One Day Trip นนทบุรี พามู เที่ยวกิน แวะจุดเช็คอินที่ห้ามพลาด
8,902 ครั้ง
8 ธ.ค. 2565
8,902 ครั้ง
8 ธ.ค. 2565
นนทบุรี จังหวัดปริมณฑลที่หลายๆ คน แทบจะแยกไม่ออกกับส่วนของกรุงเทพฯ แต่ถึงอย่างนั้นนนทบุรีก็เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวและเสน่ห์มากมาย ทั้งวัดวาอาราม สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ร้านอาหารและคาเฟ่ ที่สำคัญยังสามารถไปเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้แบบสบายๆ อีกด้วย ในวันนี้ทริปเก็ทเตอร์จะพาเพื่อนๆ ไปตะลุยเช็คอินที่เที่ยวนนทบุรีและที่กินในนทบุรีกันกับ One Day Trip นนทบุรี พามู เที่ยวกิน แวะจุดเช็คอินที่ห้ามพลาด
เราเดินทางข้ามจังหวัดมาที่นนทบุรี ซึ่งใช้เวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้น และที่เที่ยวนนทบุรีที่แรกของทริปเราในครั้งนี้ก็คือวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ หรือวัดเล่งเน่ยยี่ 2 ที่เป็นวัดสาขาของวัดมังกรกมลาวาส หรือเล่งเน่ยยี่ ที่ตั้งอยู่ย่านเยาวราช โดยวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ เป็นวัดชื่อดังของนนทบุรี และเป็นสถานที่ที่จะมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาไหว้พระ เสริมดวงชะตา และทำพิธีแก้ปีชงอย่างคับคั่ง
ความสวยงามของที่เที่ยวนนทบุรีแห่งนี้คือความยิ่งใหญ่สวยงามของหมู่วิหารและอาคารที่วางผังและรูปแบบศิลปะสถาปัตยกรรมแบบจีนที่ได้จำลองมาจากพระราชวังต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นหินแกะสลักรูปสัตว์มงคล บานหน้าต่าง ลวดลายที่เป็นงานพุทธศิลป์ของจีน เรียกได้ว่าสามารถสัมผัสได้ถึงความงดงามตระการตาตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่พื้นที่ของวัดกันเลยทีเดียว และวิหารแรกที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดจะเป็นที่ประดิษฐานของพระสังกัจจายและเทพองค์ต่างๆ ตามความเชื่อของจีน
ถัดจากวิหารแรกเข้ามาเราก็จะพบกับวิหารโถงหลังใหญ่ด้านใน ที่มีความสวยงามมากขึ้นไปอีก ซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปประธาน 3 องค์ ได้แก่พระอมิตาภพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า และพระไภษัชยคุรุไวฑูรย์พุทธเจ้า ให้ได้กราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล ได้ชมความสวยงามกันอีกด้วย
กราบสักการะพระประธานเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินอ้อมวิหารหลวงมายังด้านหลังซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารขนาดใหญ่สองชั้น บอกเลยว่าทั้งบรรยากาศและความสวยงาม เหมือนกับว่าเราอยู่ในพระราชวังที่จีนเป็นอย่างมาก
