tripgether.com

เยือนเมืองสุขใจใน 3 วัน 2 คืน ที่เพชรบูรณ์-พิษณุโลก ชมธรรมชาติพร้อมสัมผัสวิถีชีวิตแบบลึกซึ้ง

10,943 ครั้ง
12 ก.ย. 2560

เพชรบูรณ์ เป็นหนึ่งในจังหวัด “12 เมืองต้องห้าม…พลาด” ที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และวิถีชีวิตดั่งเดิมที่ปฏิบัติและสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน จนได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งความสุขของคนอยู่ และผู้มาเยือน” งานนี้ทริปเก็ทเตอร์ต้องขอตามไปพิสูจน์กันหน่อยดีกว่าว่าเปอร์เซ็นต์ความสุขจะเพิ่มพูนจริงมั้ย…


Day 1 : ขับรถออกจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เราก็มาถึงตัวจังหวัดเพชรบูรณ์ประมาณ 10 โมงเช้า จุดหมายแรกที่เรามุ่งหน้าไปก็คือ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ หรือเมืองโบราณศรีเทพ ที่ตั้งอยู่ในตำบบลศรีเทพ เป็นเมืองในสมัยขอมมีกำแพงล้อมรอบบนพื้นที่กว่า 2,800 ไร่ เสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาท เปิดตั้งแต่ 08.00-16.30 น. ภายในมีสถาปัตยกรรมทรงทวาราวดีและขอมเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีการขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ที่ฝั่งรวมกับเครื่องใช้และสัตว์เลี้ยง สะท้อนให้เห็นความเชื่อหลังความตายของผู้คนในสมัยนั้น

ปรางค์สองพี่น้อง เป็นสถาปัตยกรรมทรงศิลปะเขมร ที่มีการค้นพบรอยทางเดินและประติมากรรมรูปสุริยเทพ ศิวลึงค์ ฐานโยนี รูปโคนนทิ และทับหลัง “อุมามเหศวร” ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอีกด้วย และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ล้ำค่าที่กำลังผลัดดันให้เป็นมรดกโลก

เที่ยวชมเมืองโบราณเสร็จก็เที่ยงพอดี เราเลยแวะไปหาอะไรอร่อยๆ กินที่ร้านไผ่ซ่อนข้าว ร้านอาหารบรรยากาศสุดชิลล์ริมทุ่งนา ตัวร้านสร้างจากไม้ไผ่ทำเป็นกระโจมไผ่ได้ฟิลลิ่งสุดๆ ส่วนเมนูอาหารก็จะเน้นเป็นอาหารไทยทั่วไปอย่าง ปลาทับทิมทอดราดซอสโหระพา ฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อน ไผ่ซ่อนข้าว และแกงคั่วหอย

อิ่มหนำสำราญกันไปแล้ว…ก่อนที่จะตระเวนเที่ยวเมืองเพชรบูรณ์กันแบบอินไซด์ เราก็ต้องไปหาข้อมูลกันที่หอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ซึ่งตั้งอยู่ในศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่นี่เข้าชมฟรี เปิดตั้งแต่ 08.00-17.00 น. แต่ถ้ามากันเป็นหมู่คณะก็แนะนำให้ติดต่อไปก่อนล่วงหน้า เพราะมีบริการนั่งรถรางชม 14 จุดสุดประทับใจในเมืองเพชรบูรณ์ด้วย

ทีนี้เราก็ออกเที่ยวเพชรบูรณ์ได้อย่างมั่นใจ ไม่พลาดชมจุดสำคัญของเมืองแน่นอน ทั้งแวะดูหอนาฬิกา เยี่ยมชมผังเมือง และปิดท้ายด้วยการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง

เงยหน้าดูท้องฟ้าก็เริ่มโผล่เผล่แล้วล่ะ เราเลยตัดสินใจเข้าไปเช็คอินที่พักที่ A DAY IN PETCHABUN กันก่อน เป็นโรงแรมน่ารักๆ ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง ใกล้กับถนนคนเดิน ที่นี่ตกแต่งแบบมินิมอล เน้นโทนสีขาวและเนื้อไม้ ประดับด้วยผลงาน DIY ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบายๆ เหมือนมาเที่ยวบ้านเพื่อน

ห้องพักมี 3 Room Type ไม่ว่าจะเป็นเตียงเดี่ยว เตียงคู่ และแฟมมิลี่รูม ราคาเริ่มต้นแบบรวมอาหารเช้าอยู่ที่ 890 บาท แต่หากใครตั้งใจจะออกไปหาอะไรกินที่ตลาดเช้าก็มีราคาแบบไม่รวมอาหารเช้าให้เหมือนกันค่ะ ซึ่งจะอยู่ที่ 790 บาท มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างทีวี ตู้เย็น กระจกใหญ่ ผ้าเช็ดตัว สบู่ และทิชชูไว้ให้บริการพร้อม

มื้อเย็นเราก็ไปหาอะไรกินที่ร้านครัวบ้านสวน ตั้งอยู่บนถนนประชาสิทธิ์ อำเภอเมือง อยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไร ร้านนี้เป็นร้านอาหารไทยในบ้านไม้สไตล์ไทยล้านนา ได้อารมณ์เหมือนไปเที่ยวบ้านสวน ด้านในมีภาพบรมฉายาลักษณ์รอบร้านให้ความรู้อบอุ่นมากเป็นพิเศษ เมนูส่วนมากจะเป็นอาหารไทยรสชาติจัดจ้านและเมนูที่หาทานได้ยากในสมัยนี้อย่าง หลนปูพร้อมผักเคียง นอกจากนี้ก็มีแกงส้มชะอมกุ้ง กะเพราหอย ปลาทอดตามลำดับ พวกราก็เลยจัดการซะจานนี่เกลี้ยงเกลา แทบไม่ต้องล้างเลยทีเดียว

วันที่เราไปนั้นเป็นวันศุกร์ ซึ่งตรงกับวันที่มีถนนคนเดิน “ถนนคนเพ็ด-ซะ-บูน” ที่หน้าเทศบาลจังหวัดพอดิบพอดี เลยถือโอกาสไปเดินย่อยอาหารเย็น แวะซื้อของหวานเดินกินเล่นกรุบกริบๆ ก่อนกลับที่พักกันหน่อย


Day 2 : ตื่นเช้ามาก็ไปเติมพลังกับ Breakfast ที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมไว้ให้ที่มุมระเบียงหน้าโรงแรม

ช่างเป็นไข่กระทะที่น่ารักกุ๊กกิ๊กจนต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูปกันรัวๆ

กินมื้อเช้าอิ่มกันแล้ว เราเลยเช็คเอ้าท์แล้วเดินทางต่อไปยังอุทยานเพชรบุระในตำบลสะเดียง อำเภอเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดที่ใช้จัดงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของชาวเพชรบูรณ์นั่นเอง เราไปที่นี่เพื่อสักการะพระพุทธมหาธรรมราชาองค์จำลองขนาดใหญ่ ให้เกิดศิริมงคลก่อนออกเดินทางต่อไป

จากนั้นเราก็เดินทางไปสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์กันที่เขาค้อ ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 12 ที่เค้าว่ากันว่า เป็นเส้นทางแห่งความสุขและเต็มไปด้วยร้านอร่อยมากมาย ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย เพราะไปเจอร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ที่ชื่อว่า ต้นกาแฟเขาค้อ ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นวิวเขาค้อได้แบบพาโนราม่า บรรยากาศด้านในโปร่งโล่ง มีมุมนั่งริมระเบียงและมุมถ่ายรูปชิคๆ เต็มไปหมด

