Romantic road ม่อนแจ่ม ม่อนตะวัน แช่จากุซซี่ดูดาว ที่ พราวภูฟ้า เชียงใหม่หน้าฝน
21,568 ครั้ง
27 มี.ค. 2560
21,568 ครั้ง
27 มี.ค. 2560
อยากได้ที่เที่ยวโรแมนติกสวีทกับแฟน อยากพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ อยากแช่ Jacuzzi ดูดาว
เคยมั้ยคะ ที่พยายาม search google หรือ pantip หรือตาม internet ต่างๆ เพื่อหาที่เที่ยวหรือที่พักตามคำถามแบบนี้ สำหรับเรา ได้มาเจอคำตอบนี้โดยไม่คาดหวังจาก ‘เส้นทางสายโรแมนติก’ เส้นนี้นั่นเอง
เราเองก็ได้ยินคำตอบหลากหลายจากเพื่อนของเรา เมื่อเราถามถึงม่อนแจ่ม ทั้งประทับใจมาก บางคนก็บอกว่างั้นๆ อวยกันเกินจริง ถึงวันนี้เราจึงได้มีโอกาสมาพิสูจน์ด้วยตนเองเราเลือกท่องเที่ยวหน้าฝนในวันธรรมดา ตามวันหยุดที่เรามี การเดินทางในวันนี้เป็นวันที่ 3 และ 4 ของการเดินทางจากทริปเชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน (เดินทางปลายเดือนมิถุนา)
เส้นทางท่องเที่ยวของเราเป็นดังนี้
Day 1: พระธาตุดอยสุเทพ ดอยปุย พัก Veranda
Day2-3: ดอยอินทนนท์ แม่กลางหลวง พักสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
Day3-4: ม่อนแจ่ม พักพราวภูฟ้า
Day 5: เดินทางกลับ
เราเดินทางจากกรุงเทพมาเชียงใหม่โดยการบินไทย(เที่ยวละ 1700 บาท) และเช่ารถขับ รถที่ใช้เป็น vios เครื่อง 1.5 (ค่าเช่ารถ 3800 บาท)
D a y 3 : R o m a n t i c n i g h t พ ร า ว ภู ฟ้ า
วันนี้เราออกจากดอยอินทนนท์ตอนบ่ายมุ่งสู่ ”พราวภูฟ้า” ซึ่งจะเป็นที่พักของเราในคืนนี้และคืนถัดไป พราวภูฟ้าเป็น boutique hotel ขนาดเล็กตั้งอยู่ที่ โป่งแยง แม่ริม เราเดินทางโดยใช้ google map เป็น navigator ซึ่งก็นำทางได้ดี ก่อนถึงพราวภูฟ้าจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะรับรองไม่หลงแน่นอนค่ะ คิดว่าหลายๆคนน่าจะรู้จักพราวภูฟ้าจาก blogger ชื่อดัง คุณ ชานไม้ชายเขา ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ก่อนมาเราก็หาข้อมูลจากหลายๆรีวิวทั้งจาก pantip tripadvisor และ agoda ซึ่งคำตอบที่ได้จาก tripadvisor ค่อนข้างจะหลากหลายทั้งแง่ลบและแง่บวกทำให้เราลังเลไม่น้อย ตามเรามาดูกันค่ะ ว่าพราวภูฟ้าในมุมมองของเราเป็นยังไงบ้าง เรามาถึงพราวภูฟ้าเวลาประมาณ 5 โมงเย็น เข้ามาก็เจอทางเข้าเขียวชอุ่มแบบนี้ ทางขวามือของภาพจะเป็น lobby ส่วนประตูเล็กๆรูปลูกศรคือทางเข้าโรงแรม