ชั้นแรกของวิหารหลังในสุดจะเป็นวิหารอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ที่ประดิษฐานขององค์พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมพันมือที่เป็นงานแกะสลักจากไม้เนื้อหอมเพียงต้นเดียว ทั้งสวยงามและทรงคุณค่า นอกจากนี้บนเพดานยังเป็นงานแกะสลักไม้ที่เป็นรูปมังกรที่กำลังเล่นสายลม พริ้วไหวอีกด้วย
เดินขึ้นมายังชั้นสองเป็นที่ตั้งของวิหารหมื่นพุทธสุขาวดีพุทธเกษตร เมื่อเข้าสู่ภายในวิหารเราก็จะพบกับพระพุทธรูปพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และพระอรหันต์ เป็นประธาน ห้อมล้อมไปด้วยพระพุทธรูปองค์สีทองขนาดเล็กมากมายประดิษฐานอยู่ทั่วทั้งผนังภายในวิหารนับหมื่นๆ องค์ สมชื่อกับวิหารหมื่นพุทธนั่นเอง นอกจากนี้เมื่อมองย้อนออกไปภายนอกวิหาร ก็จะพบกับความสวยงามของภาพวิหารด้านหน้ารวมทั้งคานประตูที่มีศิลปะงานเขียนสีแบบจีนสวยงามจนอดเก็บภาพไว้ไม่ได้กันเลย
ระหว่างเดินกลับมายังด้านหน้าของวัด เราก็แวะตีระฆังใบใหญ่กันสักหน่อย ซึ่งเสียงของระฆังก็จะมีความกังวาลและไพเราะแตกต่างจากเสียงของระฆังในวัดไทย และยังมีริบบิ้นสีแดงให้ผูกเพื่อเสริมดวงและเสริมสิริมงคลกันอีกด้วย
เราเดินทางมากันต่อที่เที่ยวต้องห้ามพลาดอีกแห่งหนึ่งของนนทบุรี นั่นก็คือวัดแดงธรรมชาติ วัดเก่าแก่ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางนาคปรกที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนนทบุรีที่หันพระพักตร์ออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา โดยสามารถออกมาชมความงามของพระพุทธรูปได้อย่างชัดเจนได้ที่ท่าน้ำของวัด
นอกจากพระพุทธรูปปางนาคปรกแล้ว ภายในวัดแดงธรรมชาติยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจุดไหว้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปประธานของวัดที่ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถ อย่างหลวงพ่อโต พระพุทธรูปสีทองอร่ามองค์ใหญ่ที่มีอายุหลายร้อยปีและขึ้นชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์และการขอโชคลาภ
ด้านข้างของอุโบสถยังเป็นศาลาขนาดเล็กที่ประดิษฐานของหลวงพ่อเสือ ที่ชาวบ้านต่างให้ความศรัทธาเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยพระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะพระพักตร์ที่เคร่งขรึมจึงทำให้ชาวบ้านต่างเรียกว่าหลวงพ่อเสือ อีกทั้งยังเชื่อกันว่าหากผู้เกิดปีขาลและผู้เกิดวันสาร์มากราบขอพรกันแล้ว จะได้สมหวังกันอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีศาลเจ้าแม่ตะเคียน พระสังกัจจาย และหลวงพ่อทันใจให้ได้กราบสักการะกันอีกด้วย
