tripgether.com

ขาลุยห้ามพลาด กับ 6 ภูเขาและเส้นทางเดินป่ารับหน้าหนาวส่งท้ายปี 2560

6,925 ครั้ง
14 ธ.ค. 2560

ช่วงวันหยุดสิ้นปีนี้ใครยังไม่มีแผนไปเที่ยวที่ไหนกับเพื่อนๆ บ้างขอให้ยกมือขึ้น วันนี้ทริปเก็ทเตอร์จะพาไปรู้จักกับ 6 ยอดภูน่าปีน ให้ผู้อ่านได้ตามรอยไปฟอกปอดและพักสายตาจากหน้าจอที่จ้องมาทั้งวัน แถมยังได้รูปสวยๆและเพื่อนใหม่กลับไปด้วยนะ ส่วนจะเป็นที่ไหนกันบ้าง เราไปดูกันเลย


1. ดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่

ดอยเชียงดาว หรือ ดอยหลวงเชียงดาว ถือเป็นเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 2,175 เมตร แถมเป็นเส้นทางเดินป่าที่ดีอีกเส้นทางหนึ่ง ใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมง เมื่อถึงยอดดอย สิ่งที่พลาดไม่ได้คือไปชมพระอาทิตย์ตก แถมบางทีถ้าอากาศเป็นใจ ในตอนเช้าจะสามารถชมทะเลหมอกได้ถึงสองจุดคือบริเวณยอดดอยและสันกิ่วลม นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงดอกกุหลาบขาวบานบนยอดดอย นกสวยงามหลายชนิดจะออกมาให้ชมกันอย่างเพลิดเพลิน ส่วนบริเวณใกล้เคียงยังมีถ้ำเชียงดาว และน้ำตกศรีสังวาลให้ได้เที่ยวได้ถ่ายรูปเล่นกันแบบเพลินๆ

ดอยหลวงเชียงดาวอยู่ในเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาวห่างจากตัวอำเภอเชียงดาวไปทางทิศตะวันตก 5 กิโลเมตรและห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาน 75 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ประมาณ 2.45 ชั่วโมงผู้ที่สนใจเดินขึ้นดอยหลวงเชียงดาวจะต้องติดต่อยื่นเอกสารกับทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวก่อนเพราะคิวการจองจะเต็มเร็วมากๆโดยจะเริ่มเปิดให้ขึ้นช่วงพฤศจิการยนของทุกปี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จ.เชียงใหม่ 053456623, 0811116203 เฟซบุ๊ก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จ.เชียงใหม่

ขอบคุณภาพจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย


2. ภูกระดึง จ.เลย

อีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมของคนขึ้นเขา ยอดภูของที่นี่เป็นเขาหัวตัด เส้นทางการเดินที่เรียกได้ว่าโหดพอตัวตั้งแต่ช่วงแรกของการเดิน แต่ก็แลกมากับการได้ขึ้นไปชมทะเลหมอกยามเช้า เข้าป่าตอนสายๆ แล้วมาปิดท้ายด้วยจุดถ่ายรูปกับพระอาทิตย์ตกยอดฮิต แม้จะเหนื่อยแต่ก็ฟินสุดๆ เรียกได้ว่าคุ้มค่าต่อการไปเยือนแน่นอน การได้ไปถ่ายรูปกับป้าย “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” ร่วมกับเพื่อนๆ จึงเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจว่าเราเคยผ่านการเที่ยวที่ลำบากลำบนมาด้วยกัน แต่ ”ครั้งหนึ่ง” ไม่ได้หมายถึง “ครั้งเดียว” แน่นอน เพราะสภาพป่าและอากาศของที่นี่จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล อยากเจอหมอกเยอะๆให้มาหน้าฝน อยากเจอเมเปิ้ลแดงให้มาหน้าหนาว อยากถ่ายพระอาทิตย์ตกชัดๆ ควรมาหน้าร้อน

การมาเที่ยวที่ภูกระดึงควรใช้เวลากับที่นี่ 3 วัน 2 คืนแบ่งเป็นวันขึ้นดอยวันเดินเที่ยวรอบภูและวันกลับการเดินทางโดยรถใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงครึ่งหรือขึ้นรถทัวร์กรุงเทพ-เลยไปลงที่จุดรับส่งรถสองแถวหรือนั่งเครื่องบินไปที่สนามบินจังหวัดเลยก่อนนั่งรถสองแถวมาที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงโทรศัพท์ 042810834

ภาพจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและทริปเก็ทเตอร์


3. เขาช้างเผือก จ.กาญจนบุรี

เขาช้างเผือกเป็นเขาที่ขึ้นชื่อเรื่องความท้าทาย โดยเฉพาะในช่วงของ”สันคมมีด” ทางเดินสันหินแคบๆ กว้างเพียง 1 เมตร หลังจากได้ก้าวเท้าผ่านช่วงสุดท้ายของสันคมมีดไปแล้ว วิวบนยอดดอยที่เห็นหลังจากนั้นคือความสุดยอดยากจะหาสิ่งใดเปรียบ วิว 360 องศา เขื่อนวชิราลงกรณ์ และแนวเขาที่เรียงสลับกันไปเบื้องหน้าสามารถทำให้หายเหนื่อยได้โดยไม่รู้ตัว หากวางแผนมาเที่ยวที่นี่ ควรมาช่วงหน้าฝนและหน้าหนาว และควรมาแต่เช้าเพื่อมาให้ทันดูทะเลหมอกที่มีแสงพระอาทิตย์เป็นฉากหลังสวยๆ

