8 เส้นทางศึกษาธรรมชาติ เดินทางท่ามกลางป่าเขาเขียวขจี สายลุยห้ามพลาด!
3,259 ครั้ง
9 เม.ย. 2567
3,259 ครั้ง
9 เม.ย. 2567
ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์คอยมอบพลังความสดใสให้กับทุกวันของเรา ในช่วง Summer นี้ ที่เที่ยวส่วนใหญ่ที่คนนิยมไปกันก็คนหนีไม่พ้นทะเล ทริปเก็ทเตอร์ขอแนะนำ 8 เส้นทางศึกษาธรรมชาติ เดินทางท่ามกลางป่าเขาเขียวขจี สายลุยห้ามพลาด! การเดินป่าหลายคนอาจจะคิดว่าเหมาะกับการเดินช่วงฤดูฝน – ฤดูหนาวเสียมากกว่า แต่จริงๆ แล้วการเดินป่าบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติในช่วงหน้าร้อนนี้ก็สวยงามและสดชื่นไม่แพ้กัน เพราะอากาศด้านบนนั้นสุดแสนจะเย็นสบาย มีต้นไม้เขียวขจีบดบังแสงแกกตลอดเส้นทางเดิน และมีสายน้ำไหลเอื่อยๆ รวมถึงน้ำตกตามเส้นทางที่เดินผ่าน ว่าแล้วก็ตามไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีที่ไหนบ้าง
ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคต – โป่งก้อนเส้า แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติใกล้กรุงเทพฯ ที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เงียบสงบ และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่าน้อยใหญ่นานาชนิด นับเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวสายรักธรรมชาติ อยากนอนเต็นท์ ปิกนิกชิลล์ ๆ เพื่อสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดตักตวงอากาศดีๆ ไปอย่างเต็มปอด เจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า มีเนื้อที่ประมาณ 13,750 ไร่ มีจุดเช็คอินมากมายทั้งภูเขา น้ำตก และเส้นทางศึกษาธรรมชาติ โดยเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่นี่จะแบ่ง เป็น 3 เส้นทาง คือ เส้นที่ 1 จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปน้ำตกเจ็ดคตเหนือแล้วกลับทางเดิม ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เส้นที่ 2 จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปน้ำตกเจ็ดคตเหนือ-เจ็ดดตกลาง-เจ็ดคตใต้ ระยะทาง 3 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง และเส้นที่ 3 จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปน้ำตกเจ็ดคตเหนือ-เจ็ดคตกลาง-เจ็ดคตใต้ และเจ็ดคตใหญ่ ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง เป็นการเดินทางที่บอกเลยว่านอกจากจะสัมผัสธรรมชาติระหว่างทางแล้ว ยังอาจจะได้เจอกับสัตว์นานาชนิด เช่น นกกะรางหัวหงอก นกกาแวนกวางป่า ตะกอง ไก่ฟ้าพญาลอ ไก่ฟ้าหลังขาว เก้ง เป็นต้น
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่เที่ยวเชิงธรรมชาติสุดฮิตด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติไม่ว่าจะฤดูกาลไหนๆ ที่นี่ก็เป็นจุดเช็คอินที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเท่องเสมอมา และหนึ่งในกิจกรรมที่ห้ามพลาดของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ คือการเดินป่าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติของพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยเส้นทางเดินป่าระยะสั้นๆ แบบไม่ค้างคืน ทั้งหมด 7 เส้นทาง