย์ทรงปราสาทยอดระฆัง เป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ที่บรรจุพระอัฐิของพระเมืองเกษเกล้า อีกทั้งตัวเจดีย์ยังมีประติมากรรมปูนปั้นรูปเทวดาที่ประดับอยู่ตามมุมพระธาตุและตรงกลางมีพญานาค 5 เศียรล้อมกรอบซุ้มจรนำ และพิเศษมากๆ ในช่วงที่เราไปได้มีโอกาสสรงน้ำพระธาตุ ซึ่งการสรงน้ำของทางล้านนาจะต้องชักรอกตักน้ำขึ้นไปรดบนพระธาตุ ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มาเที่ยวเชียงใหม่แล้วได้มาลองประเพณีทางล้านนาแบบนี้เลย
นอกจากนี้ยังเป็นที่เที่ยวเชียงใหม่ที่ต้องมามูความรักกับ พระนางจิรประภาเทวี เชื่อกันว่าคนโสดถ้าได้มาขอพรจะได้พบคู่ตามที่ปรารถนา ส่วนใครที่มีคู่อยู่แล้วก็ช่วยเสริมให้ความรักยืดยาวมากขึ้น แต่แอบกระซิบว่าการที่มาขอพรต้องรักกันจริง ไม่รักจริงห้ามอธิษฐาน!
เดินชมความงามของสถาปัตยกรรมล้านนาและเติมแต้มบุญเสร็จแล้ว ก็โบกรถแดงไปเติมพลังยามเช้ากันต่อที่ อรุณสวัสดิ์ เป็นร้านอาหารเช้าที่อยู่แถวช้างเผือก ห่างจากวัดโลกโมฬีเพียง 10 นาทีเท่านั้น ตัวร้านเป็นบ้าน 2 ชั้นที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นร้านอาหาร บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวันวาน มีความอบอุ่นและเป็นกันเอง ให้ฟีลเหมือนมากินข้าวบ้านเพื่อน นอกจากนี้ร้านยังเซ็ตมุมถ่ายรูปน่ารักๆ ให้ได้เช็คอินเพียบ ถ้าจัดทริปเชียงใหม่แล้วอยากได้ร้านอาหารเช้าแบบง่ายๆ และบรรยากาศน่ารัก ต้องเริ่มต้นวันที่อรุณสวัสดิ์แล้วนะ
มุมหน้าต่างตรงนี้น่ารักไม่ไหว มาแล้วต้องถ่ายรูปสักหนึ่ง
สำหรับที่นั่งมีให้เยอะพอสมควร แบ่งออกเป็นอินดอร์และเอาท์ดอร์ โซนอินดอร์สามารถเลือกนั่งได้ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง การตกแต่งเน้นใช้โทนสีน้ำตาล ครีม และเขียว ทำให้มู้ดโดยรวมดูย้อนยุค ในขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความน่ารัก และที่สำคัญถ่ายรูปมุมไหนก็สวย
เมนูของทางร้านเน้นอาหารเช้ากินง่ายๆ มีให้เลือกหลายเมนูครบทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่ม แถมราคาก็เพียงหลักสิบเท่านั้น มาเริ่มที่ของกินเล่นอย่าง ขนมจีบหมู ราคา 45 บาท เสิร์ฟใส่เข่งร้อนๆ แป้งบาง ไส้หมูแน่นๆ จิ้มกับกระเทียมและจิ๊กโฉ่ว เข้ากันสุดๆ ต่อมาเป็นเมนูยอดฮิตยามเช้าอย่าง ไข่กระทะ ราคา 55 บาท อัดแน่นไข่ดาว 2 ฟอง หมูสับ ไส้กรอก และหมูยอ หรือใครสายเฮลตี้ก็ต้อง โยเกิร์ต+กราโนลา ราคา 65 บาท กราโนลากรุบกรอบ ท็อปด้วยผลไม้ฉ่ำๆ ตักกินรวมๆ กันได้รสเปรี้ยวหวานสดชื่นมาก และตบท้ายด้วย ขนมปังนึ่ง+สังขยา ราคา 45 บาท เป็นของหวานขวัญใจชาวเราที่ต้องสั่ง นำขนมปังจิ้มสังขยาเยิ้มๆ หอมกลิ่นใบเตยสุดๆ
และอีกเมนูที่อยากแนะนำ คือ ข้าวต้มแห้ง ราคา 50 บาท เมนูนี้จะเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำซุป วิธีการกินก็สามารถกินแบบแห้งๆ แล้วค่อยซดน้ำซุปตาม หรือใครอยากราดน้ำซุปไปเลยก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าแบบที่เรากินแล้วชอบก็คือราดน้ำแบบขลุกขลิก มันจะได้เท็กซ์เจอร์ของเม็ดข้าวนุ่มๆ หอมกลิ่นกระเทียมเจียว ส่วนตัวหมูหมักรสชาติกลมกล่อม แถมให้มาชิ้นใหญ่ๆ บอกเลยว่ามาแล้วต้องสั่ง
