2 วัน 1 คืน หนีความวุ่นวาย ตามหาความสโลว์ไลฟ์ที่เชียงดาว
17,965 ครั้ง
13 ก.ย. 2562
17,965 ครั้ง
13 ก.ย. 2562
ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกถึงบรรยากาศของความชุ่มฉ่ำของป่าเขาสีเขียวขจีและไอหมอกจากฝน เช่นเดียวกันครับผมก็เป็นหนึ่งคนที่แสวงหาความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ตามหาบรรยากาศกรีนๆ ตามหาความงามในช่วงที่ธรรมชาติจะอุดมสมบูรณ์ที่สุดในช่วงปลายฝนต้นหนาว และที่สำคัญจังหวัดที่ผมเลือกไปในครั้งนี้เรียกได้ว่ามีทั้งความเจริญ มีวัฒนธรรมที่ดีงาม และมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย และที่สำคัญการเดินทางยังสะดวกสบายเหมาะสำหรับคนเวลาน้อยอย่างผม และที่ที่ผมจะเดินทางไปก็คือ จังหวัดเชียงใหม่
ทริปนี้ผมออกเดินทางกันตั้งแต่ตีห้า เริ่มต้นการเดินทางกันที่สนามบินดอนเมืองและใช้เวลาเดินทางจาก กรุงเทพ – เชียงใหม่ ประมาน 1 ชั่วโมง 15 นาที เรียกได้ว่านั่งยังไม่ทันหลับเครื่องก็แลนด์ดิ้งลงที่สนามบินเชียงใหม่แล้ว เมื่อมาถึงสนามบินเชียงใหม่ผมก็ไม่รอช้ารีบตรงไปที่เคาน์เตอร์ AVIS สาขาสนามบินเชียงใหม่ สังเกตง่ายๆ เคาน์เตอร์สีแดงโดดเด่น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากทางออกที่ 1 ซึ่งเคาน์เตอร์เปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00 – 22.00 น.
และทาง AVIS ยังมีรถให้เลือกเช่าหลายประเภทมีทั้ง รถเก๋ง รถกระบะ และรถแบบครอบครัว หรือถ้าอยากเดินทางแบบหรูหราก็มีรถลิมูซีนพร้อมคนขับให้อีกด้วยนะ และนอกจากนี้ยังมีให้เลือกทั้งเช่าเฉพาะรถสำหรับขับเอง หรือใครที่ขับรถไม่ชำนาญทาง AVIS ยังมีบริการรถเช่าพร้อมคนขับให้เลือกอีกด้วย นอกจาก AVIS สาขาสนามบินเชียงใหม่แล้วยังมีเคาน์เตอร์ให้บริการกว่า 29 สาขาทั่วประเทศ เอาเป็นว่าใครที่กำลังมีแพลนเดินทางไปเที่ยวให้ลิสต์ชื่อของ AVIS ไว้เลย รับรองว่าขับขี่มั่นใจตลอดทั้งทริป
สำหรับทริปนี้ผมจะเดินทางไปที่ อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรูทยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปพักผ่อน และรถเช่าของ AVIS ยิ่งทำให้ผมมั่นใจเพราะสภาพรถทั้งภายในและภายนอกใหม่และสะอาดสุดๆ แถมราคาค่าเช่าบริการยังสมเหตุสมผลอีกด้วย
สำหรับการเดินทางไป อ.เชียงดาว ผมเดินทางจากสนามบินเชียงใหม่ใช้เส้นทางถนนหมายเลข 121 ผ่าน อ.แม่ริม อ.แม่แตง และถึง อ.เชียงดาว จุดหมายแรกที่ผมมาถึงเชียงดาวก็คือ บ้านมะขามป้อม Art Space ร้านนั่งชิลล์บรรยากาศสงบๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาสีเขียวขจี และที่สำคัญที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่คาเฟ่อย่างเดียวเท่านั้น ที่นี่ยังมีแกลลอรี่ที่ศิลปินมาโชว์ผลงานศิลปะอีกด้วย บ้านมะขามป้อม Art Space เปิดให้บริการเวลา 09.00 – 17.00 น. โทร.063 879 5145
