One Day Trip | เที่ยวชิลล์ๆ เดินทางง่าย ตามรถไฟฟ้าสายสีแดง
23,031 ครั้ง
1 ก.พ. 2565
23,031 ครั้ง
1 ก.พ. 2565
เพื่อนๆ คงจะรู้กันแล้วว่าตอนนี้กรุงเทพมหานครของเราได้เปิดเส้นทางการเดินรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกสาย นั่นก็คือรถไฟฟ้าสายสีแดงนั่นเอง โดยรถไฟฟ้าสายสีแดงนั้นจะวิ่งตั้งแต่ในเมืองจนถึงชานเมือง และมีตารางเวลาการเดินรถที่แน่นอน ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น โดยศูนย์กลางรถไฟฟ้าสายสีแดงจะอยู่ที่บางซื่อ วันนี้ทริปเก็ทเตอร์ก็จะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวแบบชิลล์ๆ แพลนไม่แน่นมาก แต่ครบทุกรสชาติ ตามรถไฟฟ้าสายสีแดงกัน จะชิลล์ขนาดไหน ก็ตามไปดูกันเลยกับ One Day Trip | เที่ยวชิลล์ๆ เดินทางง่าย ตามรถไฟฟ้าสายสีแดง
วันนี้ทริปของเราเริ่มต้นที่สถานีกลางบางซื่อ ซึ่งกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟ เป็นสถานีที่มีขนาดใหญ่ กว้างขวาง สามารถรองรับผู้คนได้จำนวนมาก โดยสถานีกลางบางซื่อจะเป็นจุดเชื่อมระหว่าง รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ตลิ่งชัน – บางซื่อ รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม บางซื่อ – รังสิต และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ซึ่งแพลนของเราวันนี้จะเป็นรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม บางซื่อ – รังสิต นั่นเอง ว่าแล้วก็อย่ารอช้า มุ่งหน้าไปขึ้นรถไฟฟ้าสายสีแดงกันเลย~
เดินทางแค่ไม่กี่นาที ก็มาถึงสถานีวัดเสมียนนารี จุดเช็คอินแรกของเราในวันนี้ บอกแล้วว่าเดินทางง่ายจริงๆ ไม่เชื่อต้องมาลองแล้วแหละ
วันนี้เริ่มทริปแบบสบายๆ กับร้านอาหารเช้าลับๆ ซ่อนตัวอยู่ในอาคาร CEC ไม่ไกลจากสถานี มุ่งหน้าไปทางออก 1 กันได้เลย ร้านมีชื่อว่า จิบไถ่ คาเฟ่ เป็นร้านที่เน้นขายเมนูอาหารเช้าและเครื่องดื่มหลากหลาย เมนูที่เราเลือกสั่งในวันนี้เป็นเมนู Must Try ของร้าน นั่นก็คือ จิบไถ่ ไข่กระทะ และ วาฟเฟิล คลับแซนด์วิช
สำหรับเมนูจิบไถ่ ไข่กระทะ จะมีแซนวิชทาเนยและน้ำส้มเสิร์ฟมาเป็นเซ็ตพร้อมกับไข่กระทะ บอกเลยว่ารสชาติอร่อยลงตัวสุดๆ ไข่ขาวเนื้อนุ่ม ไข่แดงเยิ้มๆ กินพร้อมกับไส้กรอกและหมูแฮมที่คลุกด้วยซอสปรุงรสมาอย่างดี ส่วนขนมปังทาเนยก็รสชาติหวานมันและกรอบพอดี เมนูนี้ราคา 95 บาท
ส่วนเมนูวาฟเฟิล คลับแซนด์วิช เป็นวาฟเฟิลกลิ่นหอมกรุ่น สดใหม่จากเตา เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ตรงกลางมีแฮม ชีส ไข่ดาว และผักสดแทรกอยู่ กินพร้อมกันอร่อยมากๆ รสหวานจากวาฟเฟิลตัดกับรสชาติของชีสได้เป็นอย่างดี และสำหรับเซ็ตนี้ก็เสิร์ฟพร้อมน้ำส้มเช่นเดียวกัน เมนูนี้ราคา 115 บาท
