Rainy Chill Out | ทริป 2 วัน 1 คืน เที่ยวกาญจน์ อะเกน (Again) แบบเน้นความชิลล์
24,194 ครั้ง
18 ก.ค. 2562
24,194 ครั้ง
18 ก.ค. 2562
เที่ยวกาญจนบุรีอีกครั้ง ในฤดูฝน ทริปนี้เรามาพร้อมกับความชิลล์และฟิลลิ่งแบบฉ่ำๆ แม้ว่าวันไหนฝนจะตกพรำๆ เราก็ไม่หวั่นที่จะออกเดินทางกัน ก่อนจะถึงฤดูผันเปลี่ยนเราต้องเก็บเกี่ยวช่วงเวลาของกาญจนบุรีที่คนยังไม่มากเท่าช่วงไฮซีซั่น แถมยังได้อะไรๆ กว่าเยอะ อย่างเช่น ป่าเขาที่เขียวสด บรรยากาศที่ชุ่มฉ่ำ และเราจะได้อะไรอีกนั้นต้องตามมาดูกันแล้วล่ะ
สตาร์ทรถมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองกาญจนบุรีแต่เช้า ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เราแวะกินข้าวนั่งชมวิวทุ่งนาสีเขียวที่ รักษ์คันนา กันก่อน ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องก๋วยเตี๋ยวต้มยำห้อยขา เมื่อมาถึงที่แล้วเราจึงไม่รอช้าที่จะสั่งเมนูเด็ดของทางร้านอย่างก๋วยเตี๋ยวต้มยำหมูล้วน รสชาติเข้มข้น เส้นเหนียวนุ่ม กินคู่กับเครื่องดื่มแสนสดชื่น ปิดท้ายด้วยขนมหวานแบบไทยๆ อย่าง ขนมใส่ไส้ และเบเกอรี่หอมหวาน เค้กใบเตยฝอยทอง พร้อมบรรยากาศดีๆ นั่งห้อยขาริมทุ่งชมวิววัดถ้ำเสือ (รักษ์คันนา เปิดให้บริการทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 8.30 – 19.00น. และ เสาร์ – อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 8.00 – 19.00 น.)
หลังจากอิ่มท้องกันแล้วก็ออกมาเดินเล่นชมทุ่งสักหน่อย หามุมโพสท่าถ่ายรูปพร้อมพร็อพเก๋ๆ ที่ทางร้านจัดไว้
มาแถว วัดถ้ำเสือ ทั้งทีไม่ขึ้นไปเยี่ยมชมวัดและไหว้พระที่วัดถ้ำเสือได้อย่างไร เพราะห่างจากตัวคาเฟ่เพียงแค่ 300 เมตร เราจึงเดินขึ้นไปชมความสวยงามของวัดกัน
ขึ้นไปไหว้พระเสร็จสรรพแล้ว ก็เดินทางกันต่อเวลาเหลือๆ สะดุดตากับกองทรายข้างทางน่าจะเป็นฉากหลังให้กับเราได้ดี เลยแวะแชะรูปเท่ๆ พอที่จะได้ภาพโพสต์ลงโซเชียล และก็มุ่งหน้าต่อไปยังที่พักกันก่อนจะเลยเวลาเช็คอิน
สำหรับทริปนี้เราเลือกมาพักกันที่ X2 River Kwai Resort รีสอร์ทสไตล์อินดัสเทรียล เพียงแค่ได้เดินเข้ามายังล็อบบี้เช็คอินก็รู้สึกถึงความเท่ห์แล้ว
Welcome Drink น้ำอัญชันมะนาวสดชื่น มาพร้อมกับความน่ารักของ X2 Fun Bag ขนมวัยเด็ก ให้ได้เพลิดเพลินก่อนเข้าห้องพัก
และนี่ก็คือห้องที่เราจะนอนกันในคืนนี้ ห้อง Xfloat Luxe Cabin แม้มองจากด้านนอกห้องจะติดๆ กันเป็นแถว แต่เมื่อได้เข้ามาแล้ว ห้องนี้ก็มีความเป็นส่วนตัวอยู่ไม่น้อย แถมยังกว้างขวางมีพื้นที่ใช้สอยเยอะอีกด้วย
ห้องน้ำก็หรูหราอลังการ ด้วยพื้นที่ที่สามารถนั่งเล่นในห้องน้ำได้เลย แบ่งโซนเปียกโซนแห้งได้ดี มีอ่างอาบน้ำริมกระจกน่าลงไปแช่ พร้อมอ่างล้างหน้าขนาดใหญ่แบ่งน้ำอุ่นกับน้ำเย็นด้วยนะ
ไฮไลท์สุดเด็ดของห้องต้องยกให้ตาข่ายสำหรับนั่งชิลล์เหนือน้ำ จุ่มขาเย็นๆ พร้อมเรือคายัคส่วนตัวที่พายได้ในเวลา 07.00 – 19.00 น.