และไฮไลท์ทางร้านที่มาแล้วห้ามพลาด เซ็ตอรุณสวัสดิ์ ราคา 65 บาท เติมพลังยามเช้าด้วยชาร้อน ขนมปังปิ้งสังขยา และเครื่องดื่มร้อนๆ ซึ่งเครื่องดื่มนี้สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นเนสกาแฟ ชาไทยร้อน หรือโอวัลตินร้อน สำหรับเซ็ตนี้ให้ฟีลย้อนวันวานมาก แถมมีชาร้อนปิดท้าย บอกเลยว่าจบมื้อด้วยเซ็ตนี้คือคอมพลีทวันมาก
เดินจากร้านอรุณสวัสดิ์ไป สถานีขนส่งช้างเผือก ระยะทางไม่ได้ไกลกันมาก สามารถเดินถึงกันได้ และใช้เวลาประมาณ 9 นาที สำหรับใครที่อยากนั่งรถไปเที่ยวเชียงดาวก็ต้องมาเริ่มต้นที่สถานีขนส่งช้างเผือก รถที่เราขึ้นจะเป็นรถพัดลมหรือ รถเมล์ส้มสายเชียงใหม่ – ท่าตอน ปลายทางคือ สถานีขนส่งโดยสารอำเภอเชียงดาว ราคาค่าโดยสารคนละ 44 บาท สำหรับรถเมล์ส้มนี้จะมีวิ่งรอบแรกตอน 06.00 น. และเที่ยวสุดท้ายตอน 17.30 น. รถออกทุกๆ 1 ชั่วโมง (เวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลง สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Yanyon Nakorn Chiang Mai หรือโทร 053 215 604, 081 035 6366)
เห็นรถเมล์ส้มตรงหน้า ทริปเที่ยวเชียงดาวได้เริ่มต้นแล้ว!
สำหรับรถเมล์ส้มที่เราขึ้น จะเป็นที่นั่งแบบระบุหมายเลข ดังนั้นใครอยากนั่งริมหน้าต่างหรือได้ที่นั่งดีๆ ก็แนะนำให้มาก่อนเวลาสักหน่อย ส่วนบรรยากาศตลอดการเดินทางสบายๆ บวกกับช่วงที่เราไปเป็นหน้าฝน ทำให้อากาศไม่ร้อน สามารถนั่งได้ยาวๆ
นั่งรถมาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึง สถานีขนส่งโดยสารอำเภอเชียงดาว หรือ จุดจอดพักรถ บ.ยานยนต์นครเชียงใหม่ ซึ่งสถานีนี้จะเป็นจุดพักรถ รถทุกคันจะต้องแวะจอดที่นี่ ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะนั่งเลยป้าย หลังจากที่เราลงจากรถเมล์ส้มก็ติดต่อหาร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ สำหรับร้านเช่ามอเตอร์ไซค์บนเชียงดาวหาค่อนข้างหายากเลย แนะนำว่าเตรียมหาข้อมูลร้านเช่าให้พร้อมก่อนจะดีกว่า ส่วนเราเช่าจาก Saming Chiangdao Guest House ราคาวันละ 200 บาท พร้อมน้ำมันเต็มถัง
รอไม่นานก็ได้มอเตอร์ไซค์มาแล้ว ตอนนี้พร้อมแว้นสุดๆ ว่าแล้วก็เริ่มทริปเที่ยวเชียงดาว เปิดแมพไปที่แรก ถนนต้นยางเชียงดาว จุดเช็คอินที่ใครมาเที่ยวเชียงดาวก็ต้องแวะมาถ่ายรูป ชมความยิ่งใหญ่และอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ ยิ่งช่วงนี้หน้าฝนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นฤดูแห่งกรีนซีซั่น บอกเลยว่าภาพที่ได้เขียวฉ่ำสวยมาก ส่วนมุมที่มาถ่ายรูปกันจะเป็นจุดที่เห็นโค้งถนนและสองฝั่งเป็นต้นยางสูง เตือนว่าใครมาถ่ายรูประวังรถที่สวนไปมาด้วยนะ
สำหรับกล้อง Canon EOS R8 เป็นกล้อง Mirrorless (กล้องมิเรอร์เลส) ที่มี DNA ของ EOS R6 Mark II อัดแน่นด้วยฟีเจอร์เด็ดๆ มีระบบออโต้โฟกัส Dual Pixel CMOS AF II ที่แม่นยำ และยังมี AF detect only ที่โฟกัสคมชัด ทำให้ภาพดูเนียนตาโฟกัสไม่วูบวาบ แม้จะเดินเข้า – ออกเฟรม โดยโฟกัสนี้จะตรวจจับดวงตาอัตโนมัติ เลือกล็อคดวงตาซ้าย – ขวา รวมถึงตรวจจับใบหน้า ศีรษะ หรือร่างกายคนได้อย่างอัจฉริยะ นอกจากจับโฟกัสคนแล้ว กล้องยังจับสัตว์ และรถยนต์ได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 40 fps (electronic shutter) พร้อมระบบติดตาม AF/AE เรียกได้ว่ากดชัตเตอร์รัวๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดช็อตสำคัญ