ซึ่งใช้วันว่างเพียงแค่ครึ่งวัน พร้อมอุปกรณ์เดินป่าแบบง่ายๆ ก็สามารถผจญภัยได้แล้ว ตลอดเส้นทางส่วนใหญ่เต็มไปด้วยธรรมชาติและความงดงามของนิเวศป่าไม้ สัมผัสความชุ่มฉ่ำเย็นของสายน้ำตกในป่า ความกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ย่อมก่อให้เกิดความหลากหลายของสัตว์ป่าและพันธุ์พืช แต่ละเส้นทางมีเสน่ห์ต่างกัน โดยมีสัญลักษณ์ระบุเส้นทางเดินเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการเดินออกนอกเส้นทาง ผู้ที่เริ่มต้นเดินป่าและผู้ที่สนใจเรียนรู้เรื่องราวของธรรมชาติสามารถเดินได้ด้วยตนเอง แต่บางเส้นทางก็ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนำทาง เส้นทางศึกษาธรรมชาติที่นี่สามารเดินชมได้ตลอดทั้งปี
แก่งส้มแมว พื้นที่แห่งความสมบูรณ์ทางระบบนิเวศของป่าเบญจพรรณ จึงได้กลายมาเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร และเป็นพิดกัดเล่นน้ำคลายร้อนแลนด์มาร์กของราชบุรี ตั้งอยู่ในพื้นที่ศูนย์ศึกษาพรรณไม้ป่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ของกรมอุทยานแห่งชาติ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีลำน้ำใหญ่หรือลำน้ำภาชีที่ไหลผ่านโขดหินน้อยใหญ่ มีลักษณะเป็นเกาะแก่ง บวกกับน้ำใสและไม่แรง สามารถลงเล่นน้ำได้สบายใจ หรือจะมานั่งจุ่มเท้าแช่น้ำเย็นก็ได้ ถือเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ชิลล์มาก ที่นี่จะมีบริเวณลานกางเต็นท์ให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่มานอนชมธรรมชาติ อากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี นอกจากนี้แก่งส้มแมวยังมี นกยูง ที่อยู่กลางธรรมชาติมาเดินอวดโฉมหากินในตอนเช้าตรงบริเวณลานกางเต็นท์และพื้นที่อื่นๆ ถ้าใครไปเจอก็สามาถเดินเล่นกับน้องและถ่ายรูปคู่ด้วยได้ แต่อย่าเดินจู่โจมหรือส่งเสียงดังจนเป็นการรบกวนเพราะอาจจะทำให้นกยูงตกใจได้ และถ้าโชคดีก็มีโอกาสที่น้องจะรำแพนสวยๆ ให้ได้ชมความสวยงามกันด้วยนะ
เส้นทางศึกษาธรรมชาติทุ่งโปรงทอง จังหวัดระยอง เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่มีพื้นที่มากกว่า 6,000 ไร่ ก่อนที่ทุ่งโปรงทองจะอุดมสมบูรณ์แบบปัจจุบันนี้ ทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณนี้ได้ถูกทำลาย และสิ่งแวดล้อมป่าชายเลนเคยเสื่อมโทรมมาก่อน ต่อมาชาวบ้านในพื้นที่ก็ช่วยกันฟื้นฟูทุ่งโปรงทองแห่งนี้และร่วมกันรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อมเพื่อพัฒนาเป็นป่าชายเลนขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดระยอง เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และศึกษาเรียนรู้ควบคู่กันไป โดยสร้างสะพานเดินศึกษาธรรมชาติเป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรขึ้น จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจในเรื่องระบบนิเวศน์ของป่าชายเลน ได้เห็นความสวยงามตามธรรมชาติของป่าโกงกาง ไม้โปรง และไม้ริมชายฝั่ง ใครที่เคยคิดว่าป่าชายเลย แดดร้อนไม่น่าเที่ยว บอกเลยว่าที่นี่สวยและอุดมสมบูรณ์มากๆ ระหว่างทางจะได้พบพันธุ์ไม้นานาชนิด ที่ติดป้ายบอกไว้ให้ได้ศึกษาเรียนรู้มากมาย เช่น ต้นลำพู ต้นแสม ต้นโกงกาง ต้นตะบูนดำ โปรงแดง โปรงทอง แสงแดดที่ส่องกระทบลงมาสีเขียวอ่อนของต้นโปรงทำให้มองเห็นเป็นสีทองล้อมรอบตัวเรา เห็นแล้วลืมอากาศร้อนๆ ไปเลยล่ะ