ส่วนเมนูของร้านก็ยังคงเป็นอาหารไทยรสชาติจัดจ้าน และกาแฟสูตรต่างๆ ที่ทางร้านภูมิในนำเสนอ เพราะกาแฟที่นำมาเสิร์ฟให้กับลูกค้านั้นมาจากเมล็ดกาแฟคุณภาพที่ทางร้านปลูก คั่ว บด และชงเองกับมือ งานบอกได้เลยว่าถูกใจคอกาแฟอย่างแน่นอน เพราะทั้งมัคคิอาโตและมอคค่าที่พวกเราสั่งมานั้น รสชาติกลมกล่อม หวานหอม ละมุนลงตัวมาก

นอกจากนี้ ที่ร้านยังมีกิจกรรมน่ารักๆ ให้คนรักกาแฟได้ทดลองคั่วบดเมล็ดกาแฟสดด้วยตัวเองอีกด้วย อะ…ใครชอบกาแฟดำรสเข้มเบอร์ไหนก็ลองคั่วบดกันเองนะจ๊ะ

ระหว่างออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนชมวิวเขาค้อที่ร้านต้นกาแฟ แอบสังเกตเห็นกังหันลมขนาดใหญ่อยู่บนเนินเขาสูงในเขตพื้นที่หมู่บ้านเพชรดำ ดูจากระยะทางแล้วก็ไม่น่าจะไกลกันมาก เราเลยตัดสินใจแวะไปซะหน่อย ขับรถไปจอดไว้ที่ลานจอด เสียค่าบริการ 20 บาท แล้วเดินชมเดินถ่ายรูปกันตามสบาย

มาลองความหวาดเสียวแบบแอดเวนเจอร์ชาวเขากับชิงช้าชาวเขาหน่อยเป็นไง…

หลังจากสนุกสนานกับกิจกรรมที่กังหันลมกันไปแล้ว เราก็มุ่งหน้าเดินทางไปดูของดีประจำอำเภอหล่มสักกันที่หมู่บ้านตีมีดโบราณ 100 ปี ในชุมชนบ้านใหม่ เส้นทางการมาอาจจะยากสักหน่อย แต่ก็มีป้ายบอกตามทางตลอดค่ะ ค่อยๆ ขับรถมาก็ถึง แนะนำว่าก่อนเข้าไปควรติดต่อไปก่อนก็จะดีกว่า การมาที่นี่ทำให้เราได้ความรู้ใหม่ๆ จากภูมิปัญญาชาวบ้านในการตีมีด ซึ่งมีดที่ผ่านการตีจะแข็งแรงทดทานกว่ามีดจากโรงงาน และกว่าจะได้มีดคมๆ มาแต่ละเล่มมานั้นต้องใช้เวลาตีนานถึง 3 ชั่วโมง เรียกว่าเมื้อยกันไปข้างหนึ่งเลย

มาเยือนหล่มสักทั้งที เราก็ต้องไปหาความรู้และดูวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของชาวหล่มสักกันก่อนที่พิพิธภัณฑ์หล่มศักดิ์ ที่นี่เข้าชมฟรี เปิดตั้งแต่ 09.00-21.00 น. หล่มสักเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีภูเขาล้อมรอบ อากาศก็บริสุทธิ์ ที่สำคัญมีอัตลักษณ์เป็นของตัวเองอย่างชัดเจน

จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นกันที่ถนนคนเดินไทหล่ม ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ ตลอด 2 ฝั่งทางเดินจะเป็นบ้านไม้สไตล์โบราณ มีกิจกรรม ร้านค้าสินค้า และร้านอาหารเต็มไปหมด หากใครไปแดนะนำให้ไปกิน อองปูปิ้ง อาหารท้องถิ่นประจำเมืองเพชรบูรณ์ จริงๆ ก็คือมันปูนาที่นำมาปรุงรสแล้วย่างในกระดองปู กินกับข้าวเหนียวได้รสเค็มๆ มันๆ หอมกลิ่นปู อร่อยมากแนะนำให้ไปลองเลยค่ะ

พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนเป็นธรรมดา คืนนี้เราจะไปเช็คอินเข้าพักกันที่ The Indigo ในตำบลวัดป่า อำเภอหล่มสัก ที่นี่เป็นโรงแรมเท่ๆ ในบรรยากาศแบบลอฟท์สไตล์ ภายในตกแต่งให้ดูทันสมัย มีทั้งห้องเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ พร้อมด้วยโต๊ะเขียนหนังสือ ทีวี ตู้เย็น ผ้าขนหนู สบู่ แชมพูไว้ให้บริการ ราคารวมอาหารเช้าเริ่มต้นที่ 500 บาทเท่านั้นเอง


Day 3 : เป็นวันที่เราจะเดินไปยังอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อไปชมเขาหินปูน แต่ก่อนที่จะไปชมความงดงามอันน่าพิศวงนั้น ขอแวะไปเติมความหวานกับการชมต้นไม้รูปหัวใจที่บ้านรักไทย จังหวัดพิษณุโลก กันก่อนดีกว่า ซึ่งเป็นจุดชมวิวบนเนินเขา มีต้นไม้รูปหัวใจขึ้นตรงกลาง ด้านหลังเป็นวิวทิวเขาแบบพาโนราม่า ใต้ต้นไม้มีชิงช้าให้นั่งถ่ายรูปเก๋ๆ เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ต้องแวะเวียนไปเช็คอินจุดหนึ่งเลยก็ว่าได้

ชมความน่ารักมุ้งมิ้งกันแล้ว คราวนี้เราจะไปต่อกันที่บ้านมุง ในอำเภอเนินมะปราง เพื่อชมเขาหินปูนอายุร่วมหลายร้อยล้านปี มีทั้งถ้ำค้างคาว ถ้ำนางสิบสอง รวมถึงวิวทุ่งนากว้างใหญ่ให้ได้ถ่ายรูปเต็มไปหมด หากจะเข้าไปเที่ยวชมแนะนำให้ติดต่อเจ้าหน้าไปก่อนดีกว่า เพราะเส้นทางเข้าไปยังถ้ำต้องใช้รถอีแต๋นเข้าไป

คุณลุงคนขับรถอีแต๋นก็แนะนำร้านกาแฟบ้านาไร่ภูตะวัน ร้านกาแฟท่ามกลางวิวเขาวหินปูนให้เราได้พักหาเครื่องดื่มเย็นๆ ดื่มกันก่อนตะลอนถ่ายรูปกันต่อ หากมาที่นี่แนะนำให้สั่งนมเผือกเลยค่ะ รสชาติกลมกล่อม หอมอร่อย ไม่หวานมาก ช่วยชาร์จพลังตอนบ่ายได้ดีเลยทีเดียว

ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ก็ขอไปเติมพลังงานหนักๆ กันที่ร้านผัดไทป้าหอม ในอำเภอวังทอง ร้านนี้เป็นเจ้าเด็ดเจ้าดังของพิษณุโลก ที่ใครๆ ก็ต้องแวะไปลิ้มลองความอร่อย เมนูไม่ได้มีแค่ผัดไทอย่างเดียว ยังมีอาหารตามสั่งและของทอดทานเล่นอีกหลายอย่าง

ก่อนจะกลับจริงๆ แล้ว…ก็หันไปเห็นผลงานศิลปะพระบรมสาทิสลักษณ์ของในหลวง ร. 9 ตลอดใจกลางเมืองพิษณุโลก เราเลยมองหาป้ายว่าที่นี่เค้ามีงาน “ศิลป์สองแคว ก้าวตามพ่อ” เป็นงานที่รวมศิลปินชาวพิษณุโลกมาสร้างสรรค์ผลงานเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวง ร.9

แล้วเราก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ และก็ได้คำตอบแล้วล่ะว่า เพชรบูรณ์และพิษณุโลกเป็นเมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมีความสุขอย่างแท้จริง

 


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