นอกจากบริเวณอุโบสถแล้ว ภายในวัดยังมีจุดทำบุญที่อยู่ด้านล่างของฐานพระพุทธรูปปางนาคปรก ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปปางนาคปรกองค์เล็ก ท้าวเวสสุวรรณ และพระพุทธรูปปางต่างๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าทำบุญกันรัวๆ ไปเลย
ต้องบอกว่าวันนี้เราโชคดีมากๆ เพราะทางวัดได้เชิญอาจารย์โอม มนต์ขลัง มาทำพิธีเสริมดวงชะตาให้กับผู้ที่มาวัดแดงธรรมชาติ โดยพิธีที่อาจารย์ทำให้เป็นการลงนะหน้านารายณ์และเขียนลายมือ หากเราอยากเน้นเสริมดวงชะตาด้านไหนก็สามารถแจ้งอาจารย์ได้เลย ในเรื่องของค่าครูตามแต่กำลังศรัทธาของแต่ละคน และเมื่อเสร็จพิธีอาจารย์ท่านก็จะมอบเหรียญและรูปของหลวงพ่อกวย พระเกจิอาจารย์ชื่อดังให้เป็นที่ระลึกอีกด้วย
เติมแต้มบุญช่วงเช้ากันไปแล้ว เราก็มาเติมความอร่อยกันต่อที่ DULCE CASA DE PAN คาเฟ่ราชพฤกษ์ที่มาพร้อมกับความพรีเมียมเป็นที่สุด จนเรียกได้ว่าเหมือนกับยกเอาความเป็นฝรั่งเศสและสเปนมาไว้ที่นนทบุรีกันเลยทีเดียว ด้านนอกของตัวร้านเน้นความหรูหราด้วยโทนสีดำและสีทอง ตกแต่งด้วยกระจกใสที่สามารถมองเห็นโทนสีอบอุ่นภายในร้านได้อย่างชัดเจน
ความโดดเด่นของ DULCE CASA DE PAN คือเมนูอาหาร ขนม และเครื่องดื่มของทางร้านจะเป็นเมนูโฮมเมด ที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติไร้การเติมแต่งที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพจากสเปน โดยแต่ละเมนูเต็มไปด้วยความพิถีพิถันและดูแลคุณภาพของสูตรโดยเชฟมากประสบการณ์ที่การันตีฝีมือจากสถาบันสอนประกอบอาหารชั้นนำระดับโลกอย่าง Le Cordon Blue อีกทั้งยังมากประสบการณ์ด้านการทำอาหารสไตล์ฝรั่งเศสและสเปน จากการที่ได้เดินทางไปทำงานต่างประเทศอีกด้วย
โซนที่นั่งของร้านส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ชั้น 2 มาพร้อมกับการตกแต่งแบบเรียบหรู เน้นใช้โทนสีขาวและชมพูที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น น่ารัก และผ่อนคลายสบายตา โต๊ะที่นั่งมีทั้งโซฟานุ่มๆ พร้อมด้วยมุมฉากหลังสีชมพูสุดน่ารัก โต๊ะไม้ยาวสไตล์มินิมอล ซึ่งรองรับได้ทั้งแบบมาคนเดียว มาเป็นคู่ หรือจะมาเป็นกลุ่ม ทางร้านก็มีโซนที่เป็นมุมส่วนตัว สำหรับนั่งประชุมกันอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีโซนที่นั่งชั้นหนึ่งของร้านที่เป็นโต๊ะยาวนั่งได้หลายคน และโซนเอาท์ดอร์ด้านนอกที่ให้ฟีลแบบสวนอังกฤษ มีต้นมะกอกพร้อมด้วยซุ้มอิฐสุดคลาสสิกให้ได้ถ่ายรูปเก๋ๆ อีกด้วย