เนื่องจากช่วงนี้ภายในตัวร้านยังคงปิดไม่ให้เข้า แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเราสามารถนั่งกินได้ที่โต๊ะภายนอกภายในอาคารข้างๆ ร้านเลย
หลังจากเติมพลังมื้อเช้ากันจนอิ่มท้องแล้ว เราก็ไปต่อกันที่จุดเช็คอินถัดไป ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านเลย นั่นก็คือ วัดเสมียนนารี นั่นเอง มาแวะไหว้พระรับความเป็นสิริมงคลให้จิตใจผ่องใสในตอนเช้ากันเถอะ
เริ่มจากไหว้หลวงพ่อทันใจ พระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีชื่อเสียงเรื่องบันดาลพรให้กับคนที่ไปกราบไหว้ ซื้อธูป เทียน และดอกไม้ได้จากในวัดเลย
สามารถปิดทองพระพุทธรูปได้ด้วย
นอกจากหลวงพ่อทันใจแล้ว วัดเสมียนนารียังมีวิหารพระพุทธรูป 5 พี่น้อง ที่มีตำนานเล่าว่าลอยมาตามแม่น้ำทั้ง 5 สาย ประกอบไปด้วย หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อโต หลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อเขาตะเครา ซึ่งที่วัดเสมียนนารีก็ได้มีประดิษฐานพระพุทธรูปจำลองของหลวงพ่อ 5 พี่น้อง สามารถเดินทางมากราบไหว้สักการะกันได้เลย
แวะแชะรูปกันสักหน่อย
หลังจากไหว้พระกันเสร็จแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปจุดเช็คอินถัดไปกัน
แวะแชะรูปบนสถานีรถไฟฟ้ากันสักหน่อย บอกเลยว่าสถานีรถไฟฟ้าของสายสีแดงนั้นกว้างมากๆ มีมุมให้ถ่ายรูปแบบเก๋ๆ ได้เยอะเลย
ภายในรถไฟฟ้าสายสีแดงจะเป็นกระจกกว้าง มองเห็นวิวได้แบบเต็มๆ ให้ฟีลเหมือนอยู่ญี่ปุ่นเลย
นั่งชมวิวแบบเพลินๆ
ถ่ายรูปลงไอจีแบบเก๋ๆ
และแล้วก็มาถึงจุดเช็คอินที่ 2 แอบกระซิบว่าเป็นจุดที่สามารถใช้เวลาได้ทั้งวัน นั่นก็คือ MOCA Museum of Contemporary Art หรือมีชื่อไทยว่า พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย สถานที่รวบรวมและจัดแสดงงานศิลปะจากศิลปินทั่วประเทศไทย การเดินทางก็สะดวกสุดๆ นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดงมาลงสถานีบางเขน แล้วมุ่งหน้าไปที่ทางออก 2 เดินไม่นานก็ถึงแล้ว
ที่นี่มีค่าเข้าชมคนละ 250 บาท ถ้ามีบัตรนักเรียนนักศึกษา จะได้รับส่วนลดเหลือคนละ 100 บาท
พิพิธภัณฑ์จะมีด้วยกันทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นจะจัดแสดงผลงานที่แตกต่างกันออกไป โดยผู้ที่เข้าชมจะได้รับแผ่นพับแสดงแผนผังและรายละเอียดงานในแต่ละชั้นของพิพิธภัณฑ์ เรามาเริ่มกันที่ชั้น G จะเป็นนิทรรศการหมุนเวียน ซึ่งตอนที่เราไปเป็นนิทรรศการที่มีชื่อว่า “Human(e)” งานศิลปะที่ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์จากมุมมองของศิลปินทั้ง 4 คน