เมื่อเข้ามาถึงภายในตัวร้านจะพบกับความร่มรื่นและเงียบสงบสุดๆ ตัวร้านตกแต่งด้วยไม้สไตล์เท่ๆ ที่นำสิ่งของเหลือใช้มาดัดแปลงให้เป็นงานอาร์ตๆ โชว์ทั่วบริเวณตัวร้าน และมีที่นั่งให้เลือกทั้งโซนด้านในแกลลอรี่และริมคูน้ำแบบชิลล์ๆ เหมาะมากสำหรับใครที่ต้องการหาพื้นที่สงบๆ เป็นส่วนตัว และยิ่งผมเดินทางมาไกลๆ บอกได้เลยว่าประทับใจและหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
และเมนูของที่ร้านจะเป็นเมนูทานเล่น ที่มีทั้ง ปีกไก่ BBQ ราคา 79 บาท และเฟรนช์ฟรายส์ทอดราคา 59 บาท และยังมีเครื่องดื่มให้เลือกอีกหลายเมนูทั้งเมนู ชา กาแฟ อิตาเลี่ยนโซดา และสมูทตี้ผลไม้ ซึ่งทางร้านจะใช้น้ำผึ้งป่าแท้ๆ ในการเพิ่มความหวานด้วยนะ
ที่ฝั่งตรงข้ามยังมีมุมสะพานไม้ไผ่ที่ทอดยาวไปที่ทุ่งนาให้ไปเดินรับลมเย็นๆ และถ่ายรูปกลับไปอวดเพื่อนๆ อีกด้วย
รอบๆ บริเวณร้านมีมุมถ่ายรูปน่ารักๆ มากมาย ทั้งมุมสะพาน มุมในสวน และมุมชิงช้านั่งชิลล์ริมบึง
นั่งพักกันจนหายเหนื่อย ผมเลยไปต่อกันที่ บ้านต้นไม้แม่แมะ ที่พักที่ผมจะพักกันในคืนนี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัว อ.เชียงดาว มากนัก สำหรับถนนที่ใช้สำหรับเดินทางไปยังบ้านแม่แมะค่อนข้างแคบ มีโค้งตลอดทาง และบางช่วงลาดชันอาจจะต้องใช้ความชำนาญในการขับรถ และจะมีป้ายเตือนให้บีบแตรรถทุกโค้งเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ บ้านต้นไม้แม่แมะ โทร.081 111 5154
สำหรับการเดินทางจากตัว อ.เชียงดาว ถึงบ้านแม่แมะใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง และแล้วผมก็มาถึง บ้านต้นไม้แม่แมะ ที่พักกลางป่าที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเรียกได้ว่าเป็นที่พักที่ Hideaway สุดๆ ตัวที่พักตกแต่งด้วยไม้สีน้ำตาลทำให้สีตัดกับธรรมชาติสีเขียวที่อุดมสมบูรณ์โดยรอบ ตัวหลังคายังมุงด้วยวัสดุจากธรรมชาติอีกด้วย
และเมื่อเข้ามาด้านในผมเชื่อว่าเพื่อนๆ ทุกคนจะต้องร้องว้าวอย่างแน่นอน เพราะเมื่อเข้ามาถึงก็จะได้พบกับวิวธรรมชาติที่มองทะลุจากชานเรือนออกไปได้ เรียกได้ว่าสวยจนต้องเอากล้องขึ้นมารัวชัตเตอร์กันเลยทีเดียว และภายในยังตกแต่งด้วยไม้ทั้งหมด
และห้องที่ผมนอนกันในคืนนี้คือห้อง 1 ห้องที่เรียกได้ว่าวิวดีที่สุดเพราะเป็นห้องที่อยู่ด้านหน้าและยังสามารถชมวิวธรรมชาติได้อย่างเต็มตา ภายในตัวห้องก็ตกแต่งอย่างเรียบง่ายตัวผนังทำจากไม้ไผ่สานเน้นการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเพิ่มกิมมิคน่ารักๆ ด้วยมุ้งกระโจมสีขาว พร้อมเตียงนอนเดี่ยว 2 เตียง และที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ ก็คือบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่เมื่อเลื่อนออกแล้วจะสามารถมองวิวธรรมชาติได้จากบนเตียง แถมยังเป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ได้อีกด้วย