ด้วยความที่เรามาถึงร้านในช่วงกลางวัน บวกกับเมื่อเช้าไม่ได้กินข้าว เราเลยเลือกสั่งเป็นเมนู Brunch ที่เน้นเป็นอาหารสไตล์ฝรั่งเศสและสเปน บอกเลยว่าแต่ละเมนูทั้งพรีเมียมและมีเรื่องราวของรสชาติที่แตกต่างกันออกไป อย่างเมนูแรกคือ Chicken Vol Au Vent เมนูอาหารต้นตำรับจากฝรั่งเศส เสิร์ฟมาด้วยแป้งพัฟที่ผ่านเทคนิค invert puff pastry จึงทำให้ตัวแป้งทั้งกรอบและเบา มีความหอมเฉพาะตัว และซอสที่มีทั้งอกไก่ซูวี (sous vide) สุดนุ่มละมุน อีกทั้งตัวซอสยังมีส่วนผสมของเห็ดที่มีรสชาติและรสสัมผัสเฉพาะตัวถึง 3 ชนิด ได้แก่เห็ดหอม เห็ดออริลจิ และเห็ดโมรอล และราดด้วยน้ำมันมะกอก Extra Virgin Olive Oil ซึ่งวิธีเสิร์ฟเชฟก็จะนำพัฟกับซอสแยกส่วนกันมา จากนั้นเชฟก็จะนำซอสค่อยๆ ราดไว้ภายในพัฟและรอบๆ ตามด้วยน้ำมันมะกอก ราคาเมนูนี้อยู่ที่ 450 บาท
เมนูที่สองคือ เมนูซุปถั่วสไตล์สเปนอย่าง Sopa de Garbanzos ที่จะใช้ถั่วลูกไก่ (Chickpeas) เป็นวัตถุดิบหลัก และเราก็ได้เพิ่มไข่ดาวน้ำ (Poach eggs) ด้านบนของซุปมาด้วย เมนูจะเสิร์ฟคู่กับขนมปังโฮลวีทซาวโดวจ์ที่ทางร้านใช้ยีสต์ที่หมักเอง วิธีกินก็แสนง่ายเพียงฉีกขนมปังที่เหนียวนุ่มให้พอดีคำ แล้วจิ้มลงไปกับซุป บอกเลยว่าอร่อยอยู่ท้องมากๆ ราคาเพียง 190 บาท (เพิ่ม poach eggs 50 บาท)
เมนูที่ต้องห้ามพลาดอีกเมนูหนึ่งก็คือ Tortilla de Patatas y Chorizo หรือเรียกง่ายๆ ว่าไข่เจียวสเปน แอบกระซิบเลยว่าเมนูนี้เป็นเมนูชื่อดังเลย ความพิเศษของเมนูนี้คือเนื้อไข่ที่นุ่ม ยัดไส้ด้วยมันฝรั่งเนื้อเนียน และหัวหอมคาราเมลไลซ์ (Caramelized) ที่หวานกำลังดี ตัดรสชาติด้วยความเค็มที่มีเอกลักษณ์ของไส้กรอก Chorizo ท็อปด้วยความเข้มข้นของ cream fresh ราคาเพียง 250 บาท
จัดเต็มเมนูอาหารจานหลักกันไปแล้ว มาต่อกันด้วยเมนูเบเกอรี่และเครื่องดื่มสุดคลาสสิกกันเลย
เริ่มกันด้วยเมนูเค้กสุดพิถีพิถันอย่าง Opera Firenze ที่มีเนื้อเค้กถึง 6 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นก็จะมีความพิเศษ รสสัมผัส กลิ่น ที่แตกต่างกันออกไป ไฮไลท์คือชั้นที่เป็นฐานจะเป็นครันชี่ ครัมเบิล ที่นำเมล็ดกาแฟ Baque Firenze ที่นำเข้าจากสเปนมาบดผสม ทำให้มีความกรุบกรอบ หอมกลิ่นกาแฟ อีกทั้งเนื้อเค้กในหลายๆ ชั้นยังมีส่วนผสมของช็อกโกแลตคุณภาพอีกด้วย ราคาเพียง 250 บาท
Chocolate Truffle Cake Traveling cake เมนูพรีเมียมที่ใช้ช็อกโกแลตเข้มข้นอย่าง Chocolate single original ผสมด้วย Truffle Oil อีกทั้งยังเพิ่มความเข้มข้นด้วย Truffle Paste (ทรัฟเฟิลเนื้อละเอียด) รวมไปในเนื้อเค้ก เท่านั้นยังไม่พอเพราะชิ้นเค้กเคลือบด้วยช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของ Truffle Oil และ Truffle Paste อีกทั้งยังมีส่วนผสมของรัม ท็อปด้านบนด้วยนามะช็อคโกแลต ราคาอยู่ที่ 170 บาท แนะนำเลยว่าเมนูนี้เหมาะกับการซื้อเป็นของฝากและของรองท้องติดตู้เย็นได้อีกด้วย เพราะสามารถเก็บได้ยาวๆ ถึง 2 อาทิตย์เลยทีเดียว