มาต่อกันที่ชั้น 3 กับโซนที่มีชื่อว่า สะพานข้ามจักรวาล จะเป็นอุโมงค์มืดสนิท พอเดินเข้าไปก็จะเห็นไฟดวงเล็กๆ เรียงตัวกันเป็นกาแล็คซี่ โดยตรงนี้สามารถถ่ายรูปแบบใช้แฟลชได้ โพสท่าสวยๆ รอตั้งแต่ทางเข้าได้เลย
มุมสุดฮิต อยู่ตรงทางออกสะพานข้ามจักรวาลเลย
ห้องต่อมาที่เราเอารูปมาฝากก็คือ ห้อง Richard Green ตกแต่งด้วยผนังสีเขียว เพดานเป็นกระจกโค้งรับแสงจากธรรมชาติ จำลองห้องนิทรรศการจากยุโรป ภายในจัดแสดงผลงานจากศิลปินยุโรปในยุคพระนางเจ้าวิคตอเรีย บางภาพมีอายุมากกว่า 300 ปี
สามารถใช้เวลาในห้องนี้ได้นานเลย
นอกจากนี้ยังมีผลงานศิลปะอื่นๆ ที่น่าสนใจจำนวนมาก บอกเลยว่า MOCA เป็น Public Space กลางกรุงที่สามารถมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ พร้อมกับชมงานศิลปะได้อย่างเพลิดเพลิน
ที่พิพิธภัณฑ์มีคาเฟ่ให้บริการด้วยนะ ใครเดินเล่นแล้วเหนื่อยก็มานั่งพักกินน้ำกินขนมที่ตรงนี้ก่อนได้ แต่วันนี้เราไม่ได้แวะ เพราะเรากำลังจะพาเพื่อนๆ ไปจุดเช็คอินถัดไป ที่ต้องแอบกระซิบเลยว่าเตรียมท้องว่างๆ ไปให้พร้อม
หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปกันจนหมดแรงแล้ว เราก็เดินทางไปจุดเช็คอินสุดท้ายของเราในทริปนี้กันเลย เดินทางมาลงที่สถานีหลักสี่ นั่นก็คือร้าน พธู Pa-tu Cafe & Restaurant ร้านอาหารสุดอบอุ่นที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยกำแพงเพชร 6 เดินต่อจากสถานีหลักสี่เพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น เมื่อเดินมาถึงก็จะเจอร้านสีขาวตั้งอยู่โดดเด่นในซอย ด้านหน้ามีป้ายการันตีความอร่อยจากรายการต่างๆ
ร้านมีโซนที่นั่งทั้งอินดอร์และเอาท์ดอร์ วันนี้เราเลือกนั่งกันในร้าน ภายในร้านตกแต่งด้วยสีขาวเป็นหลัก แซมด้วยสีเขียวจากต้นไม้เล็กๆ มองดูสบายตา มีหน้าต่างรอบร้าน รับแสงจากธรรมชาติ นั่งถ่ายรูปก็สวยปังสุดๆ
เมนูของร้านมีทั้งเมนูอาหารไทยและอาหารยุโรปแนวฟิวชั่น วันนี้เราสั่งกันมาทั้งหมด 3 เมนู ได้แก่ ปลากระพงทอดน้ำปลา ต้มยำกุ้ง และมันบด เรียกได้ว่ามาครบทั้งอาหารไทยและต่างประเทศเลยทีเดียว
เริ่มจาก ต้มยำกุ้ง เป็นจานแรก ราคา 269 บาท บอกเลยว่าต้มยำกุ้งของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เพราะว่าน้ำต้มยำจะเสิร์ฟมาในกาน้ำชาพร้อมกับกุ้งที่ตกแต่งอย่างสวยงามอยู่บนจาน ให้เราได้เทน้ำต้มยำลงไปเอง จังหวะที่กำลังเทน้ำต้มยำลงไปบนจานนี่สามารถถ่ายสตอรี่อวดเพื่อนได้เลย ส่วนรสชาติก็เข้มข้นกลมกล่อมถถูกใจสุดๆ โดยเฉพาะเนื้อกุ้งแน่นๆ ที่เสิร์ฟมาแบบเต็มปากเต็มคำ เป็นเมนูที่ไม่ควรพลาดทุกประการ
