‘OUR JOURNEY’ ให้ใจมันพาไป | 3 วัน 2 คืน ณ สังขละบุรี เที่ยวทั่วเมืองแบบคนไม่รถ
22,025 ครั้ง
10 มิ.ย. 2560
22,025 ครั้ง
10 มิ.ย. 2560
บันทึกการเดินทางของเด็กมหาลัย 2+1
คนนึงอยากเก็บบรรยากาศ ถ่ายรูป | คนนึงอยากทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ | คนนึงอยากปลดปล่อยและพักผ่อนจากการเรียน ทริปนี้จึงเกิดขึ้น ครั้งแรกที่พ่ออนุญาตให้ไปเที่ยวแบบ Backpack กับเพื่อน ครั้งแรกที่เป็นคนถ่ายภาพจากกล้องของตัวเอง ครั้งแรกที่ได้ไปกาญจนบุรี ครั้งแรกที่ได้ไปสังขละบุรี ครั้งแรกที่ได้ไปพม่า ทุกอย่างเป็นครั้งแรกของเรา เย้ๆๆๆ
ปล. รูปอาจจะไม่ค่อยสวยนะคะ เพราะเราอยากถ่ายอะไรก็ถ่ายไม่ค่อยรู้มุมปรับกล้องก็ไม่ค่อยจะเป็น ไม่ได้แต่งสีด้วยนะเพราะเราเล่น Lightroom กับ Photoshop ไม่เป็น
เริ่มเดินทาง ตอนแรกเรานัดกับเพื่อนว่าจะออกเดินทางกันประมาณ 05.30 แต่มันเป็นไปไม่ได้ 555 ก็เลยเลื่อนเวลาเดินทางออกไปเป็น 8 โมง แต่เราก็มาสายยย ยย ได้ออกเดินทางจริงๆก็ 9 โมงกว่าๆ และเพื่อนเราอีกคนก็ไปวันนี้ไม่ได้เพราะต้องไปทำงานด่วนและจะตามมาอีกทีวันที่ 2 ของทริป การเดินทางครั้งนี้เลยเหลือแค่เรากับแฝดเทค 2 คน พวกเราไปขึ้นรถตู้ที่อนุสาวรีย์ ของ บริษัทหนุมานทัวร์สยาม (ค่ารถ 120 บาท) ช่วงนี้ไม่มีรูปเลยเพราะทุกอย่างรีบไปหมดแถมขึ้นรถผิดคันอีก เกือบได้ไปพัทยาแทนกาญละ เราขอข้ามไปตอนที่ถึงกาญจนบุรีเลยละกัน
พวกเรามาถึงกาญจนบุรีตอนประมาณ 11 โมงกว่า เป้าหมายต่อไปของพวกเรา คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว พอลงจากรถปุ๊บก็งงเลยจ้า เอาไงต่อดี งงกันได้สักพักก็เริ่มถามคนแถวนั้น ซึ่งวิธีที่จะไปได้และถูกที่สุด คือ ต้องรอรถที่ออกเป็นรอบๆ(เมล์เครื่องคันสีเขียวๆใหญ่ๆ) ค่ารถแค่ 20 บาทเอง แต่รถจะจอดแค่สายนอกไม่ได้เข้าไปถึงตัวสะพาน ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร พอเรากับเพื่อนลงจากรถ ก็จะมีลุงวินมาถามเลยค่ะ แต่เราไม่ไปกันค่ะเพราะทริปนี้เราเน้นเดิน แค่ 1 กิโลเองไม่ไกลเท่าไหร่หรอก
หลังจากที่ถ่ายรูปกันเสร็จแล้วท้องก็ร้องเลยจ้า ก็เลยไปหาข้าวกินแถวสถานีรถไฟ ราคาก็ตามสถานที่ท่องเที่ยวอ่ะเนอะ
กระเพราหมูสับไข่ดาวน่ากินมาก แต่มันไม่ใช่ของเรามันคือของเพื่อนเรา เสียใจมากที่ไม่ได้สั่ง หลังจากที่เติมพลังกันเรียบร้อยก็เดินออกไปถนนใหญ่เพื่อขึ้นเมล์เครื่องไปสุสานสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก
สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก เรากับเพื่อนไม่ได้ลงหน้าสุสานเลยแต่ลงกันที่สถานีรถไฟกาญจนบุรีเพราะเข้าใจผิดว่ามันมีพิพิธภัณฑ์ก็เลยเดินเข้าไปดูกัน แต่ว่ามันไม่มีเรากับเพื่อนก็เลยไปรถไฟเล่นๆแล้วเราก็เจอนี่เลยรถไฟโคตรอะไรก็ไม่รู้โคตรหรูมองไปข้างในมีแต่ฝรั่ง กับโต๊ะอาหารที่โคตรจะดูดี หลังจากที่ส่งรถไปขบวนนี้เสร็จก็เดินต่อไปยังสุสาน
ในที่สุดก็ถึงแล้วจากสถานีรถไฟมาถึงที่นี่ไม่ไกลหรอกแต่แดดมันแรงมากลดพลังงานเราลงไปเยอะเลย
สุสานที่นี่สวยมากแต่พอเราเข้าไปกลับรู้สึกหดหู่ อยู่ในสุสานกันสักพักเรากับเพื่อนก็ออกไปรอเมล์เครื่องเพื่อไปขนส่ง เรามาถึงขนส่งประมาณบ่าย3 แต่กว่าจะได้ขึ้นรถจริงๆก็ เกือบ4 โมง ก็เลยเลือกนั่งรถตู้ไปสังขละ ค่ารถคนละ 175 บาท ซึ่งป้าที่ขายตั๋วบอกว่ารอบสุดท้ายพอดีเลย ซื้อตั๋วเสร็จก็ขึ้นรถหลังจากนั้นภาพก็ตัดไป เราหลับๆตื่นๆ หูก็อื้อ จนถึงสังขละ กว่าจะถึงสังขละก็เกือบ 1 ทุ่ม เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก
สังขละบุรี พอถึงสังขละเราก็ต้องรีบหาที่พัก เรากับเพื่อนตกลงกันว่าจะไปพักฝั่งมอญ เราเลยเสนอโฮมเสตย์วิการดาเพราะเราเคยเห็นรีวิวในพันทิพ เมื่อตกลงกันได้ก็โทรไปจอง พอได้ที่พักก็ต้องหาวิธีไปฝั่งมอญตอนแรกเรากับเพื่อนกะว่าจะเดินกันไป แต่ก็มีคุณลุงคนนึงมาเสนอว่า ให้ไปกับลุงคนละ 50 บาท ส่งถึงที่เลย ถ้าเดินจากนี้ไปตรงสะพานมอญมันจะไกลมาก เรากับเพื่อนก็คุยกันว่ามันแพงไปป่าววะ 2 คนตั้ง 100 บาทแหนะ แต่สุดท้ายก็ตกลงไป ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าคนละ 50 บาท แล้วก็กระโดดขึ้นรถเลย
ระหว่างทางไปที่พักหน้านี่ชาเลยจ้า จากการที่ได้สัมผัสกับเส้นทาง จริงๆแล้วมันก็ไม่แพงเท่าไหร่นะเพราะมันไกลจริง คุณลุงแกขับรถพามาทางสะพานซองกาเลียที่เป็นสะพานปูนรถสามารถขับผ่านได้ พอถึงที่พักกับเพื่อนก็เข้าไปเก็บของ พี่เจ้าของบ้านน่ารักมากอย่างที่คนอื่นรีวิวเลย พี่เค้าคิดค่าที่พักคนละ 200 บาท พอเก็บของ ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรากับเพื่อนก็ออกไปหาอะไรกินที่ตลาด รอบนี้เรากับเพื่อนเดินไปทางสะพานมอญ ถึงตลาดพวกเราก็ไปกินอาหารตามสั่งกัน ราคาไม่แพงเลย 35-40 บาท กินข้าวเสร็จเรากับเพื่อนก็เดินตรงไปที่ร้านหมูจุ่มพม่า คือแบบเห็น หมูจุ่มนี่อยู่แทบทุกรีวิวเลย พวกเราก็เลยไม่พลาดที่จะลอง