ทางเดินเข้าสู่ที่พักจะเป็นสวนป่าแบบผสมคล้ายๆ little tree garden ที่นครปฐม เดินผ่านจะได้ยินเสียงจักจั่นเรไรร้องระงมได้บรรยากาศป่าดีทีเดียว ที่รีสอร์ทจะมีลำธารเล็กๆอยู่ แต่ช่วงที่เราไปลำธารค่อนข้างแห้งขอดคาดว่าน่าจะเป็นจากภาวะภัยแล้งที่ประเทศไทยเราเผชิญอยู่ในตอนนี้ โรงแรมจะมีสองโซนคือ โซน villa ที่จะเป็นบ้านเล็กๆเป็นหลังๆ อยู่ในป่าติดริมลำธาร ซึ่งเป็นโซนที่ถูกสร้างขึ้นก่อน โซนที่สองคือ Phu zone ซึ่งเป็นตึกสามชั้นอยู่ติดกับสวนซึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ สามารถมองเห็นวิวภูเขาได้ มาดูโซนที่เราพักกันค่ะ ตึกภูโซนจะเป็นปูนเปลือยสามชั้น ล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม สวน และศาลาเล็กๆน่ารัก
ศาลาพักผ่อนในสวน มีไม้เลื้อยพันรอบดอกสีน้ำเงินเก๋ไก๋ ซึ่งก็คือดอก morning glory หรือ ผักบุ้งนั่นเอง
ห้องที่เราเลือกพักในครั้งนี้คือ ห้อง Jacuzzi mountain view ซึ่งจะมีทั้งหมดสามห้อง 201 202 และ 203 ห้องที่เราเข้าพักคือห้อง 202 ห้องตกแต่งด้วยโทนสีขาวโปร่งโล่งสบายตา ห้องกว้างมากทีเดียว เห็นวิวป่าเขียวชอุ่มด้านหัวเตียงและวิวภูเขาด้านระเบียง
มีเบาะรองนั่ง และโซฟาเก๋ๆเอาไว้นอนดูทีวี
มีอ่างแช่ Jacuzzi อยู่ด้านนอกไว้ดูวิวภูเขา มีเก้าอี้ปูนยาวและโต๊ะไว้นั่งทำงาน หรือนอนเล่นที่ระเบียง ผ้าขนหนูช้างน้อยวางบนเตียงน่ารักเชียว
อ่างล้างหน้าเป็นรูปกระต่ายน้อยน่ารัก ส่วนก๊อกน้ำเป็นรูปลูกหมู สมกับเป็น boutique hotel ที่มีการตกแต่งเล็กๆน้อยๆแบบใส่ใจรายละเอียด
มาดูอ่าง Jacuzzi กัน เห็นวิวภูเขาแบบนี้ กรี๊ดเลยค่ะ ชอบมาก
มาดูบรรยากาศตอนกลางคืนกันบ้าง ห้องอาหารของโรงแรมตอนกลางคืนอยู่ติดกับสวน
ทางเข้าภูโซนจะเป็นปูนเปลือย มีโคมไฟทำเป็นรูปคล้ายกรงนก มีเบาะให้นั่งเล่น
คืนนี้เราแช่ Jacuzzi ดูพระจันทร์แทนดาว เพราะเป็นคืนวันเพ็ญ อากาศตอนกลางคืนค่อนข้างเย็นสบาย ไม่ร้อน แม้จะไม่ใช่หน้าหนาว แช่ไปดูวิวภูเขา+พระจันทร์ไป ท่ามกลางแสงเทียน รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมาก
เช้าวันรุ่งขึ้นอีกวันเรามานั่งทานอาหารเช้าพร้อมวิวสวนและภูเขาแบบนี้ค่ะ บนโต๊ะอาหารประดับด้วยแจกันดอกแอฟริกันไวโอเล็ตเก๋ไก๋
โดยรวมขอสรุปความประทับใจที่มาพักพราวภูฟ้าดังนี้
ประทับใจ: ที่เราว้าวมาก ชอบมาก คือการที่ได้นอนแช่ Jacuzzi ดูดาว(พระจันทร์) นั่งมองวิวภูเขาที่ระเบียง วิวที่เห็นจากห้องก็ล้อมไปด้วยความเขียวชอุ่ม มีความสุขมากกกก รองลงมาก็เป็นสไตล์การจัดสวน การตกแต่งรีสอร์ทที่มีความน่ารักเก๋ไก๋ ความเป็นธรรมชาติของรีสอร์ทในโซนป่า
จุดที่ไม่ชอบ: Jacuzzi ของห้องเราระดับความแรงที่ตั้งไว้มันแรงเกินไปค่ะ แล้วก็ไม่มีปุ่มปรับให้ วันที่สองเราเลยแช่อ่างเฉยๆแต่ไม่ได้เปิด Jacuzzi อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวคือเราไม่ค่อยชอบพื้นปูนกับอ่างน้ำที่เป็นปูน แต่อยู่ไปวันที่สองก็เริ่มชิน ของใช้ในห้องน้ำก็อยู่ในระดับโอเคแต่ไม่ดีเท่าโรงแรมห้าดาวซึ่งอันนี้เข้าใจได้ค่ะ