ขับมาตามทางจากถนนต้นยางเพียงเล็กน้อยก็ไปต่อที่ วัดถ้ำเชียงดาว ที่เที่ยวเชียงใหม่บนเนินของดอยหลวงเชียงดาว เพียงเข้าสู่ส่วนของวัดก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ภายในวัดมีฉากหลังเป็นภูเขาขนาดใหญ่ ปกคลุมด้วยหมอกขาวๆ บวกกับความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศดูเงียบสงบและมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก นอกจากนี้ยังมีสระน้ำสีเขียวมรกต ซึ่งสระนี้เกิดจากการไหลรวมกันจากน้ำภายในถ้ำ และเมื่อพูดถึงความใสของน้ำก็สามารถมองเห็นปลาตัวน้อยใหญ่แหวกว่ายกันอย่างมีชีวิตชีวา
สำหรับไฮไลท์ของวัด คือ ถ้ำเชียงดาว แต่ก่อนที่จะเข้าถ้ำจะมีเสียค่าเข้า 20 บาท/คน ภายในถ้ำมีความสวยงามและความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหินงอก หินย้อย หินรูปทรงต่างๆ นอกจากจะได้ชมความงามเหล่านี้ ข้างในยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เริ่มตั้งแต่ทางเข้าถ้ำมีพระพุทธรูปหลายองค์ให้ได้นำดอกไม้ธูปเทียนมากราบขอพรกันตรงนี้ และไฮไลท์ก็คือปลายทางถ้ำเป็นที่ประดิษฐานของพระนอน ซึ่งลักษณะพระพุทธรูปที่นี่จะนอนหงาย ไม่เหมือนกับพระนอนที่เราเคยเห็นกันมาก่อน เรียกได้ว่าแปลกตามาก
ทางเดินในถ้ำมีแสงไฟตลอดทางและเดินไม่ยาก มีทางเดินที่ชัดเจน นอกจากนี้เรายังได้เพลิดเพลินกับหินรูปร่างแปลกตา รวมถึงมีน้ำหยดลงตามหินย้อยกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดย่อม คนที่เดินอาจจะต้องระวังลื่นกันด้วย
พระพุทธรูปนอนหงายสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2456 ใครที่มาถ้ำเชียงดาวต่างก็เดินมาสุดทางเพื่อกราบสักการะ
อีกหนึ่งสิ่งที่ใครมาถ้ำเชียงดาวห้ามพลาดคือการเดินชมถ้ำแก้วและถ้ำลับแล ในส่วนนี้จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับไกด์นำทาง 200 บาท/กลุ่ม (จำกัดกลุ่มละไม่เกิน 5 คน) โดยไกด์จะถือตะเกียงเจ้าพายุเดินนำไป พร้อมกับให้ความรู้เกี่ยวกับลักษณะหินงอก หินย้อยต่างๆ ตลอดทางจะมืดมากและมีบางจุดที่ต้องมุด ต้องลอดหรือปีน มีความแอดเวนเจอร์พอสมควร ดังนั้นแนะนำให้แต่งกายและเตรียมรองเท้าให้พร้อม สำหรับเส้นทางนี้ระยะทางโดยรวม 735 เมตรและใช้เวลาเดินเกือบ 40 นาที เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ถ้ามาเที่ยวเชียวดาวต้องสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง
หินย้อยลักษณะเหมือนดอกบัวตูม เป็นความงามที่ธรรมชาติสรรสร้าง
การเดินไปแต่ละโถงจะมีประตูถ้ำให้ลอดเป็นบางช่วง ระวังหัวโขกหินกันด้วยนะ
นอกจากในถ้ำ ด้านนอกก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นครูบาศรีวิชัย หลวงพ่อโต หลวงพ่อทันใจ ศาลเจ้าพ่อหลวงคำแดง หลวงพ่อพระพุทธชินราช พระมหาจักรพรรดิ์