ถัดมาคือเมนูปลากระพงทอดน้ำปลา ราคา 299 บาท ปลากระพงทอดตัวใหญ่ ราดด้วยน้ำปรุงรส ไฮไลท์สุดพิเศษของเมนูนี้คือ ปลากระพงที่เสิร์ฟนั้นเป็นปลากระพงที่ทางร้านเอาก้างออกให้หมดแล้ว ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเอาก้างออกเองให้เลอะเทอะ เนื้อปลากระพงแน่นๆ ตัดกับรสชาติเปรี้ยวหวานอร่อยถึงใจ เป็นอีกเมนูที่ต้องลอง
และเมนูสุดท้ายของมื้อนี้ก็คือมันบด ราคา 100 บาท มันฝรั่งบดเนื้อเนียน มาพร้อมกับซอสปรุงรสซ่อนอยู่ตรงกลาง ตกแต่งจานด้วยดอกเข็ม รสชาติหวานมันละมุนลิ้น
ยังไม่หมดแค่นี้ เราปิดท้ายมื้อนี้กันด้วยของหวานอย่าง ชูโรส ที่เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมช็อกโกแลตและแอปเปิ้ล เป็นของหวานสไตล์โฮมเมดที่รับรู้ได้ถึงความพิถีพิถันในการทำของร้าน เมนูนี้ราคา 180 บาท
บรรยากาศร้านเงียบสงบ คลอไปด้วยเพลงสากลยุค 70 เหมาะสำหรับมานั่งกินข้าวแบบชิลล์ๆ แถมนอกจากร้านจะสวย บรรยากาศดี และอาหารอร่อยแล้ว พี่เจ้าของร้านยังใจดีและเป็นกันเองสุดๆ ถ้าใครแวะมาหลักสี่ก็ไม่ควรพลาดร้านนี้เลย
และทั้งหมดนี้ก็คือ One Day Trip | เที่ยวชิลล์ๆ เดินทางง่าย ตามรถไฟฟ้าสายสีแดง เป็นวันเดย์ทริปที่เที่ยวแบบไม่เร่งรีบ ผ่อนคลายไปกับศิลปะ ชมวิวสองข้างทางตามรถไฟฟ้า ปิดท้ายด้วยอาหารมื้ออร่อย เหมาะที่จะไปกับเพื่อนสนิท คนรู้ใจ หรือครอบครัว แถมที่สำคัญคือเดินทางง่ายและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไม่แพงอีกด้วย
รวมค่าใช้จ่ายตลอด One Day Trip | เที่ยวชิลล์ๆ เดินทางง่าย ตามรถไฟฟ้าสายสีแดง
– ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดง 104 บาท (52 บาท/คน)
– ค่าอาหารจิบไถ่คาเฟ่ 205 บาท (102.5 บาท/คน)
– ค่าเข้าชม MOCA Museum of Contemporary Art 500 บาท (250 บาท/คน)
– ค่าอาหารพธู Pa-tu Cafe & Restaurant 988 บาท (494 บาท/คน)
รวมค่าใช้จ่ายตลอดทริป 1797 บาท (สำหรับ 2 คน)
เฉลี่ยเหลือคนละ 898.5 บาท
เป็นยังไงกันบ้างกับ One Day Trip | เที่ยวชิลล์ๆ เดินทางง่าย ตามรถไฟฟ้าสายสีแดง ถ้าเพื่อนๆ คนไหนยังมองหาที่เที่ยวอื่นๆ ในกรุงเทพฯ ขอแนะนำ 8 คาเฟ่สไตล์มินิมอลในกรุงเทพ-ปริมณฑล เน้นสีขาวคลีน เอาใจสายคุมโทน หรือว่าใครกำลังมองหาที่ถ่ายรูปต้อนรับตรุษจีน ก็ขอแนะนำ 5 คาเฟ่สไตล์จีน เตรียมไปถ่ายรูปเช็คอิน ต้อนรับตรุษจีนแบบปังๆ