เก็บสัมภาระเข้าที่พักเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาของชายามบ่าย ที่นี่เขามี Tea Set ให้บริการแบบฟรีๆ ตั้งแต่เวลา 14.00 – 17.00 น. จิบชาแบบหรูๆ คู่กับวอฟเฟิลหวานๆ ช่างได้อารมณ์เหลือเกิน
เราใช้เวลาจิบชาเดินเล่นภายในรีสอร์ทกันพอสมควรแล้ว ก็ได้เวลาดินเนอร์พอดี กินอย่างต่อเนื่อง! ห้องอาหารของทางรีสอร์ท The Bridge Bar and Bistro บริการมื้อค่ำให้กับเรา สำหรับเมนูที่สั่งมาจะยั่วน้ำลายขนาดไหนไปชมกัน!
สั่งมาแบบเต็มโต๊ะ ใต้แสงตะเกียงและแสงไฟสลัวๆ ทั่วรีสอร์ท เป็นดินเนอร์ที่แสนจะโรแมนติกทีเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงว่าหนังท้องจะตึงหนังตาจะหย่อนแค่ไหน เอาเป็นว่าเจอเราอีกทีตอนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วกัน
ตื่นเช้ามาพร้อมกับวิวจากเตียงแบบนี้มันฟินจริงๆ นะ เหมือนได้รีเฟรชตัวเองในยามเช้า
ยิ่งได้รับประทานอาหารเช้าดีๆ แบบนี้ยิ่งทำให้สดชื่น พร้อมจะลุยกันต่อแล้ว
นอกจากจะมีบุฟเฟ่ต์ จำพวกซีเรียล ชา กาแฟ โยเกิร์ต และผลไม้แล้ว ยังมีเมนูอาหารแบบ A la cart หลากหลายให้เลือกทานได้แบบไม่อั้นอีกด้วย (สำหรับห้องพักแบบรวมอาหารเช้า)
ก่อนที่จะเช็คเอ้าท์ ก็ออกมาเดินเล่นเพลินๆ รอบรีสอร์ท ทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย
การบริการของที่นี่ถือว่าคุ้มค่าสมราคาเลยทีเดียว ไม่แปลกใจเลยว่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติจะพากันมาพักที่นี่กันอย่างเนืองแน่น เราแนะนำว่าจะต้องจองก่อนเนิ่นๆ ไม่งั้นระวังอดนะจ๊ะ
หลังจากเช็คเอ้าท์แล้วเราเดินทางกันต่อ โดยจุดหมายอยู่ที่ ต้นจามจุรียักษ์ มาถึงถิ่นเมืองกาญจน์ทั้งทีที่ไหนที่กำลังฮิตกำลังดัง เราไม่พลาดที่จะแวะ ต้นจามจุรียักษ์ ตั้งอยู่ตำบลเกาะสำโรง ในตัวเมืองกาญจนบุรี ที่ตอนนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกจุดที่ต้องแวะของกาญจนบุรีไปแล้ว
ต้นจามจุรียักษ์มีอายุกว่า 100 ปี ขนาดของลำต้น 10 คนโอบ แตกกิ่งก้านสาขาออกมาอย่างสวยงามตามธรรมชาติ ตอนนี้มีสะพานล้อมรอบให้ได้เดินชมตามทาง โดยห้ามให้ลงไปเดินบริเวณด้านล่างรอบต้นจามจุรียักษ์ เพราะจะทำให้หญ้าเหี่ยวเฉา