หลังจากเดินทางมาเหนื่อยๆ เราขับมอเตอร์ไซค์ประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่พักในคืนนี้ สำหรับทริปเที่ยวเชียงดาวเรามาพักกันที่ ไร่ภูผาหมวก เป็นที่พักกลางหุบเขาที่แท้จริง ตัวบ้านจะเป็นมีลักษณะเป็นกระท่อมที่ตั้งเรียงรายตามทางเดินไม้ไผ่ มีทุ่งดอกไม้อยู่หน้าบ้าน รวมถึงมีสายหมอกจางๆ คลอเคลียยอดเขา และสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ คือ การได้เห็นดอยภูผาหมวกแบบใกล้ชิด บอกเลยว่าบรรยากาศแบบนี้ไม่นึกว่าอยู่ที่เชียงใหม่ สำหรับที่ไร่ภูผาหมวกไม่ได้เปิดตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่จะเปิดช่วงปลายฤดูฝนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ (ระยะเวลาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง สามารถติดตามได้ที่หน้าเพจของที่พัก)
ยอดดอยภูผาหมวกแบบ HD
บ้านพักของที่นี่มีทั้งหมด 7 หลัง เป็นห้องพัดลมทั้งหมด แต่ละหลังตั้งเว้นระยะห่างให้มีพื้นที่ส่วนตัวและตั้งเรียงเป็นแนวครึ่งวงกลม ทำให้ได้วิวที่ต่างกันไปและไม่ต้องกลัวว่าจะบังวิวกัน รวมถึงมีระเบียงให้นั่งดื่มด่ำธรรมชาติกันแบบชิลล์ๆ และถึงแม้ตัวบ้านด้านนอกจะเป็นกระท่อมไม้ แต่ภายในตกแต่งมาอย่างสวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน ไดร์เป่าผม กาน้ำร้อน ผ้าเช็ดตัว ชุดดริปกาแฟ และมีห้องน้ำในตัวพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่นทุกห้อง สำหรับห้องที่เรานอนในทริปนี้คือบ้านหลังที่ 7 ตั้งอยู่หน้าสุดและได้วิวดอยภูผาหมวกแบบเต็มๆ
หลังที่เรานอนคืนนี้น่ารักมาก กลางทุ่งดอกไม้จริงๆ
บ้านที่เรานอนเหมาะกับการมาเป็นคู่ ตัวบ้านแบ่งออกเป็นห้องนอน ห้องน้ำ และชานระเบียงนั่งเล่น ในบ้านค่อนข้างโปร่งสบาย มีช่องรับลมจากทุกทิศ ไม่ต้องกลัวว่าอากาศจะร้อน ยิ่งช่วงกลางคืนอากาศเย็นสบาย เปิดแค่พัดลมก็เอาอยู่
ห้องน้ำมีเรนชาวเวอร์และเครื่องทำน้ำอุ่นให้พร้อม อาบน้ำได้แบบสบายใจ ไม่ต้องกลัวหนาวเลย
ดอกไม้ของที่นี่จะปลูกสลับหมุนเวียนไปตามฤดูกาล ช่วงที่เราไปได้เจอกับทุ่งดอกมากาเร็ต ฟอร์เก็ตมีน็อต และหงอนไก่ ดอกไม้หลากสีสันกลางหุบเขาเขียวขจี เหมือนโลกแห่งความฝันสุดๆ และแน่นอนว่าเราก็ไม่พลาดเก็บภาพสวยๆ มาฝากทุกคนด้วย
กล้อง Canon EOS R8 มาพร้อมระบบออโต้โฟกัส Dual Pixel CMOS AF II ที่เพิ่มประสิทธิภาพการโฟกัสแม่นยำทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ
กล้องแคนนอนตัวนี้นอกจากจะเก็บภาพนิ่งสวย คมชัดแล้ว ยังมีฟีเจอร์วิดีโอสำหรับสาย vlog คือ Canon Log 3 เกรดสีวิดีโอได้ตามมู้ดและโทนที่เราต้องการ รวมถึงช่วยให้การแสดงสีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เหมาะกับทั้งมือใหม่และมืออาชีพที่ต้องการยกระดับการสร้างสรรค์ผลงานให้ดู Professional
ถ่ายรูปเพลินๆ ฟ้าเริ่มมืด อากาศเริ่มเย็นก็ได้เวลาของ หมูกระทะ ราคา 599 บาท เราสามารถสั่งให้มาเสิร์ฟหน้าที่พักได้เลย สำหรับเซ็ตหมูกระทะนี้ถือว่าให้มาเยอะ ประกอบด้วยชุดผักรวม ปลาดอลลี่ ไส้กรอก ปูอัด หมูหมัก หมูสามชั้น เรียกได้ว่ากินกัน 3 คนก็อิ่มแบบจุกๆ เอาเป็นว่าตอนนี้โต๊ะพร้อม เตาพร้อม ตะเกียบพร้อม ก็คีบหมูลงกระทะโลดดด
นั่งรับลม กินหมูกระทะร้อนๆ จบวันได้อย่างดีงาม
สิ่งที่เราชอบเลยก็คือช่วงเช้าที่เปิดหน้าต่างมาก็เห็นยอดดอยและสายหมอกแบบพาโนรามา แต่ถ้าช่วงไหนไม่เจอหมอกก็สามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้จากหน้าห้องเลย ลองจินตนาการว่าตื่นเช้ามาอากาศเย็นๆ นั่งเหม่อมองดูธรรมชาติอย่างรอบๆ ตัว เพียงแค่นี้ก็รู้สึกเหมือนเป็นการชาร์จพลังและดีท็อกซ์ความเหนื่อยล้าให้หายไปปลิดทิ้ง