อีกหนึ่งเมนูเบเกอรี่ที่แนะนำเลยก็คือ Croissant ซึ่งทางร้านจะใช้เนยเกรด AOP ที่ได้รับการการันตีคุณภาพจากฝรั่งเศส ทำให้เนื้อแป้งครัสซองต์กรอบนอก แต่ข้างในหนึบนุ่ม รวมทั้งมีกลิ่นหอมอย่างเป็นธรรมชาติ หากได้กินเข้าไปแล้วก็จะสัมผัสได้ถึง After taste ที่หอมกรุ่นอยู่ในปาก ราคาอยู่ที่ 100 บาท
มาต่อกันด้วยเครื่องดื่ม ที่บอกเลยว่าอร่อยและมีคุณภาพไม่แพ้อาหารและเบเกอรี่เลย อย่าง Chocolate Signature เมนูช็อคโกแลตร้อนที่มี chocolate bomb ที่มีมาร์ชเมลโล 2 ชนิดที่มีสัมผัสแตกต่างกันอยู่ภายใน คือมาร์ชเมลโลที่นุ่ม หวานละมุน และมาร์ชเมลโลที่มีความหนึบ เสิร์ฟมาพร้อมกับช็อกโกแลตร้อนที่สามารถราดลงบน chocolate bomb ได้ ราคาอยู่ที่ 260 บาท
Dulce Dirty เมนูคลาสสิกสูตรเฉพาะของทางร้านที่ผสมผสานระหว่างหัวกะทิชั้นดีคั้นสดๆ วันต่อวัน เพิ่มความนุ่มละมุนด้วยนม ราดด้วยช็อตกาแฟคุณภาพเมล็ดนำเข้าจากสเปน เท่านั้นยังไม่พอไฮไลท์ก็คือในการดื่มแต่ละครั้ง ก็จะให้รสชาติและสัมผัสที่แตกต่างกันออกไป ราคา 150 บาท
ปิดท้ายด้วยเมนูเอาใจสายกาแฟอย่าง Specialty Coffee โดยเราสามารถเลือกเมล็ดกาแฟเองได้ ซึ่งเมล็ดกาแฟของทางร้านเป็นเมล็ดจากแหล่งปลูกคุณภาพ 4 แหล่งปลูกที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นแตกต่างกัน ได้แก่ เมล็ด Ethiopia หอมกรุ่นคล้ายดอกไม้ เปรี้ยวนำ ตามด้วยความหวานอ่อนๆ คล้ายผลไม้สุก เมล็ด Honduras ให้สัมผัสช็อกโกแลตที่ผสานกับวิสกี้ ตัดด้วยรสเปรี้ยวคล้ายผลไม้สุก เมล็ด Brasil ที่หอมและมีรสชาติแบบช็อกโกแลตที่มีกลิ่นถั่วผสมอยู่ และเมล็ด Burundi จะให้รสสัมผัสกลมกล่อมละมุนเหมือนกับเมล็ด Honduras ผสมกับ Brasil โดยเมนูนี้จะเสิร์ฟมาในแก้วไวน์ เพื่อให้ผู้ดื่มสัมผัสได้ถึงความหอมของอโรม่ากาแฟ รวมทั้งดื่มด่ำรสชาติได้แบบเต็มๆ
หากใครสนใจเมนูเบเกอรี่ ทางร้านก็มีบริการห่อกลับให้ด้วยนะ บอกเลยว่าอร่อยมากจนต้องซื้อกลับไปฝากเพื่อนๆ เลย
เรามาเดินเล่นกันต่อที่บริเวณท่าน้ำนนท์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลากลางนนทบุรีหลังเก่า แลนด์มาร์กอีกแห่งหนึ่งของเมืองนนทบุรีที่มีความสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลอายุนับร้อยปี ความงามของอาคารเก่าแก่หลังนี้เป็นความภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งของชาวนนทบุรี ถึงกับมีการกล่าวถึงในคำขวัญจังหวัดอีกด้วย
