3 วัน 2 คืน เที่ยวเชี่ยวหลานหน้าฝน เส้นทางความสุขจากธรรมชาติสุดอันซีน
30,054 ครั้ง
31 พ.ค. 2562
30,054 ครั้ง
31 พ.ค. 2562
Raining Season ~ หน้าฝนทีไรหลายคนมักจะหยุดการเดินทาง เพราะด้วยสภาพอากาศที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ แต่อันที่จริงแล้วหน้าฝนเป็นฤดูกาลที่น่าเที่ยวสำหรับคนรักธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี มองไปทางไหนก็สดใสน่ามอง และถ้าให้เอ่ยถึงสถานที่ท่องเที่ยวหน้าฝนก็คงต้องนึกถึงที่นี่เป็นอันดับต้นๆ เขื่อนเชียวหลาน หรือ เขื่อนรัชชปะภา เมือง 2 ฤดู ที่มีเฉพาะหน้าร้อนและหน้าฝน แต่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ซึ่งทริปนี้เราเลยปักหมุดมานอนแพกลางทะเลสาบสีมรกตกันสัก 3 วัน 2 คืน แล้วแวะเที่ยวเส้นทางใกล้ๆ โดยใช้บริการรถเช่าแบบขับเองของ Avis เพื่อให้เราไม่พลาดเก็บเกี่ยวเรื่องราวระหว่างข้างทางช่วงหน้าฝน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทเรียนความสุขจากธรรมชาติที่น่าจดจำในช่วงฤดูกาลนี้เลยทีเดียว
เราออกเดินทางกันแต่เช้า เพื่อโดยสารสายบินไปยังสนามบินสุราษฎร์ธานี ซึ่งจากกรุงเทพใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ เมื่อมาถึงยังสนามบินสุราษฯ เราได้ใช้บริการรถเช่า Avis แบบขับเองเพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ ที่เราได้วางแพลนไว้ หรือถ้าใครขับรถไม่เป็นก็มีบริการรถเช่าพร้อมคนขับ หรือถ้าใครเป็นสายหรูก็มีรถลิมูซีน พร้อมคนขับ คอยอำนวยความสะดวกสบายตลอดการเดินทางกันเลย และนอกจากสนามบินสุราษฏร์ธานีแล้ว Avis ยังมีให้บริการทั่วประเทศกว่า 29 สาขา เอาเป็นว่าใครที่กำลังวางแพลนจะเดินทางไปยังที่ต่างๆ อยากได้รถเช่าที่สะดวกสบาย Avis เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่อยากบอกต่อ ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล รถใหม่ ภายในตัวรถสะอาดน่าขับสุดๆ
จุดหมายแรกที่เราจะไปเช็คอินกันในวันนี้คือ อุทยานธรรมเขานาในหลวง ที่อยู่ห่างออกจากสนามบินไปประมาณ 1 ชั่วโมง เราเดินทางมาถึงอุทยานหลวงบ้านเขานาในกันในช่วงสายๆ ซึ่งเลยช่วงไฮไลท์พระอาทิตย์ขึ้นผ่านซุ้มประตูไปแล้ว แต่อากาศก็ยังเย็นสบาย หากเดินขึ้นไปบนยอดเจดีย์จะมองเห็นทะเลหมอกได้อย่างสวยงามอีกด้วย
อุทยานธรรมเขานาในหลวง เป็นหนึ่งในสถานที่ปฏิบัติธรรม และเป็นสถานที่ตั้งของเจดีย์ลอยฟ้า พระพุทธศิลาวดีที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีน ชมทะเลหมอกเหนือยอดไม้อย่างสวยงาม ไฮไลท์หากมาช่วงประมาณ 6.00 น. จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นผ่านซุ้มประตูอย่างสวยงาม อีกทั้งยังมีพระเดินบิณฑบาตเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเลย
ชื่นชมความสวยงามของที่นี่อยู่พักใหญ่ เราก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อไปยัง ท่าเรือเทศบาลเขื่อนเชี่ยวหลาน เพื่อข้ามเรือไปเที่ยวชมสถานที่ ที่ได้ชื่อว่าสวยงามและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติอันดับต้นๆ ของประเทศ ณ เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ เขื่อนรัชชปะภา เมื่อขับรถมาถึงท่าเรือเทศบาลเขื่อนเชี่ยวหลาน จะมีที่จอดรถให้บริการ ค่าจอดวันละ 80 บาท โดยจะมีเจ้าหน้าที่ค่อยดูแลเรื่องความปลอดภัยอย่างดี
และก่อนที่เราจะนั่งเรือเข้าไปยังเขื่อนเชี่ยวหลาน ก็ต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานฯ กันก่อน ราคาคนละ 40 บาท สำหรับคนไทย และทำประกันอุบัติเหตุกับทางอุทยานฯ ซึ่งจะคุ้มครองได้ถึง 7 วัน ในราคาเพียงคนละ 10 บาทเท่านั้น ใครที่มาเที่ยวหลายวัน ซื้อไว้ก็ไม่เสียหายอะไร ซึ่งส่วนของประกันอุบัติเหตุจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้