เปิดหน้าต่างอีกฝั่งก็ได้ภาพทุ่งดอกไม้สวยๆ
หลังจากนั่งดื่มด่ำวิวเพลินๆ ก็ถึงเวลาของอาหารเช้า มื้อเช้านี้เรารองท้องด้วยข้าวต้มร้อนๆ และเครื่องเคียงอย่าง ไก่ทอด ไข่ยางมะตูม ผัดผัก บอกเลยว่าเป็นมื้อเช้าบ้านๆ แต่ก็อิ่มอร่อย และยิ่งนั่งกินข้าวไป มองดูวิวความกรีนฉ่ำไปด้วย บรรยากาศสโลว์ไลฟ์ อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้มาก
มาเดินทางกันต่อ แว้นมอเตอร์ไซค์ท้าสายฝนขึ้นไปเที่ยวเชียงดาวกันนน~ ก่อนที่เราจะขึ้นเขาจะต้องผ่านด่านตรวจของเขตรักษาพันธุ์ป่าเชียงดาว จุดนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อย คนละ 30 บาทและค่ารถมอเตอร์ไซค์ 30 บาท หลังจากชำระทุกอย่างเสร็จแล้วก็ถึงเวลาตะลุยโค้งเชียงดาว เอาจริงๆ การขับรถขึ้นเขาไม่ได้ยากเลย เพราะตลอดทางเป็นถนนลาดยางเส้นใหญ่ ขับสะดวก แต่อาจจะต้องระวังโค้งและเนินสูงในบางช่วง รวมถึงใครไปหน้าฝนเตรียมเสื้อกันฝนให้พร้อมด้วยนะ
ขับมอเตอร์ไซค์ยาวๆ เกือบ 14 กิโลเมตรก็แวะมาเช็คอินที่ จุดชมวิวดอยหลวงเชียงดาว (บ้านนาเลาใหม่) เป็นหนึ่งในที่เที่ยวเชียงใหม่ที่เราจะได้เห็นวิวดอยหลวงเชียงดาวแบบใกล้ชิด พอมาจนถึงตอนนี้เราก็เข้าใจแล้วว่าทำไมใครๆ ถึงเดินทางขึ้นเขากว่าร้อยโค้งเพื่อมานอนดูยอดดอยหลวง สำหรับที่บ้านนาเลาใหม่ไม่ได้เป็นแค่จุดชมวิว แต่ยังมีโฮมสเตย์ให้ได้นอนค้างคืน ดื่มด่ำดอยหลวงอย่างใกล้ชิด
เห็นวิวแบบนี้ก็อดไม่ได้ต้องยกกล้องแคนนอนขึ้นมาถ่ายสักหนึ่ง เราชอบที่ตัวนี้สามารถพับหน้าจอได้ บวกกับตัวกล้องมีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถยกเซลฟี่และถ่ายรูปได้ทุกองศา รวมถึงครีเอเตอร์สายถ่าย vlog ก็เดินถือได้ชิลล์ๆ และให้วิดีโอคุณภาพสูงระดับ 4K 60p แบบไม่ครอป
ทริปเที่ยวเชียงดาวจะสวยสุดในช่วงหน้าฝน ภาพดอยหลวงอันเขียวชอุ่มที่มีสายหมอกปกคลุม ของจริงยิ่งใหญ่อลังการมาก
ถ่ายรูปจุใจเรียบร้อยก็ขับไปเติมคาเฟอีน ชาร์จพลังกันที่ บ้านระเบียงดาว เป็นทั้งโฮมสเตย์และคาเฟ่มาพร้อมวิวดอยหลวงเชียงดาวสลับเมฆหมอกแบบพาโนรามา ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของดอยแบบไม่มีอะไรมากั้น ยิ่งเก้าอี้นั่งตรงระเบียงที่หันหน้าเข้าหาดอยหลวง มุมนี้ถ่ายรูปสวยและยังได้เสพความกรีนอย่างฟิน เครื่องดื่มที่ร้านมีให้เลือกทั้งแบบ coffee และ non-coffee และยังมีขนมและอาหารรองท้องง่ายๆ ด้วย เรียกได้ว่าเป็นจุดพักที่ขับไล่ความเหนื่อยล้า พร้อมเดินทางต่อมาก
นั่งดริปกาแฟช้าๆ ปล่อยใจไปตามธรรมชาติ ให้สายลมและกลิ่นกาแฟช่วยฮีลใจ
แต่ทริปเที่ยวเชียงใหม่นี้จุดหมายเราไม่ได้หยุดที่บ้านนาเลาใหม่ ขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขับไปกันต่อ ปลายทางที่เราจะไปคือ เมืองคอง เป็นหมู่บ้านกลางหุบเขาที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักกัน แต่บอกเลยว่าหมู่บ้านนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์และวิถีชีวิตดั้งเดิม ในหมู่บ้านจะเห็นภาพทุ่งนาเขียวขจีและแนวเขาโอบล้อม รวมถึงมีแต่ความเงียบสงบ ไม่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน ใครที่อยากหนีความวุ่นวายมาใช้ชีวิตเรียบง่าย แนะนำให้จัดทริปเที่ยวเมืองคอง หนึ่งในที่เที่ยวเชียงดาวสุดกรีน