มูมู จิ้มจุ่มพม่า ไม้ละบาท (กินไปแค่ 15 ไม้เอง ส่วนเพื่อนเรา 5 ไม้) ได้กินแค่นิดเดียวเพราะเรากับเพื่อนกินข้าวกันมาก่อนแล้ว เราว่ามันอร่อยดีนะแต่เพื่อนเรากลับไม่ชอบกิน เสียใจ หลังจากที่เดินเที่ยวเล่นในตลาดเรากับเพื่อนก็กลับที่พักด้วยการนั่งวินมอเตอร์ไซต์ (ไมม่คิดที่จะเดินแล้ว เพราะทางจากตตลาดไปสะพานมอญค่อนข้างไกลและก็มืด) เราโดนค่าวินไป 20 บาท แต่เพื่อเราบอกว่าจ่ายแค่ 10 บาท เมื่อถึงที่พักก็แยกย้ายกันอาบน้ำนอน
ตักบาตรตอนเช้าที่ฝั่งมอญ วันนี้เรากับเพื่อนตั้งใจว่าจะไปถ่ายแสงอาทิตย์ตอนเช้ากัน แต่ก็ไม่ตื่นกันทั้ง 2 คน แผนนี้จึงล่ม ถ้าพี่เจ้าของบ้านไม่มาปลุกไปตักบาตรก็คงไม่ตื่น
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันพี่เค้าก็ชวนไปตักบาตรที่หน้าบ้าน พอตักบาตรเสร็จเราสองคนก็เดินไปที่สะพานมอญซึ่งพระกำลังเดินมาพอดีเลย โชคดีมากที่เดินมาทัน ของตักบาตรราคาชุดละ 99 บาท ทุกร้าน ต่อไม่ได้
พอเราตักบาตรเสร็จเรากับเพื่อนก็ถ่ายรูปกัน
สองซุปเปอร์สตาร์ของที่นี่
สะพานชองกาเลียที่เราจะไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นกันวันพรุ่งนี้
ข้างล่างมีของขายด้วย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเสื้อผ้าแบบชาวมอญ เราได้ปะแป้งทานาคาด้วย เป็นเอกลักษณ์ของคนที่นี่เลยนะ
เดินไปเรื่อยๆก็จะมีคุณป้าผู้หญิงขาย เปาะเปี๊ยะ หรือขนมอะไรก็ไม่รู้เพราะป้าเค้าไม่ยอมบอกหรืออาจจะพูดภาษาไทยไม่ได้ ถุงละ 20 บาทเอง กินกับน้ำจิ้มสีส้มๆ อร่อยมาก (ไม่มีรูปป้าคนขายกับขนมเลย มีแต่รูปเราตอนแอ๊บกินอ่ะ)
เดินไปอีกนิดก็จะเจอพี่คนนี้ อีกหนึ่งซุปตาร์ของที่นี่ เราเห็นว่าพี่แกยังไม่กระโดดสักทีเรากับเพื่อนก็เลยลงไปรเก็บภาพด้านล่าง
เดินมาข้างล่างแล้วว เหมือนตรงนี้จะเป็นสะพานอันเก่าที่ใช้กันตอนที่สะพานมอญพัง
พอกินเสร็จเราสองคนก็ไปเดินเล่นกัน เดินไปตรงไปเรื่อยๆแล้วก็เลี้ยวซ้าย แล้วก็เดินไปเรื่อยๆจนเจอสะพานอันนี้
พอเราเข้ามาในตัวหมู่บ้านก็เจอน้องคนนี้ วิ่งตามลงมากจากทางที่ชันๆ แล้วก็มาล้มตรงหน้าพร้อมกับมองกล้องเราก็เลยได้ภาพนี้มา
เดินไปเรื่อยๆก็จะเจอกับแม่น้ำจากฝั่งนี้เห็นสะพานมอญด้วย