จุดที่รีสอร์ทเคยถูกวิจารณ์ด้านลบ: ที่เราอ่านเจอจะมีบ่นโซนวิลล่าว่าห้องเก่า แต่เราไม่ได้เข้าพักอันนี้เลยตอบไม่ได้ พนักงานท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตร อันนี้สำหรับเราก็กลางๆนะคะ คือ พนักงานไม่ได้ friendly แต่ก็ไม่ได้แย่ เรื่องอาหารเช้าให้น้อย ก็ตามรูปที่โพสต์นะคะ เราสั่งเป็นข้าวต้มเครื่องวันแรก ข้าวต้มกุ๊ยวันที่สอง ซึ่งก็อิ่มทั้งคู่ นอกจากนี้พนักงานยังบอกว่าถ้าไม่อิ่มสามารถเติมได้
Room tip: แนะนำให้เลือกห้อง Jacuzzi mountain view น่าจะไม่ผิดหวังค่ะ ใครจะเลือก pool villa ที่อยู่ชั้นหนึ่งต้องระวังนิดนึงมันจะไม่เป็นส่วนตัวเพราะคนที่อยู่ชั้นบนสามารถมองเห็นได้ อีกอันที่สำคัญแนะนำให้มาวันธรรมดา คนจะน้อย ตอนเราค้างวันแรก รีสอร์ทแทบจะเป็นรีสอร์ทส่วนตัวของเราเลยค่ะ แต่วันถัดมาเป็นวันศุกร์คนเริ่มเยอะขึ้น คิดว่าถ้ารีสอร์ทคนแน่นเต็มน่าจะอึดอัดเหมือนกัน เพราะเป็นรีสอร์ทขนาดเล็ก
โดยสรุปเราว่า พราวภูฟ้า เป็นรีสอร์ทที่ตอบโจทย์สำหรับคู่รักได้ดี ถ้าถามว่าอยากกลับมาอีกมั้ย อยากมาอีกค่ะ คิดว่าถ้ามาหน้าหนาวน่าจะฟินกว่านี้อีกหลายเท่าเลย
D a y 3 : R o m a n t i c d i n n e r ปานวิมาน
ในวันเดียวกันเราก็มีโอกาสได้ไปทานอาหารเย็นที่รีสอร์ทชื่อดังที่อยู่ติดกัน ซึ่งตอนแรกเราก็ลังเลอยู่ว่าจะพักที่พราวภูฟ้าดี หรือ พักที่ปานวิมานดีกว่ากันืปานวิมานรีสอร์ทเป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ตกแต่งสไตล์ไทย ตั้งอยู่บนที่สูงทำให้ได้เปรียบพราวภูฟ้าในแง่ของ location ระยะทางจากพราวภูฟ้าไปวิมานขับรถไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงค่ะ
Lobby ด้านบนของโรงแรม มองเห็นห้องอาหารอยู่ด้านหลัง
หิวแล้วมากินข้าวกันค่ะ อาหารที่นี่ก็รสชาติโอเคใช้ได้นะคะ
ที่ดียิ่งกว่าอาหารคือวิวค่ะ บรรยากาศดีมากมองเห็นภูเขา และป่าเขียวชอุ่ม
วิวภูเขาที่เห็นจากปานวิมาน
ภาพบรรยากาศยามค่ำคืน พระจันทร์ทรงกลดส่องแสงเรืองรองแทนพระอาทิตย์ที่ลับฟ้าไป แสงไฟเรืองรองจากแปลงดอกเบญจมาศที่เริ่มเปิดไฟดูสวยงาม
ใกล้ห้องอาหารจะมีลานกิจกรรม มีทั้งสนามกอล์ฟจำลอง ลานหมากรุกยักษ์ ยิงธนู มีสปาขนาดใหญ่ให้บริการ จากที่เราดู ปานวิมานเป็นรีสอร์ทที่ location ดีมาก วิวสวย การตกแต่งเป็นสไตล์ไทย มีจำนวนห้องมาก มีกิจกรรมให้ทำเยอะ ดูแล้วเหมาะกับครอบครัวที่มาพักผ่อนดี มีกิจกรรมให้ทั้งพ่อแม่ลูกครบเลย ในส่วนห้องพักเราไม่ได้เข้าพักเลยไม่รู้ว่าเป็นยังไง แต่ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการมาพักผ่อนทั้งครอบครัวและคู่รักค่ะ