คืนนี้เราปักหมุดมานอน บ้านวังริมคอง โฮมสเตย์ ที่พักเมืองคองสไตล์บ้านๆ มีความเรียบง่าย เหมือนมานอนค้างบ้านญาติ บรรยากาศในที่พักมีความร่มรื่นและสายน้ำไหลผ่านหน้าที่พัก บ้านพักมีทั้งหมด 5 หลัง รองรับทั้งการมาพักเป็นคู่และมาเป็นกลุ่มใหญ่ สำหรับที่นี่จะเน้นให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งห้องครัว บาร์กาแฟ ท่าน้ำ ลานนั่งเล่น ทำให้เราได้ออกมาใช้ชีวิตและเปิดประสบการณ์เจอผู้คนใหม่ๆ หรือมานั่งพูดคุยแลกเปลี่ยน ทำให้เรารู้สึกว่าที่นี่เป็นมากกว่าที่พักที่แค่มานอนและจากไป แต่ได้มีการทิ้งเรื่องราวของผู้คนที่ผ่านมาและความอบอุ่นไว้ ณ ที่แห่งนี้
บ้านที่เรานอนในคืนนี้ก็คือบ้านริมน้ำ เป็นบ้านหลังเล็กๆ อยู่ติดริมน้ำพร้อมระเบียงและท่าน้ำส่วนตัว ใครอยากเดินลงไปจุ่มเท้าแช่น้ำก็ได้ ส่วนในบ้านแบ่งออกเป็นโซนนั่งเล่นและห้องนอน สำหรับห้องนอนเป็นแบบพัดลมพร้อมหน้าต่างรอบทิศ มีลมพัดโกรกตลอด แถมมีเตียงหลังใหญ่ให้นอนนุ่มๆ ส่วนห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมที่อยู่ข้างนอกบ้าน
กิจกรรมเมื่อมาเที่ยวเมืองคอง นอกจากจะมาเรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้านหรือมานอนพักผ่อนกลางธรรมชาติ เมืองคองยังมีกิจกรรมอื่นให้ทำ อย่างล่องแพไม้ไผ่ เดินเที่ยวน้ำตกถ้ำเอาะ ชมทะเลหมอกที่จุดชมวิวเด่นทีวี สำหรับทริปนี้เราเลือกล่องแพไม้ไผ่ เน้นเสพธรรมชาติชิลล์ๆ เติมความเฟรชให้ร่างกายสักหน่อย ซึ่งกิจกรรมล่องแพไม้ไผ่สามารถจองได้ที่เพจ ล่องแพเมืองคอง-กลุ่มชาวบ้าน ราคา 700 บาท/4 – 5 คน รวมค่ารับ-ส่ง จากแคมป์ลุงน้อยวัยไปถึงจุดลงแพ
กิจกรรมทางน้ำไม่ได้มีแค่ล่องแพไม้ไผ่เท่านั้น แต่ยังมีพายเรือคายัคและลอยห่วงยางด้วย
ตลอดระยะเวลากว่าชั่วโมง เราได้นั่งเสพธรรมชาติแบบเต็มๆ รับความสดชื่นจากสายน้ำ บวกกับเราไปเที่ยวหน้าฝน ทำให้อากาศไม่ร้อน มีลมเย็นๆ เอาเป็นว่าฟีลดีมาก เป็นกิจกรรมที่ใครมาทริปเที่ยวเมืองคองแนะนำสุดๆ
ไอ้เราก็อยากลองถ่อแพเองดูบ้าง เพื่อนในกลุ่มก็ว้าวุ่นเลย ลุ้นกันว่าจะไปรอดถึงฝั่งไหม
มื้อเย็นนี้เรากลับมาที่พักและสั่งอาหารปิ่นโตมานั่งกินกัน โดยอาหารมื้อเย็นนี้จะรวมอยู่ในค่าห้องพัก 600 บาท/คน รวมอาหารเช้าและเย็น อาหารมื้อนี้จะเป็นอาหารพื้นบ้าน ไม่ว่าจะเป็นไข่เจียว น้ำพริกอ่อง ผัดฟักทอง ผัดถั่วลันเตา แกงฟักแม้วใส่ไก่ ถึงแม้จะเป็นอาหารง่ายๆ แต่ก็เป็นอีกมื้อที่อิ่มอร่อยและประทับใจมาก
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยกาแฟร้อนๆ สักแก้ว และข้าวต้มร้อนๆ ที่ขาดไม่ได้ก็คือไข่ต้มยางมะตูม เป็นคู่หูมื้อเช้าที่เข้ากันสุดๆ แถมที่พักยังมีน้ำพริกน้ำย้อยให้โรยเพิ่มรสชาติด้วย สำหรับเราที่เพิ่งเคยกินครั้งแรกรู้สึกว้าวมาก มันอร่อยกรุบกรอบ หอมกระเทียมเจียวอ่อนๆ มีความเผ็ดเล็กน้อย ช่วยเพิ่มรสชาติของข้าวต้มสุดๆ
โรยน้ำพริกน้ำย้อยแบบจุกๆ อร่อยมาก
ช่วงเช้าอากาศดีๆ มาขับรถเล่นชมบรรยากาศหมู่บ้านกัน พื้นที่ส่วนใหญ่ของที่นี่จะเป็นท้องนาเขียวๆ และมีฉากหลังเป็นภูเขาใหญ่ ถนนตรงนี้สวยมากจนต้องหยุดรถมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก สำหรับเราการได้มาเที่ยวเมืองคองเป็นอีกหมู่บ้านที่เหมาะกับการมาพักผ่อน ลองใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ และมาแบบไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก แต่สิ่งที่ได้กลับไปคือความประทับใจของผู้คนที่มีความเป็นกันเอง ความน่ารักและเรียบง่ายของชุมชน ถือว่าเป็นสถานที่ที่ back to basic อย่างแท้จริง