มีบริเวณซุ้มให้ถ่ายรูปเล่นด้วยนะ
อีกจุดแห่งประวัติศาสตร์ที่จะต้องแวะไปเก็บภาพ นั่นก็คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว หรือ ทางรถไฟสายมรณะ ซึ่งขณะที่เราเข้าไปเก็บภาพมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้าไปเยี่ยมชมกันเรื่อยๆ
นอกจากสะพานข้ามแม่น้ำแควจะมีประวัติที่น่าสนใจมายาวนานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ยังมีทัศนียภาพที่สวยงามมากเลยทีเดียว
เราเดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ไม่นานนัก ก็ถึงเวลาที่รถไฟกำลังวิ่งผ่านพอดี มองดูผู้คนบรถไฟแล้ว อยากจะหาเวลานั่งรถไฟสายนี้มาเที่ยวที่กาญจนบุรีบ้างสักครั้ง
ตกเย็นแล้วก่อนจะกลับกรุงเทพ เราแวะรับประทานอาหารกันที่ ครัวต้นแม่กลอง ร้านอาหารบนแพริมน้ำ ซึ่งเป็นจุดรวมกันของแม่น้ำ 2 สาย คือแม่น้ำแควน้อยกับแม่น้ำแควใหญ่ จนกลายเป็นแม่ต้นน้ำแม่กลอง
เราเลือกนั่งโซนเอ้าท์ดอร์ เพื่อที่จะนั่งห้อยขาชิลล์ๆ สัมผัสกับบรรยากาศแบบเต็มอิ่ม สำหรับเมนูอาหารเป็นอาหารแบบไทยๆ เห็นอะไรก็น่าทานไปหมด เราจึงสั่งมาแบบจัดเต็ม!
ครัวต้นแม่กลอง เป็นอีกหนึ่งร้านบรรยากาศดี วิวแม่น้ำ อาหารอร่อย ใครที่มาเที่ยวกาญจนบุรีแนะนำให้แวะมา จดไว้ในลิสต์ได้เลย
จบสำหรับทริปกาญจนบุรีครั้งนี้ เห็นไหมว่าเพียงสองวันหนึ่งคืนเราก็ได้อะไรกลับมามากมาย แบบไม่ต้องเดินทางเหนื่อยเลย ชิลล์ทั้งบรรยากาศของที่พัก ที่กิน และที่เที่ยว แม้ว่าจะเคยมากาญจนบุรีกี่ครั้งแต่ก็ประทับใจทุกครั้ง เพราะธรรมชาติสวยงามไม่แพ้กันสักวัน เราจึงต้องการเก็บเกี่ยวภาพทุกช่วงเวลาของท้องฟ้า ป่าไม้ และสายน้ำ เอาไว้เป็นความทรงจำอีกหนึ่งอัลบั้มที่กาญจนบุรี
สรุปค่าใช้จ่ายทริปกาญจนบุรี 2 วัน 1 คืน
ค่าอาหารร้าน รักษ์คันนา 419 บาท
ค่าที่พัก X2 River Kwai Resort 7,900 บาท
ค่าอาหารเย็น X2 River Kwai Resort 1,360 บาท
ค่าอาหาร ครัวต้นแม่กลอง 710 บาท
ค่าน้ำมันตลอดทริป 1,000 บาท
สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับ 2 คน ตกคนละ 5,694 บาท (หากเดินทางหลายคนค่าใช้จ่ายจะยิ่งลดลง)