เมื่อได้บัตรเข้าอุทยานฯ เรียบร้อยแล้ว ก็จัดการหาเรือเพื่อเตรียมเดินทางกันต่อ โดยเราได้ใช้บริการเรือของพี่เบิร์ด ซึ่งได้มีการพูดคุยเรื่องการเดินทาง และต่อรองราคากันเรียบร้อยแล้ว โดยพี่เบิร์ดจะอยู่กับเราตลอดทริปเพื่ออำนวยความสะดวกและพาเราไปยังสถานที่ต่างๆ สามารถโทรสอบถามพี่เบิร์ดที่เบอร์นี้เลย 093 780 3500
และก่อนจะเข้าที่พักของเราในคืนนี้ พี่เบิร์ดได้พาเราไปเที่ยวชมหินสามเกลอ หรือกุ้ยหลินเมืองไทย ภูเขาหินปูนที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบ และยังเป็นไฮไลท์ที่ห้ามพลาด!! เมื่อมาเยือนเขื่อนเชี่ยวหลานอีกด้วยนะ ว่าแล้วก็ขอถ่ายรูปเก็บความทรงจำดีๆ กันสักหน่อย
หลังจากถ่ายรูปกันจนหนำใจ เราก็ออกเดินทางกันต่อไปยังที่พักของเราคืนนี้ที่ แพภูผาวารี ที่พักสไตล์โมเดิร์นสุดเก๋ ที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติของภูเขาหินปูน เมื่อเรือจอดเทียบท่าจะมีเจ้าหน้าที่มารอต้อนรับ และอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ และก่อนที่จะเช็คอินเข้าห้องพักทางแพยังมีอาหารกลางวันสำหรับลูกค้า ที่เดินทางมากันเหนื่อยๆ ได้รับประทานของอร่อยๆ กันก่อน (อ่านรีวิวแพภูผาวารีที่นี่)
โดยเมนูอาหารที่เสิร์ฟจะเป็นอาหารสไตล์บ้านๆ ที่มีเอกลักษณ์ของภาคใต้ และที่สำคัญยังขอเติม ขอเพิ่มกับข้าวได้เรื่อยๆ อีกด้วยนะ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็เช็คอินเข้าห้องพัก เก็บสัมภาระ และเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้าขอลงเล่นน้ำกันสักหน่อย ซึ่งที่แพภูผาวารี จะมีเรือคายัค เรือถีบให้คุณได้พายเรือเล่นกันแบบเพลินๆ
หากเล่นน้ำจนเหนื่อย อยากนั่งชิลล์ๆ ชมวิวเพลินๆ ที่นี่ก็มีระเบียงหน้าห้องให้คุณได้ทอดสายตาไปไกลๆ
และในช่วงเย็นก็พลาดไม่ได้ที่จะออกมานั่งเรือชมวิวพระอาทิตย์ตกกลางทะเลสาบ ท่ามกลางบรรยากาศที่ดีต่อใจ
หลังจากชมพระอาทิตย์ตกกันจนฟินสุดๆ เราก็เดินทางกลับมายังที่พัก เพื่อรับประทานอาหารเย็น และนั่งชมวิวแสงดาวกันเพลินๆ ก่อนที่จะขอตัวไปพักผ่อนกันก่อน
วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อนั่งเรือออกไปชมหมอกเหนือน้ำและจิบกาแฟกันชิลล์ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่แสนบริสุทธิ์ ก่อนจะเดินทางกลับมายังที่พักเพื่อเตรียมรับประทานอาหารเช้า
ก่อนที่จะเช็คเอ้าท์เลยขอโดดน้ำเล่นกันอีกสักรอบ ซึ่งกฏของที่นี่ทุกคนที่ลงน้ำต้องสวมเสื้อชูชีพทุกครั้ง ประมาณ 9.00 น. เราเตรียมเช็คเอ้าท์จะเก็บสัมภาระเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปของทริปนี้ที่ ถ้ำปะการัง จากที่พักเราใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ
และจากบริเวณจุดลงเรือจะต้องเดินเท้าต่อเข้าไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร และก่อนที่จะเข้าชมพื้นที่อุทยานฯ จะต้องเสียค่าเข้า ราคาอยู่ที่คนละ 20 บาท
ประมาณ 40 นาทีเราก็มาถึงยังท่าเรืออุทยานฯ เพื่อเตรียมนั่งแพไม้ไผ่ล่องเข้าไปยังทางเข้าถ้ำปะการัง
ถ้ำปะการัง เป็นถ้ำหินปูนที่มีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี ภายในถ้ำมืดสนิท มีหินงอก หินย้อย และสาเหตุที่เรียกว่าถ้ำปะการัง ก็เพราะว่าภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อยแตกหน่อเล็กๆ คล้ายกับปะการังในทะเล ที่ดูงดงามแปลกตาราวกับอยู่ในท้องทะเลยังไงยังงั้น ไฮไลท์ภายในถ้ำปะการังจะมีแสงระยิบระยับของหินงอกหินย้อยมากมาย และเมื่อเข้ามาภายในถ้ำจะมีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ คอยบรรยากาศแต่ละจุดให้เราฟัง และข้อห้ามของที่นี่คือห้ามเอามือสัมผัสหินภายในถ้ำเด็ดขาด เพราะจะทำให้ หินงอก หินย้อย หยุดการเติบโต ซึ่งใน 1 ปีจะยาวออกมาเพียง 3 มิลลิเมตรเท่านั้น