อย่าลืมมาเช็คอินสะพานแม่น้ำคองกันนะ ตรงนี้ฟีลดีมาก
ถ่ายรูปเก็บโมเมนต์ครั้งสุดท้ายไว้ด้วยกล้องแคนนอนก่อนที่เราจะต้องโบกมือลาเมืองคอง
จากเมืองคองเราขับมอเตอร์ไซค์ยาวๆ มาที่บ้านแม่แมะ อีกหนึ่งหมู่บ้านสุดชิลล์ของเชียงดาว ที่เที่ยวเชียงใหม่ที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขาและมีลำธารไหลผ่าน ที่นี่ให้ฟีลเหมือนแม่กำปองมาก ก่อนที่จะจบทริปเราแวะมานั่งกินขนมชิลล์ๆ ที่ บ้านธารชีวี บรรยากาศสุดร่มรื่น มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมตลอดทาง เดินมาถึงร้านก็สัมผัสได้ถึงความสดชื่นจากสายน้ำ สำหรับบ้านธารชีวีเป็นทั้งที่พักและคาเฟ่ แนะนำว่าถ้าใครมีเวลาให้ลองนอนค้างสักคืน รับรองได้เลยว่าจะหลงรักธรรมชาติและความเรียบง่าย แต่สำหรับเราได้แค่แวะมานั่งคาเฟ่ เสพความกรีนกันไปก่อน
ที่นั่งในร้านเป็นแบบเปิดโล่ง พร้อมวิวป่าไม้และได้ฟังเสียงน้ำไหลอย่างใกล้ชิด อากาศเย็นสบาย สามารถนั่งดื่มด่ำได้เรื่อยๆ บรรยากาศคือชิลล์มากจริงๆ
นั่งนิ่งๆ กลางธรรมชาติ เป็นการรีชาร์จพลังให้ตัวเองอย่างหนึ่ง
สำหรับเมนูทางร้านมีให้เลือกทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่ม มาเริ่มด้วยเมนูแนะนำอย่าง ชาขนมไทย ราคา 159 บาท ในเซ็ตประกอบด้วยขนมไทยและชาที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาชาเขียวคั่ว ชาอู่หลง ชาดำ ชาญี่ปุ่น การได้จิบชาร้อนกลางไอเย็นของป่าไม้คือความสุขง่ายๆ ที่ลงตัว แต่สำหรับสายหวานอย่างเราก็ขอสั่งเค้กมาอีกสักชิ้น Coconut Cream Pie ราคา 99 บาท เนื้อครีมเนียนนุ่ม หอมกลิ่นมะพร้าว บวกกับครัมเบิ้ลกรุบกรอบ ช่วยตัดเลี่ยนให้รสชาติหวานกำลังดี
และเติมพลังต่อกับ Seafood Pizza ราคา 139 บาท แป้งหนานุ่ม ท็อปปิ้งด้วยหอยแมลงภู่ หมึก กุ้ง ราดซอสและชีสเยิ้มๆ บอกเลยว่าฉ่ำสุด
กล้อง Canon EOS R8 มาพร้อมกับโหมด Slow Motion Full HD 180p ในตัวกล้อง เรียกได้ว่าสะดวกสุดๆ ไม่จำเป็นต้องเอาไปปรับแต่งในโปรแกรมทีหลัง
เรานั่งพักที่บ้านธารชีวีสักพัก ก็ต้องรีบกลับมาที่ สถานีขนส่งโดยสารอำเภอเชียงดาว ตรงนี้เรามีนัดคืนรถมอเตอร์ไซค์พร้อมน้ำมันเต็มถัง หลังจากนั้นก็ไปซื้อตั๋วรถเมล์ส้มสายท่าตอน – เชียงใหม่ สำหรับใครที่จะนั่งเมล์ส้มกลับตัวเมืองเชียงใหม่ แนะนำให้เผื่อเวลาและมาถึงขนส่งเชียงดาวก่อน 17.30 น. เพราะจะเป็นรอบรถสุดท้าย ส่วนค่าโดยสารก็เท่ากับตอนขามา ราคา 44 บาท/คน และลงที่สถานีขนส่งช้างเผือกเหมือนเดิม