การเดินทางจากกรุงเทพถึงเขาช้างเผือกใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงนิดๆเดินขึ้นเขาอีกประมาณ 4 ชั่วโมงสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิจังหวัดกาญจนบุรีโทรศัพท์  098 252 0359 อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊กเพจ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี


4. เขาพะเนินทุ่ง จ.เพชรบุรี

เขาพะเนินทุ่ง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นภูเขาสูง รอบๆ เป็นป่าดงดิบ ช่างภาพหลายคนมาเก็บภาพสัตว์ป่า ภาพผีเสื้อสวยๆ ที่นี่กันเยอะมาก แต่ที่เด็ดคือ ที่นี่สามารถชมทะเลหมอกได้ตลอดทั้งปีแม้จะเป็นหน้าร้อน เพราะป่าไม้มีความอุดมสมบูรณ์ ใครที่ตื่นมาดูทะเลหมอกแต่เช้าจะเห็นยอดไม้และเนินเขาสีเขียว ค่อยๆ เผยตัวออกมาให้เห็นเรียงสลับกันไปอย่างสวยงาม โดยจุดชมทะเลหมอกมีด้วยกัน 2 จุด คือ กิโลเมตรที่ 30 และ 36 แนะนำว่าทะเลหมอกกับพระอาทิตย์ตกที่นี่เป็นอะไรที่พลาดไม่ได้จริงๆ

การเดินทางจากกรุงเทพ สามารถไปได้ทั้งรถไฟ กรุงเทพ-หัวหิน รถตู้กรุงเทพ-แก่งกระจาน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือจองเต้นท์-บ้านพัก ได้ที่ 0 3245 9291 (ที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน) 0 3245 9293 (ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน)


5. เขาล้อมหมวก จ.ประจวบคีรีขันธ์

ถือเป็นอีกหนึ่งเขายอดฮิตสำหรับสายขึ้นเขาเข้าป่าแต่ไม่ต้องค้างคืน ด้วยระยะทางที่สั้นจากตีนเขาถึงยอดใช้เวลาเพียง 50 นาทีถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น แถมสามารถเข้าไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปีบนยอดเขามองเห็นวิวสวยๆฟินๆได้แบบ 360 องศาเห็นอ่าวสาวอ่าวของเมืองประจวบได้แบบเต็มๆตาเรียกได้ว่าคุ้มค่าเหนื่อยมากๆ สำหรับใครที่สนใจสามารถเข้าไปทดสอบกำลังขาและแขนตนเองได้ตั้งแต่ 06.00 – 10.30 น. ที่อ่าวมะนาวกองบิน 5 จ.ประจวบคีรีขันธ์ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯประมาณ 4 ชั่วโมงนิดๆโดยต้องลงทะเบียนและวัดความดันให้เรียบร้อยก่อนที่สำคัญคือควรสวมรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าเดินเขาเพื่อความคล่องตัวและความปลอดภัย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองบิน 5 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์โทรศัพท์ 032611031 ต่อ 60202 หรือ 6-215, 032611017 หรือที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ เฟซบุ๊ก TAT PRACHUAP

ขอบคุณภาพจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย


6. เขากุนุงซิลิปัต จ.ยะลา

เขากุนุงซิลิปัต(ฆูนุงสีรีปัต) ชาวบ้านเรียกกันว่าเขาหินกม.21 เป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามอีกจุดหนึ่งในยามเช้าบนภูเขาที่อำเภอเบตงจังหวัดยะลา ที่นี่ป่ายังอุดมสมบูรณ์ดีมากทะเลหมอกเลยน่าชมเป็นพิเศษ ตัวเขากุนุงซิลิปัตอยู่ห่างจากอ.เบตงไปประมาณ 21 กิโลเมตรความดีงามของที่นี่คือถ้ามากันเป็นกลุ่มเล็กๆสามารถนอนบนยอดเขาได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินจากจุดกางเต้นท์ขึ้นมาดูทะเลหมอกในตอนเช้าเพราะเส้นทางการเดินลำบากเล็กน้อย การเดินเท้าจากจุดที่พัก

การจะเข้ามาที่ตัวภูเขาจากอำเภอเบตงได้ต้องมีรถ 4×4 มาส่งโดยสามารถติดต่อได้ที่กลุ่มเยาวชนกม.28 ที่ให้บริการนำเที่ยวเขากุนุงซิลิปัตค่าใช้จ่ายคนละ 600 บาทโดยจะนำมาเป็นค่านำเที่ยวค่าลูกหาบรถยนต์อาหารว่าง 2 มื้อข้าว 1 มื้อและเต้นท์กลุ่มละ 5 คนโทรศัพท์ 0810938549 คุณเฮง, 0854708039 นายอิบบรอเฮ็ม สาอะ


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