D a y 4 : R o m a n t i c r o a d ม่อนแจ่ม ม่อนตะวัน
เช้านี้เราตื่นมาทานอาหารเช้าที่พราวภูฟ้า หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็กลับเข้าไปพักผ่อน slow life นอนเล่นเพลินๆในห้อง พอเที่ยงกระเพาะอาหารก็เริ่มอยากทำงานอีกครั้ง
สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้เราจะไปกินที่ม่อนแจ่มกันค่ะ ทางขึ้นม่อนแจ่มค่อนข้างคดเคี้ยว ถนนแคบเป็นบางช่วง แต่สภาพถนนดี รถเล็กอย่าง vios สามารถขับขึ้นได้สบายๆ ถนนจากรีสอร์ทจะมีป้ายบอกทางไปม่อนแจ่มเป็นระยะ ทางจะขึ้นลาดชันไปเรื่อยๆ ระหว่างขับรถไป เราก็รู้สึก โอ้โห จะขึ้นสูงไปไหนเนี่ย ใช้เวลาจากโรงแรมไปม่อนแจ่มประมาณ 20 นาที
ตอนกลางวันม่อนแจ่ม แดดแรงพอสมควรเลย ลมก็แรงด้วย เราขึ้นมาถึงยอดก็พบว่ามีคนเยอะพอสมควรเลยนะคะ ขนาดเป็นเที่ยงวันธรรมดา ตอนแรกที่นั่งที่เป็นกระท่อมเต็ม แต่โชคดีพอเราสั่งอาหารเสร็จก็มีคนลุกพอดี เลยขอจับจองต่อทันที อาหารที่นี่อร่อยมากเลยค่ะ เป็นเมนูบ้านๆแต่รสชาติดีมาก เมนูที่เรากินวันนี้คือ ไข่เจียวเห็ดถอบ ผัดไทยยอดอ่อนลาเวนเดอร์ แล้วก็ผัดผักซาโยเต้ กินไปก็ชมวิวแบบนี้ไป เพลินมาก
เราติดใจอาหารที่นี่มากจนต้องขอจัดอีกรอบสำหรับมื้อเย็น เรากลับไปพักผ่อนตามอัธยาศัยที่รีสอร์ทอีกครั้ง แล้วออกมาอีกรอบตอนเย็นเมื่อแดดร่มลมตก slow life หอยทากมากจริงๆ ก่อนถึงม่อนแจ่ม เราขับรถเที่ยววนบนดอยรอบๆดูไร่ผักขั้นบันได โอ้ ไร่ผักขั้นบันได เราตื่นเต้นมากเลยที่ได้เห็น
เราตัดสินใจจอดรถริมข้างทางเพื่อเดินซึมซับบรรยากาศ
ไร่ผักบางแปลงก็พึ่งลงปลูกเห็นเป็นต้นอ่อนเล็กๆ จากรูปนี้จะเห็นม่อนแจ่มอยู่ไกลๆตรงมุมขวาบน
ขอเป็นน้องนางบนดอย เก็บผักแป๊ป (อันนี้เป็นผักที่เค้าถอนออกมาแล้ว แต่ไม่ได้คุณภาพนะคะ ขอยืมมาเป็น prop เท่านั้นเอง)
เดินต่อไปอีกหน่อยก็เจอ ไร่กะหล่ำเขียวขจี ท่ามกลางขุนเขา
หลังจากนั้นเราก็ขับต่อไปเรื่อยๆ พอเจอแบบนี้ก็รีบหาที่จอดรถหยุดถ่ายรูปเลยค่ะ ไร่ผักขั้นบันได ภายใต้แสงอาทิตย์ส่องผ่านม่านเมฆ ทำให้ดูเหมือนแสงสวรรค์ผ่านดินแดนลับแลแห่งขุนเขา
D a y 4 : R o m a n t i c r o a d ม่อนแจ่ม ม่อนตะวัน(ต่อ)
ต่อจากนั้นเราก็ขับต่อไปม่อนตะวันกัน ม่อนตะวันนี่อยู่สูงขึ้นไปจากม่อนแจ่มอีกค่ะ ทางขึ้นสูงชันมากดูน่ากลัว แต่ถนนดี รถ vios เธอก็สามารถขึ้นได้สบายๆ ถนนใกล้ๆทางขึ้นม่อนตะวัน มีรถรับส่งนักเรียนขับผ่าน
วิวจากม่อนตะวัน สวยมากกกกก เห็นแล้วแบบ ว้าว มาก กรี๊ดเลย มันคือภูเขาผัก!