หลังจากที่เดินออกมาจากซอยนั้นเรากับเพื่อนก็กลับที่พักเพื่อไปอาบน้ำ วันนี้จะเป็นวันที่เพื่อนเราอีกคนนึงตามมาจากกรุงเทพ คนที่เราชวนคนแรกในที่สุดมันก็มา 555 ระหว่างที่รอมันมาเรากับเพื่อนก็เลยตกลงกันว่าจะเที่ยวแถวนี้รอมันแล้วค่อยไปพม่าด้วยกัน 3 คน
หลังจากที่จัดการตัวเองกันเรียบร้อย เราก็ไปถามวิธีไป วัดหลวงพ่ออุตตมะและเจดีย์พุทธคยากับป้าเจ้าของบ้านแล้วป้าเค้าก็ให้เรายืมมอเตอร์ไชต์ด้วย เราก็เลยบอกพี่ไปว่า เดี๋ยวหนูเติมน้ำมันให้นะคะ เรากับเพื่อนขี่มอเตอร์ไซต์จนไปถึงทางแยกที่ระหว่างทางไป วัดหลวงพ่ออุตตมะและเจดีย์พุทธคยา อยู่ดีๆเครื่องก็ดับเราก็คิดในใจ นั่นไงพี่แกเล่นกูแล้วน้ำมันหมดจ้าเกลี้ยงถังเลย โชคดีมากที่ขึ้นเนินมาแล้วว ระหว่างที่ยืนงงกันอยู่ว่าจะเอายังไงต่อไป ก็มีพี่สาวใจดีมาพาไปเติมน้ำมัน ซึ่งมันต้องลงเนินไป ทางที่เราขึ้นมานั่นแหละ พี่สาวคนนี้ใจดีมากพาเพื่อนเราไปเติมน้ำมันแล้วยังจ่ายค่าน้ำมันให้อีกด้วย
เจดีย์พุทธคยา
หลังจากนั้นเรากับเพื่อนก็กลับที่พักกันเพื่อเก็บของและไปหาที่พักฝั่งของสะพานมอญ
เพื่อนเราไปพักที่ P Guest House ส่วนเราไปพักที่ Oh Dee Hostel ห้องที่เราเข้าพักเป็นแแบดับเบิ้ลรูม ราคา 1400 บาท เป็นห้องน้ำรวม เราว่าที่นีดีมาก เราชอบเตียงที่นี่มากสุดจะนุ่ม
พวกเรามีเวลาเที่ยวแค่ 1 ชั่วโมง หลังจากที่ต่อเวลาแล้วต่อเวลาอีกจนลุงแกบอกเดี๋ยวลุงออก 5โมงครึ่ง ก็ได้ หลังจากต่อเวลากันเรียบร้อยพวกเราก็เดินเที่ยว ที่นี่มีทัวร์ไปพม่าด้วยราคาไม่แน่ใจเพราะเราไม่ได้เข้าไปเดินดู เราไม่ซื้อมลทัวร์เพราะไม่มีเวลาแล้วแค่ชั่วโมงเดียวจะไปไหนได้จริงมะ หลังจากลงรถเรา 3 คน ก็เดินไปที่ด่านเจดีย์สามองค์
ช่วงที่รถไฟวิ่งคนบนรถไฟก็จะโบกมือส่งเสียงให้กับคนที่อยู่บนแพแล้วก็โบกมือให้กัน (อารมณ์เหมือนตอนที่เรือไททานิกกำลังออกจากท่าแล้วผู้โดยสารก็โบกมือให้กับคนที่มาส่ง) เป็นความรู้สึกที่ดีมากกับการที่คนที่ไม่รู้จักกัน คนละชาติ คนละภาษา มายิ้มและหัวเราะให้กัน หลังจากที่ผ่านช่วงทางรถไฟสายมรณะนี้ไปคนก็เริ่มลงจากรถไฟเรื่อย ส่วนเรากับเพื่อนก็หาที่นั่งแล้วก็เก็บภาพระหว่างทาง
เมื่อถึงสถานีเรากับเพื่อใหม่ก็แยกย้ายกันเพราะพี่เค้าจะอยู่ที่กาญจนบุรีต่ออีกวันหนึ่ง ส่วนเรากับเพื่อนจะต้องนั่งรถกลับกรุงเทพไปลงที่อนุสาวรีย์เพื่อเป็นการจบทริปอย่างเป็นทางการ “every story has an end. but in life,every ending is just a new beginning”