หากลงมาที่ชั้นล่างจะเป็นส่วนของชานเรือนซึ่งเป็นโซนสำหรับทานอาหาร นั่งเล่นชิลล์ๆ หรือทำกิจกรรมต่างๆ และมีมุมที่นั่งให้เลือกมากมาย และถ้าโชคดียังมีโอกาสได้ชมการแสดงรอบกองไฟจากเด็กๆ ในหมู่บ้านอีกด้วย
อย่างที่บอกว่าทริปนี้ผมเดินทางมาหาความชุ่มฉ่ำของหน้าฝนก็พลาดไม่ได้ที่จะเดินลงไปที่ ลำธารแม่แมะ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวที่พักเพียง 100 เมตรเท่านั้น ซึ่งที่ลำธารก็จะมีสะพานให้เราได้ถ่ายรูปกันแบบเพลินๆ หรือใครที่อยากสัมผัสความชุ่มฉ่ำแบบผม ก็สามารถลงเอาเท้าไปจุ่มที่ลำธารได้อีกด้วย
แถมยังมีมุมชิงช้าบนลำธารแบบนี้ด้วยนะ
ถ่ายรูปเพลินจนลืมดูเวลา มื้อเย็นวันนี้ก็ไม่ต้องไปไหนไกลเพราะที่ บ้านต้นไม้แม่แมะ มีอาหารไว้ให้บริการซึ่งปกติแล้วจะรวมทั้งอาหารเย็นและอาหารเช้ากับราคาห้องพักแล้ว แต่วันนี้ผมทนความหิวไม่ไหวเลยสั่งอาหารมากินกันก่อน ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายเมนู ทั้งอาหารตามสั่งและเมนูกับข้าว
ข้าวไข่เจียวใบชา ราคา 70 บาท ข้าวกระเพราเห็ดไข่ดาว ราคา 60 บาท และต้มยำไก่ ราคา 100 บาท
จบทริปวันแรกของผม ซึ่งเป็นการเดินทางมาเที่ยวเชียงดาวครั้งแรกที่ผมประทับใจมากๆ ตั้งแต่การเดินทาง ผู้คน และสถานที่ต่างๆ ที่เดินทางไป และที่ประทับใจสุดๆ เลยก็คือ บ้านต้นไม้แม่แมะ ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการหาที่พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติสงบๆ เหมือนได้มารีทรีตร่างกายให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง
ตื่นเช้ามาพร้อมกับอากาศหนาวๆ และเสียงของลำธารที่ไหลให้ฟังตลอดทั้งคืนเป็นความรู้สึกที่เกินบรรยายมากๆ สำหรับการเดินทางมาพักผ่อนครั้งนี้ เช้านี้ผมเลยเริ่มต้นวันดีๆ ด้วยกาแฟร้อนๆ สักแก้วก่อนจะเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก
เช็คเอ้าท์กันแล้วผมเลยเดินทางไปกันต่อที่ วัดถ้ำเชียงดาว ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่ามาเชียงดาวแล้ว จะต้องแวะมาเที่ยวที่นี่ให้ได้ วัดถ้ำเชียงดาว เป็นวัดคู่เมืองเชียงดาวและมีไฮไลท์คือถ้ำเชียงดาวที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเอาไว้ภายใน
เมื่อเดินมาถึงบริเวณปากถ้ำเพื่อนๆ จะได้พบกับบ่อน้ำสีฟ้าใสทั้งสองฝั่งสะพานและมีปลาตัวใหญ่แหวกว่ายให้เราได้ชมกัน ที่จุดนี้ยังมีบริการให้อาหารปลาอีกด้วย
สำหรับค่าเข้าชม ถ้ำเชียงดาว จะต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท และที่สำคัญจะต้องแต่งกายด้วยชุดสุภาพและมิดชิดเพราะที่นี่เป็นศาสนสถาน ถ้ำเชียงดาว เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 น.