ไร่กะหล่ำเขียวขจีท่ามกลางภูเขาผัก
เก้าอี้ไม้บนม่อนตะวัน ไว้นั่งชมบรรยากาศ ชมความเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา
วิวที่เห็นจากม่อนตะวัน เมื่อแสงอาทิตย์ส่องผ่านรำไร
แปลงดอก cosmos สีชมพูน่ารักที่ม่อนตะวัน
ที่บนม่อนตะวันมีรีสอร์ทเล็กๆน่ารัก บรรยากาศดีมาก เราแอบคิดในใจว่าครั้งหน้าอยากจะมานอนค้างซักคืน คงฟินมาก
D a y 4 : R o m a n t i c r o a d ม่อนแจ่ม ม่อนตะวัน(ต่อ)
จากม่อนตะวันเราก็มาที่ม่อนแจ่มอีกรอบเพื่อรับประทานอาหารเย็น มื้อเย็นอร่อยเหมือนเดิม เราสั่งเห็ดถอบอีกแล้ว แต่เป็นเห็ดถอบต้มเค็ม อร่อยดีค่ะ
วิวจากกระท่อมที่เรานั่ง บรรยากาศตอนเย็นสวยกว่าตอนเที่ยงอีกค่ะ ดีใจที่มาอีกรอบ
บรรยากาศโดยรอบยามเย็นของดอยม่อนแจ่ม ฟ้าครึ้มฝน
เรามาช่วงหน้าฝนไม่คาดหวังว่าจะเจอดอกไม้บานสวยงาม แต่ก็ได้เจอ
ดอกไม้สีม่วงบานสะพรั่งบนดอยม่อนแจ่มสวยงาม
นั่งชมวิวบนดอยม่อนแจ่มเพลินใจ
ถึงเวลาพระอาทิตย์อัสดงโดยไม่รู้ตัว มันสวยมากจนเราแทบจะลืมหายใจ
มันช่างสวยงามเหมือนอยู่ในความฝัน
ถึงเวลาต้องจากลาอีกแล้ว แต่มันไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะมาเยือนม่อนแจ่มอย่างแน่นอน จบทริปนี้แล้วเราก็ได้เรียนรู้ว่าเมืองไทยมีที่เที่ยวที่สวยงามอีกมากมายที่เราไม่เคยสัมผัส มีป่าไม้ที่สมบูรณ์เขียวขจี ถ้าคุณอยากสัมผัสมันให้มาในหน้าฝน ไม่แปลกใจเลยทำไมชาวต่างขาติถึงแห่มาเที่ยวเมืองไทยมากมาย ถึงตอนนี้เราบอกได้เต็มปากว่า ‘หลงรักเชียงใหม่’ และ ‘หลงรักประเทศไทย’ เชียงใหม่หน้าฝนมีอะไรมากกว่าที่คิด มาซิคะ แล้วจะตกหลุมรักเหมือนอย่างเรา
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณรีวิวและภาพถ่ายสวยๆ จากสมาชิกพันทิปคุณพุงจัง