ชื่นชมความสวยงามของถ้ำปะการังกันเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมนั่งแพไม้ไผ่ และเดินป่ากลับไปยังเส้นทางเดิมกันต่อ ซึ่งขากลับเราใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 30 นาที
เราใช้เวลาอยู่ที่ถ้ำปะการังกันเกือบ 3 ชั่วโมงก็เวลาเที่ยงพอดี เลยเตรียมตัวเดินทางไปยังที่พักของเราในคืนนี้ เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน และเช็คอินเข้าที่พักกันที่ แพ 500 ไร่ ซึ่งเป็นที่พักสไตล์ Eco Luxury Experience โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติป่าฝนเขตร้อนที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นหนึ่งในที่พักที่การันตีถึงการบริการที่ดีเยี่ยม เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันทีเดียว
สำหรับมื้อกลางวันจะเสิร์ฟเป็นเซ็ตเมนูอาหาร มีกับข้าว 5-6 อย่างและสามารถเติมได้ตลอด
หลังจากรับประทานกันเรียบร้อยก็ถึงเมนูเช็คอินพอดี เลยขอเก็บสัมภาระแล้วนอนพักเอาแรงกันสักหน่อย หลังจากเดินป่ามาช่วงเช้า ทำเอาหมดแรงได้เหมือนกัน
ชาร์ตพลังกันจนเต็มที ตื่นมาเลยขอทำกิจกรรมกันต่อ พายเรือคายัค
และในช่วงเย็นทางที่พักยังมีกิจกรรมส่องสัตว์
และกลับมารับประทานอาหารเย็นในที่พัก ก่อนจะเข้าห้องไปพักผ่อน นอนกลิ้งมองวิวสวยๆ กันสักหน่อย
เช้านี้เราลุกมานั่งจิบกาแฟชิลล์ๆ กันที่ริมสระว่ายน้ำ และรับประทานอาหารเช้า ก่อนที่จะเตรียมเช็คเอ้าท์และเดินทางกลับขึ้นฝั่งในช่วง 9.00 น. ซึ่งจากแพ 500 ไร่จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
อาหารเช้าที่แพ 500 ไร่จะเป็นไลน์บุฟเฟ่ต์
วันนี้เรามีแพลนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในช่วงเย็น แต่ก็ยังพอมีเวลาให้เที่ยวกันสักสองสามที่ก่อนที่จะนำรถของ Avis ไปคืน เลยวางปักหมุดไปเที่ยวชมความอัศจรรย์ของธรรมชาติกันที่ สะพานแขวนเขาพัง ภูเขารูปหัวใจ เพราะด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเขื่อนเชี่ยวหลานใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาทีเท่านั้นก็ถึงแล้ว
สะพานแขวนเขาพัง ภูเขารูปหัวใจ หรือสะพานแขวนเทพพิทักษ์ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีนที่ธรรมชาติสร้างขึ้น บวกกับการก่อสร้างสะพานแขวนที่เป็นเส้นทางสัญจรของชาวบ้านในย่านนี้ จึงทำให้สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้กลายเป็นแลนด์มาร์คที่ห้ามพลาด เพราะนอกจากจะได้ชมภูเขารูปหัวใจแล้ว ยังมีสะพานแขวนให้หามุมถ่ายรูปกันแบบเก๋ๆ อีกด้วย ที่นี่สามารถมาเที่ยวชมได้ตลอดทั้งวัน ไม่มีค่าเข้า แต่จะเสียค่าที่จอดรถคันละ 20 บาท
มาตามหาหัวใจกันไปเรียบร้อยแล้ว ก็ขอออกเดินทางไปตามหาน้ำใสกิ๊งกันต่อที่ ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด สถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีนของสุราษฎร์ธานี ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ อยู่ภายใต้การดูแลของชุมชน ที่ช่วยกันอนุรักษ์ ดูแลความสวยงามให้นักท่องเที่ยวได้มาชม โดยจะเสียค่าเข้าคนละ 10 บาท ค่าที่จอดรถคันละ 10 บาท
ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด เป็นลำธารขนาดเล็ก นักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นน้ำได้ เปิดตั้งแต่ 9.00 – 17.00 น.