นอกจากศาลากลางหลังเก่าแล้ว ยังมีอาคารส่วนของวิทยาลัยมหาดไทย ซึ่งปัจจุบันได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรีให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย นักท่องเที่ยวสามารถเดินเยี่ยมชมความสวยงามของหมู่อาคาร รูปแบบสถาปัตยกรรม รวมทั้งเรื่องราวประวัติศาสตร์ของนนทบุรีได้ และในช่วงเย็นของทุกวันบริเวณด้านหน้าของศาลากลางหลังเก่าจะเป็นตลาดโต้รุ่งที่มีร้านอาหารมากมายให้ได้นั่งกินชิลล์ๆ ริมท่าน้ำกันอีกด้วย
มาถึงท่าน้ำนนท์ทั้งที ก็ต้องถ่ายรูปคู่กับศาลากลางสักหน่อย
ในบริเวณรอบๆ ท่าน้ำนนท์ นอกจากจะมีที่เที่ยวนนทบุรีอย่างศาลากลางหลังเก่าแล้ว ยังมีหอนาฬิกา อีกหนึ่งจุดเด่นของท่าน้ำนนท์ ซึ่งเป็นหลักของจุดนัดพบ หอกระจายข่าว รวมทั้งการค้าขายของนนทบุรีในอดีต และถัดจากหอนาฬิกาไปที่บริเวณริมท่าน้ำเราก็จะพบกับเสาไฟสุดโดดเด่นที่ประดับด้วยของดีเมืองนนทบุรีอย่างทุเรียนและหอนาฬิกาจำลอง บอกเลยว่าประติมากรรมทุเรียนเหมือนจริงมากๆ
ก่อนกลับเราแวะมาเช็คอินที่บ้านท่าน้ำนนท์ ร้านอาหารนนทบุรีสุดชิลล์ที่มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาใช้เวลาพักผ่อน กินของอร่อยๆ กันในวันสบายๆ บ้านท่าน้ำนนท์เป็นร้านอาหารและร้านหมูกระทะที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายของความเก่าแก่ ตัวร้านเป็นบ้านไม้ดั้งเดิมสองชั้นที่มีอายุกว่า 100 ปีตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใต้ถุนมีด้านที่เป็นโถงโล่ง มีเครื่องประดับและเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่มากมายตามแบบสไตล์วินเทจ ให้ความรู้สึกเหมือนได้มาเที่ยวบ้านญาติผู้ใหญ่ที่แสนอบอุ่น
โซนที่นั่งของทางร้านมีให้เลือกทั้งด้านในโถงชั้นล่างของบ้าน ด้านบนชั้นสองที่เป็นชานบ้านเอาท์ดอร์และด้านในตัวบ้านที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน รวมทั้งโซนไฮไลท์อย่างที่นั่งริมน้ำที่ชมวิวแสงเย็นได้แบบ HD
ในทริปนี้มาทั้งที เราก็เลือกนั่งโซนไฮไลท์ของร้านไปเลยชิลล์ๆ แนะนำว่าหากใครเลือกโซนริมน้ำ อาจจะต้องเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าแตะและกางเกงขาสั้นกันหน่อย เพราะเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของที่นั่งโซนนี้ก็คือเมื่อมีเรือสัญจรผ่านไปมาบริเวณท่าหน้าบ้าน จะทำให้มีคลื่นน้ำเล็กๆ ซัดเข้ามา เหมือนกับว่าเราได้นั่งเอาเท้าแช่น้ำฟินๆ กินหมูกระทะยังไงอย่างงั้นเลย