เมื่อเดินเข้ามาภายในถ้ำเชียงดาวจะได้พบกับพระพุทธรูปไม้แกะสลักศิลปะแบบพม่าที่สร้างโดยฝีมือช่างชาวพม่า ซึ่งเป็นภาพที่แปลกตาและไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
บรรยากาศภายในไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเพราะที่นี่มีไฟส่องสว่างตลอดทางเดิน และยังได้เห็นหินงอกหินย้อยที่สวยงามอีกด้วย
เมื่อเดินมาจนสุดจะได้พบกับพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพม่าประดิษฐานอยู่ภายในและยังเชื่อว่าหากมาขอพรก็จะสมปรารถนาด้วยนะ
ใช้เวลาอยู่ในถ้ำเชียงดาวไม่นานก็ได้เวลากลับไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งระหว่างทางกลับก็เลยแวะหาของอร่อยๆ ทานกันที่ร้าน กาแฟฮิมน้ำ ซึ่งตัวร้านตั้งอยู่ระหว่างทางกลับจาก อ.เชียงดาว ไป อ.แม่แตง ตัวร้านตั้งอยู่ซ้ายมือก่อนถึงด่านตรวจ กาแฟฮิมน้ำ เปิดให้บริการเวลา 07.00 – 18.00 น. โทร.053 046 112, 083 152 4366
ภายในตัวร้าน กาแฟฮิมน้ำ เป็นร้านที่ตกแต่งด้วยสไตล์ไม้และแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ให้ความร่มรื่น ซึ่งมีที่นั่งให้เลือกทั้งโซนหน้าร้าน โซนในตัวร้าน และโซนริมแม่น้ำ และที่สำคัญตัวร้านเป็นร้านแบบ Open Air สามารถนั่งรับลมเย็นๆ ฟังเสียงแม่น้ำปิงไหลผ่านกันแบบเพลินๆ
ผมเลยจัดหนักด้วยเมนูแนะนำของทางร้าน มีทั้ง ขนมจีนน้ำยาชุดใหญ่ ราคา 99 บาท มาเชียงใหม่ทั้งทีก็ต้องไม่พลาดกับ ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ราคา 65 บาท และซี่โครงแหนมทอด 89 บาท และนอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มให้เราได้สดชื่นก่อนเดินทางต่ออีกด้วย สตรอว์เบอร์รี่โซดา ราคา 60 บาท และลาเต้เย็น ราคา 60 บาท
มานั่งกินตรงที่นั่งริมน้ำมุมนี้รับรองว่าฟินสุดๆ เพราะได้เห็นทั้งวิวภูเขาด้านหน้า วิวแม่น้ำปิงด้านล่าง และยังได้ฟังเสียงน้ำแบบเพลินๆ พร้อมกินเมนูอร่อยๆ ของทางร้าน กาแฟฮิมน้ำ
ด้านล่างตัวร้านยังมีที่นั่งสำหรับลงไปนั่งเล่นแบบฟินๆ กันที่ริมแม่น้ำอีกด้วย
และจุดเช็คอินสุดท้ายของทริปนี้ ผมมากันที่ สวนผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้สนสองใบ หรือ สวนสนแม่แตง สวนสนธรรมชาติที่ปลูกไม้สนคาริเบีย เมื่อเข้ามาแล้วจะได้พบกับต้นสนที่ปลูกเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และยิ่งช่วงฤดูฝนแบบนี้ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในชุ่มฉ่ำไปด้วยธรรมชาติและบริสุทธิ์มากๆ
แถมยังมีมุมถ่ายรูปเท่ๆ ที่รับรองว่าถูกใจสายฮิปสเตอร์อย่างแน่นอน
เป็นอย่างไรกันบ้างกับทริปสั้นๆ ที่ผมหนีความวุ่นวายมาตามหาความสโลว์ไลฟ์กันที่เชียงดาว ซึ่งเป็นทริปสั้นๆ แต่ได้เที่ยวและพักผ่อนกันแบบเต็มที่ และที่สำคัญแต่ละที่ที่ผมไปยังตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการหาที่พักผ่อนแบบเดินทางง่ายๆ แต่ได้รับความฟินจากธรรมชาติกันแบบเต็มๆ ใครที่กำลังวางแพลนเที่ยวในปลายฝนต้นหนาวนี้ลองใช้ทริปนี้เป็นตัวอย่างดู รับรองเลยว่าจะต้องประทับใจจนไม่อยากกลับเลยล่ะครับ
สรุปค่าใช้จ่ายทริป กรุงเทพ – เชียงดาว
ค่าที่พัก บ้านต้นไม้แม่แมะ คนละ 750 บาท 2 คน 1,500 บาท
ค่าอาหาร บ้านต้นไม้แม่แมะ 300 บาท (หาร 2 คน 150 บาท)
ค่าอาหารที่ บ้านมะขามป้อม Art Space 263 บาท (หาร 2 คนค นละ 132 บาท)
ค่าเข้าถ้ำเชียงดาว 40 บาท (คนละ 20 บาท)
ค่าอาหารที่ร้านกาแฟฮิมน้ำ 448 บาท (หาร 2 คน คนละ 224 บาท)
รวมค่าใช้จ่าย ตกคนละ 1,276 บาท
**ราคานี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินและเช่ารถ