มานอนแช่น้ำให้ธรรมชาติบำบัดกันสักหน่อย
เล่นน้ำกันจนชื่นใจ แถมเริ่มรู้สึกหิวกันแล้ว เลยแวะไปรับประทานอาหารกันที่ นาบัวคาเฟ่ คาเฟ่น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดได้เพียง 2 เดือน แถมยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินทำให้เดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น ร้านนี้ตกแต่งในสไตล์บ้านๆ เป็นบ้านไม้ตั้งอยู่กลางบึงบัว ตกแต่งร้านด้วยผ้าสีขาวที่ให้ความรู้สึกละมุน และยังมีเปล่ตาข่ายให้เลือกนั่งชิลล์กันด้วยนะ
เมนูอาหารที่นี่จะเป็นสไตล์ฟิวชั่นมีเมนูแนะนำเป็น พิซซ่าหน้ารวม ไก่ทอด และเครื่องดื่มชื่นใจหลายเมนูทีเดียว
ทริปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลานหน้าฝน เป็นอีกหนึ่งรูทที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ทำให้ความคิดว่าหน้าฝนไม่น่าเที่ยวหายไปได้อย่างแปลกใจ สำหรับใครที่กำลังวางแผนอยากมาเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ก็ลองนำทริปตัวอย่างที่เราได้เดินทางในครั้งนี้ไปปรับใช้กันดู และที่สำคัญทริปเชี่ยวหลานจะสร้างความทรงจำใหม่ๆ ให้คุณได้อย่างแน่นอนกับสถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีนที่อยากให้คุณได้ลองมาสัมผัสด้วยตาตัวเองดูสักครั้งกับทริป “Raining Season | 3 วัน 2 คืน เที่ยวเชี่ยวหลานหน้าฝน บทเรียนความสุขจากธรรมชาติสุดอันซีน”
ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพ-สุราษฯ คนละประมาณ 1,980 บาท
ค่ารถเช่า Avis รุ่น Civic วันละ 1,400 บาท รวม 3 วัน 4,200 บาท (หารคนละครึ่งกับเพื่อน = 2,100 บาท)
น้ำมันคืนเต็มถัง 700 บาท (หารคนละครึ่งกับเพื่อน = 350 บาท)
ค่าเรือเขื่อนเชี่ยวหลานประมาณ 6,000 บาท (หารคนละครึ่งกับเพื่อน = 3,000 บาท)
ค่าที่พักแพภูผาวารี คนละประมาณ 2,500 บาท
ค่าที่พักแพ 500 ไร่ คนละประมาณ 3,900 บาท (ราคาโปรโมชั่น)
ค่าเข้าอุทยานฯ (เขาสก,ถ้ำปะการัง,ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด) 140 บาท (หารคนละครึ่งกับเพื่อน = 70 บาท)
ค่าอาหารนาบัวคาเฟ่ 328 บาท (หารคนละครึ่งกับเพื่อน = 164 บาท)
รวมค่าใช้จ่ายทริปนี้คนละ 14,000 (ค่ารถ ค่าเรือ ค่าที่พักหากมีจำนวนคนเยอะขึ้นราคาจะถูกลง)