ชุดบุฟเฟต์ที่เราเลือกคือชุด “อิ่มค่ำ” โดยบุฟเฟต์ชุดนี้จะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 16.00 – 21.00 น. กันเลย ซึ่งภายในชุดบุฟเฟต์เรียกได้ว่าหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะบ้านท่าน้ำนนท์จัดเต็มเมนูสุดคลาสสิกที่เต็มไปด้วยความกลมกล่อมของรสชาติอาหารไทย มีทั้งขนมจีนแกงไก่ที่หอมละมุน เมนูกินเล่นของชาวมอญอย่างม้าฮ่อตำรับชาววัง รวมทั้งสาคูและข้าวเกรียบปากหม้อ เมี่ยงคำรสมือคุณย่า ข้าวเหนียวมะม่วง ชุดขนมไทย 9 ชนิด และเครื่องดื่มสมุนไพรสุดชื่นใจ ที่ไม่ว่าจะเป็นน้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ และน้ำดื่มผสมอุทัยทิพย์ นอกจากนี้ยังมีขนมอื่นๆ อย่างกลีบลำดวน ข้าวแต๋น และขนมไข่ ให้ได้ชิมอีกด้วย
นอกจากออเดิร์ฟแล้ว ยังจัดเต็มหมูกระทะอีกด้วย เติมได้ไม่อั้น นั่งกินกันไปยาวๆ เลย มีทั้งหมูสามชั้น หมูหมัก กุ้งตัวใหญ่ที่มีมันกุ้งเยิ้มๆ หมึก รวมทั้งผักสดหลากหลายชนิด กินคู่กับน้ำจิ้มหมูกระทะรสเด็ดและน้ำจิ้มซีฟู้ดสุดจัดจ้าน บอกเลยว่าทั้งหมดนี้ราคาเพียงแค่ 650+ บาท/คน เท่านั้น ได้ทั้งความอร่อย ได้ทั้งบรรยากาศดีๆ คุ้มค่ากว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ถือเป็นสถานที่ปิดทริปของเราที่เต็มไปด้วยความสุขจริงๆ ควรค่าแก่การมาเช็คอินเป็นที่สุด
ทั้งหมดนี้ก็คือ One Day Trip นนทบุรี พามู เที่ยวกิน แวะจุดเช็คอินที่ห้ามพลาด ทั้งเต็มอิ่มการเที่ยว เต็มอิ่มความอร่อย และเต็มอิ่มการพักผ่อนสบายๆ แบบไม่ต้องเดินทางไกลหรือขับรถไปให้นานๆ เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีวันว่างๆ หรือวันหยุดสักวัน ก็ลองไปเที่ยวนนทบุรีกันดูนะ รับรองว่าเมืองปริมณฑลแห่งนี้มีเสน่ห์และความประทับใจรอเราอยู่เพียบ!
รวมค่าใช้จ่ายตลอดทริป One Day Trip นนทบุรี พามู เที่ยวกิน แวะจุดเช็คอินที่ห้ามพลาด
-ค่าอาหารและเครื่องดื่มร้าน DULCE CASA DE PAN รวม 1,980 บาท
-ค่าอาหารบ้านท่าน้ำนนท์ รวม 1,300 บาท (ยังไม่รวมค่าบริการและภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)
ค่าใช้จ่ายตลอดทริปรวม 3,280 บาท
(ค่าใช้จ่ายตลอดทริป หาร 2 คนละ 1,640 บาท)
**ราคายังไม่รวมค่าน้ำมันและของฝาก**
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ One Day Trip นนทบุรี พามู เที่ยวกิน แวะจุดเช็คอินที่ห้ามพลาด ใครที่กำลังมองหาทริปเที่ยวสบายๆ ไม่ต้องเดินทางไกล ประหยัดเวลา แต่เต็มอิ่ม เก็บครบที่เที่ยวนนทบุรีแบบหนักๆ กินแบบจัดเต็ม เตรียมไปตามกันได้เลย ส่วนใครที่อยากไปเที่ยวที่อื่นๆ ต่อ เราก็มี ทริปเที่ยวนครนายก 2 วัน 1 คืน ยกแก๊งค์นอนพูลวิลล่าเหมาหลังริมน้ำ เช็คอินจุดอันซีนใกล้กรุง และ One Day Trip เที่ยวนครปฐม นั่งรถไฟฟีดเดอร์ไหว้องค์พระฯ งบคนละไม่ถึง 500