อุทยานเขาแหลมหญ้า เส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ระหว่าง 2 ข้างทางเป็นทั้งวิวภูเขาและวิวทะเล ทั้งยังเป็นจุดชมวิวสวยของจังหวัดระยองอีกด้วย สำหรับเส้นทางศึกษาธรรมชาติตลอดเส้นทางจะได้สัมผัสกับธรรมชาติหลากหลายชนิด ชมธรรมชาติ ทุ่งหญ้าที่ตั้งอยู่ปลายเขา ค่อยๆ เดินชมวิวไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่สภาพป่าดิบแล้ง ป่าทุ่งหญ้า ป่าชายหาด ไปจนถึงระบบนิเวศชายฝั่ง สภาพเส้นทางค่อนข้างขรุขระ ช่วงท้ายเส้นทางบริเวณชายฝั่งค่อนข้างลื่น เพราะต้องลัดเลาะตามโขดหิน เด็กและคนชราต้องใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมาก สิ่งสำคัญของการเดินทางในเส้นทางศึกษาธรรมชาติคือไม่เดินออกนอกเส้นทาง ไม่ส่งเสียงดังรบกวน ไม่ทิ้งขยะ ขีดเขียนทำลายหรือเก็บพันธุ์ไม้ หิน ปะการังต่างๆ ออกนอกพื้นที่ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีไฮไลท์สำคัญ ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนอุทยานเขาแหลมหญ้า นั่นก็คือหอคอยสีขาวริมทะเล จุดนี้สายถ่ายรูปต้องมาเลยเพราะสีฟ้าน้ำทะเลตัดกับท้องฟ้าสวยงามมาก และยังมีวิวด้านหลังเป็นเกาะเสม็ดอีกด้วย และอีกหนึ่จุดแลนด์มาร์คเขาแหลมหญ้าเลยนั่นก็คือ Sky walk เดิมชมน้ำทะเลใสๆ พร้อมถ่ายรูปชิคๆกลับไป
กิ่วแม่ปาน อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตรง กม.ที่ 42 เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้นมีลักษณะการเดินเป็นวงรอบยาวประมาณ 3.2 กม. ใช้เวลาในการเดิน 2-3 ชม. เส้นทางเดินมีทั้งเดินขึ้นเขา ลงเขา และพื้นราบผ่านป่า มีทั้งหมด 15 สถานีด้วยกัน ไฮไลท์เด่นๆ จะเป็นจุดที่ 2 น้ำตกลานเสด็จ จุดที่ 7 ทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ จุดที่ 8 จุดชมวิวทิวทัศน์ จุดที่ 9 ผาแง่มน้อย จุดที่ 10 กวางผา จุดที่ 11 กุหลาบพันปี และจุดที่ 12 ที่นี่กิ่วแม่ปาน การเดินจะเดินเป็นวงกลมมาจบที่จุดเริ่มต้นสุดท้ายจะวกกลับมาบรรจบกับทางเดินที่เดินเข้ามาครั้งแรก ตลอดเส้นทางเดินที่ผ่านแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ช่วงแรกเป็นป่าดิบชื้นมีมอส และเฟิร์นขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นตามลำต้นของไม้ใหญ่ และจะได้พบกับน้ำตกลานเสด็จน้ำตกงามท่ามกลางป่าเขาที่เป็นเสมือนประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ หลังจากผ่านดงทึบของป่าดิบเขา จะเข้าสู่ช่วงของทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่คอยเปลี่ยนสีจากสีเขียวขจึในช่วงหน้าฝนสลับกับสีน้ำตาลอ่อนในช่วงหน้าร้อน มีความสวยงามคนละเเบบ เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีธรรมชาติที่หลากหลาย อุดมสมบูรณ์ และสวยงาม อากาศดีตลอดทั้งปี ถ้ามาในจังหวะที่ดีก็จะได้เจอทะเลหมอกและกุหลาบพันปีพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งที่ถือเป็นจุดเด่นของเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานแห่งนี้เลย สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการไปเที่ยวชมคือเดือนพฤศจิกายน – พฤษภาคม และในช่วงเดือนมิถุนายน – ตุลาคม เส้นทางนี้จะปิดให้บริการ เพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัว
บ่อน้ำพุร้อนฝาง ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก บริเวณโซนบ่อน้ำร้อนตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปรอบๆ ภายในบริเวณพื้นที่ที่กว้างใหญ่กว่า 10 ไร่ ประมาณ 30-80 องศาเซลเซียล ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติฯ ได้พัฒนาพื้นที่ให้มีความสวยงามเข้ากับธรรมชาติ จัดให้มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเดินขึ้นเขา ป่าเบญจพรรณมาถึง ยังบ่อน้ำพุร้อน มีระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร โดยทำทางเดินด้วยแนวหิน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดิน เข้าไปชมบ่อน้ำพุร้อนได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งบ่อน้ำพุร้อนบางบ่อก็มีขนาดใหญ่ บางบ่อมีขนาดเล็ก บางบ่อที่มีอุณหภูมิสูงถึงขนาดสามารถต้มไข่จนสุกได้ภายในระยะเวลาแค่ 10-20 นาที และจะมีบ่อใหญ่อยู่หนึ่งบ่อที่จะมี ไอน้ำพุ่งขึ้นสูงกว่า 40-50 เมตร ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่น่าตื่นตาตื่นใจของที่นี่เลยล่ะ นอกจากนี้มาบ่อน้ำพุร้อนฝางทั้งทีก็ต้องไม่พลาดนั่งแช่น้ำร้อนและอาบน้ำแร่ว่ากันว่าอุณหภูมิ 40-42 องศา เป็นอุณหภูมิที่พอเหมาะแ แช่แล้วรู้สึกสบายตัว เลือดลมหมุนเวียน ช่วยให้ผ่อนคลาย
เส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยว มีความโดดเด่นในฐานะแหล่งท่องเที่ยวนิเวศวัฒนธรรมที่ผสมผสานธรรมชาติอันสวยงาม คุณค่าของระบบนิเวศป่าต้นน้ำ และวัฒนธรรมอัตลักษณ์ของชุมชนชาวปกาเกอะญอบ้านแม่กลางหลวง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คนอยู่กับป่า รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยวแห่งนี้ ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร บนเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยว เป็นป่าดิบเขาระดับล่างที่อุดมสมบูรณ์ ผ่านน้ำตกผาดอกเสี้ยวและลำธารที่สวยงาม นาขั้นบันไดสะท้อนวิถีชุมชน ไปสิ้นสุด ณ หมู่บ้านแม่กลางหลวง ซึ่งเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยวมีความอุดมสมบูรณ์หลากหลายไปด้วยพรรณไม้ จุดเด่นของเส้นทางศึกษาธรรมชาติแห่งนี้ คือ น้ำตกผาดอกเสี้ยว หรือน้ำตกรักจัง มีทั้งหมด 10 ชั้น ชั้นที่โดดเด่นสวยงามกว่าชั้นอื่น ๆ คือ ชั้นที่ 7 (มีความสูงประมาณ 20 เมตร) สำหรับชื่อน้ำตกรักจัง นั้นเรียกตามชื่อภาพยนตร์ดังที่เคยมาถ่ายทำที่น้ำตกแห่งนี้ การเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยว จะต้องมีผู้นำทางเฉพาะถิ่น 1 คน ซึ่งก็คือคนในชุมชนผู้รู้เรื่องท้องถิ่นเป็นอย่างดี
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 8 เส้นทางศึกษาธรรมชาติ เดินทางท่ามกลางป่าเขาเขียวขจี สายลุยห้ามพลาด! เอาใจสายธรรมชาติต่อกับ 9 อุทยานแห่งชาติ ใกล้กรุงเทพ เที่ยวธรรมชาติบำบัดใจ หนีฝุ่น PM2.5 และคนรักทะเลไม่ควรพลาด 8 เกาะภาคใต้ ทะเลสวยฉ่ำ ซัมเมอร์นี้ต้องไป!