และทั้งหมดนี้คือทริป เที่ยวเชียงดาว – เชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน เดินทางเอง ไปเก็บความทรงจำดีๆ กับกล้อง Canon EOS R8 (แคนนอน อีโอเอส อาร์แปด) ถือได้ว่าเป็นอีกทริปที่ประทับใจและได้ไปพักให้ธรรมชาติบำบัดแท้จริง ยิ่งครั้งนี้เราได้เช็คอินสถานที่ยอดฮิตของเชียงดาวครบ ทั้งจุดชมวิวดอยหลวงเชียงดาว เมืองคอง บ้านแม่แมะ ใครชอบการเที่ยวสไตล์นี้ก็มาตามกันได้ และพิเศษมากๆ ที่เราได้ กล้อง Canon EOS R8 มาช่วยในการเก็บภาพและฟุตเทจสวยๆ แถมคุณภาพรูปไม่แพ้กล้องตัวใหญ่ และหลังจากได้ลองใช้มาทั้งทริป เราพบว่ากล้องตัวนี้น้ำหนักเบามาก สามารถหยิบขึ้นมาถ่ายได้แบบสบายๆ ทั้งภาพนิ่งหรือวิดีโอ อีกทั้งยังอัดแน่นด้วยฟีเจอร์ดีๆ อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นระบบออโต้โฟกัส Dual Pixel CMOS AF II, AF detect only, การถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 40 fps นอกจากนี้กล้องตัวนี้ถ่ายวิดีโอ 4K 60p แบบไม่ครอป รวมถึงมี Canon Log 3 ที่สามารถทำสีได้ตามต้องการ เพื่อคอนเทนต์ที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นกล้อง Mirrorless (กล้องมิเรอร์เลส) ฟูลเฟรมที่ครบเครื่องในทุกสิ่ง ตอบโจทย์ชาวครีเอเตอร์ที่อยากอัปเกรดผลงานให้ดูโปรมากขึ้น บอกเลยว่า “EOS R8 เพื่อนสนิทของเหล่าครีเอเตอร์ you R creator”
สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริปเที่ยวเชียงดาว เมืองคอง เชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน เที่ยวสามเมือง เดินทางเอง ไปเก็บความทรงจำดีๆ กับกล้อง Canon EOS R8
DAY 1
– ค่ารถแท็กซี่จากสนามบิน – วัดโลกโมฬี 125 บาท (หาร 3 ตกคนละ 42 บาท)
– ค่ารถแดงจากวัดโลกโมฬี – ร้านอรุณสวัสดิ์ 30 บาท/คน
– ค่าอาหารร้านอรุณสวัสดิ์ 700 บาท (หาร 3 ตกคนละ 233 บาท)
– ค่ารถเมล์สีส้มสายเชียงใหม่ – ท่าตอน 44 บาท/คน
– ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ 3 วัน 600 บาท (หาร 2 ตกคนละ 300 บาท)
– ค่าบูชาดอกไม้ธูปเทียนทอง 20 บาท/คน
– ค่าเข้าถ้ำเชียงดาว 20 บาท/คน
– ค่าไกด์พาเดินในถ้ำ 200 บาท (หาร 3 ตกคนละ 66 บาท)
– ค่าที่พักไร่ภูผาหมวก 3,800 บาท/คืน (หาร 3 ตกคนละ 1,267 บาท)
– ค่าหมูกระทะ 599 บาท (หาร 3 ตกคนละ 200 บาท)
DAY 2
– ค่าเครื่องดื่มบ้านระเบียงดาว 60 บาท/คน
– ค่าผ่านด่านตรวจของเขตรักษาพันธุ์ป่าเชียงดาว 30 บาท/คน
– ค่าที่พักบ้านวังริมคอง โฮมสเตย์ 600 บาท/คน
– ค่าล่องแพไม้ไผ่ 700 บาท (หาร 3 ตกคนละ 233 บาท)
– ค่าน้ำมัน 110 บาท (หาร 2 ตกคนละ 55 บาท)
DAY 3
– ค่าอาหารบ้านธารชีวี 397 บาท (หาร 3 ตกคนละ 132 บาท)
– ค่าน้ำมัน 150 บาท (หาร 2 ตกคนละ 75 บาท)
– ค่ารถเมล์สีส้มสายท่าตอน – เชียงใหม่ 44 บาท/คน
รวมค่าใช้จ่ายตลอดทริป 3,451 บาท/คน
**ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไป – กลับ และค่าของฝากต่างๆ**
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ ทริปเที่ยวเชียงดาว เมืองคอง เชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน เที่ยวสามเมือง เดินทางเอง ไปเก็บความทรงจำดีๆ กับกล้อง Canon EOS R8 บอกเลยว่าเป็นรูทที่ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างแท้จริง ยิ่งในช่วง Green Season ก็ยิ่งได้ภาพความเขียวชอุ่มแบบฉ่ำๆ ใครเที่ยวธรรมชาติเต็มอิ่มแล้วก็มาเที่ยวในเมืองต่อกับ 12 จุดเช็คอินเชียงใหม่ ในตัวเมือง ถ่ายรูป เดินเล่น เช็คอินแล้วไม่เอาท์! ต่อด้วยเดินช้อปปิ้งของอร่อยที่ 7 ตลาดนัด – ถนนคนเดินเชียงใหม่ พิกัดช้อปปิ้งยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด! จบด้วยมูเตลู 11 วัดดังเชียงใหม่ มาแล้วต้องมูให้สุด ครบปังในทุกเรื่อง