ทริปญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน แพลนเที่ยวเอง ด้วยงบ 10,000 เดียว!
20,219 ครั้ง
3 มี.ค. 2566
20,219 ครั้ง
3 มี.ค. 2566
ประเทศญี่ปุ่น จุดหมายปลายทางของการไปเที่ยวของใครหลายๆ คน เมืองในฝันที่มีแหล่งท่องเที่ยว อาหาร วิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ อีกทั้งยังเป็นประเทศที่สามารถเดินทางได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน วันนี้ทริปเก็ทเตอร์จะพาเพื่อนๆ ไปทริปญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน แพลนเที่ยวเอง ด้วยงบ 10,000 เดียว! ที่จะพาไปตะลุยโตเกียว เที่ยวแบบจุกๆ กันให้เต็มอิ่ม ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ตามไปกันเลย!
เราเริ่มต้นการเดินทางด้วยการมาขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเราบินไฟลท์ 10.45 น. ตามเวลาไทย ระหว่างรอขึ้นเครื่อง เราก็ลงทะเบียนและกรอกข้อมูลการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นผ่านเว็บไซต์ www.vjw.digital.go.jp/main/ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของ ตม. ประเทศญี่ปุ่น เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการผ่าน ตม. โดยจะต้องกรอกข้อมูลทั่วไป ข้อมูลของศุลกากร รวมทั้งเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนแบบสากลด้วย (สามารถศึกษาหรือดูคำอธิบายการกรอกข้อมูลได้ในนี้เลย https://vjw-lp.digital.go.jp/en/ )
ใช้เวลาเดินทางราวๆ 6 ชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะ และเมื่อถึงแล้วก็เดินตามทางผ่านด่านคัดกรองของ ตม. เข้ามาได้เลย ด้วยความที่เรากรอกข้อมูลมาก่อนแล้วในเว็บไซต์ เราเลยใช้เวลาไม่นาน จากนั้นก็เดินมาขึ้นรถไฟฟ้าเข้าโตเกียวกันต่อ ทางไปสถานีรถไฟฟ้าของที่นี่ตั้งอยู่ภายในสนามบินเลย เดินมาได้แบบสบายๆ
การเดินทางเข้าโตเกียวในทริปนี้ เราเลือกนั่งรถไฟสาย Keisei Narita Skyaccess ราคาอยู่ที่คนละ 1,350 เยน และสามารถกดตั๋วโดยสารได้จากตู้ทางเข้าสถานีได้เลย สะดวกมากๆ
ตามสถานีจะมีแผนผังเส้นทางรถไฟสายต่างๆ ให้ดูอีกด้วย วิธีดูก็คือเพียงแค่เรามองหาสถานีที่เราอยู่และสถานีปลายทางที่เราจะไป ก็สามารถดูแบบเข้าใจได้ง่ายๆ
แอบกระซิบหน่อยว่า ขบวนรถไฟแต่ละสายของญี่ปุ่นอาจจะมีใช้ชานชาลาเดียวกันอยู่บ้าง วิธีเช็คง่ายๆ ว่า ขบวนที่เราจะต้องขึ้นมาถึงเมื่อไหร่ สามารถดูจากป้าย LED ที่ชานชาลาได้เลย รถไฟแต่ละขบวนมาตรงเวลาเป๊ะ!
ใช้เวลาเดินทางราวๆ 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงสถานี Shimbashi เพื่อเปลี่ยนรถไฟฟ้าเป็นสาย Yurikamome เข้าไปยังที่พักในคืนแรก ราคาอยู่ที่ 390 เยนเท่านั้น
นั่งรถไฟฟ้ามาถึงสถานี Shijō-mae แล้วเดินต่ออีกหน่อย ก็ถึง HOTEL JAL CITY TOKYO TOYOSU ที่พักของเราในคืนแรกแล้ว การเช็คอินก็แสนจะง่ายดาย เพียงแจ้งพนักงานพร้อมกับแนบพาสสปอร์ตเท่านั้น
ภายในห้องพักของที่นี่มีกว้างขวางเฟอร์นิเจอร์อำนวยความสะดวกครบ ไม่ว่าจะเป็นไดร์เป่าผม ทีวี เครื่องชงกาแฟ แถมยังมีชุดนอน และสเปรย์ฉีดเสื้อผ้าให้ด้วย เท่านั้นยังไม่พอ เพราะยังแบ่งสัดส่วนของห้องได้อย่างดี และที่เราชอบมากที่สุดเลยก็คือห้องน้ำ เพราะเค้าจะแบ่งเป็นห้องอาบน้ำที่มีอ่างขนาดกำลังพอดีให้ได้แช่น้ำอุ่น และห้องชักโครก ซึ่งชักโครกจะเป็นระบบอัตโนมัติด้วยแหละ
เก็บกระเป๋า นั่งพักกันเรียบร้อย ด้วยความที่นั่งเครื่องกันมาทั้งวัน บวกกับยังไม่ได้กินข้าว เราก็เลยออกมาหาร้านอาหารใกล้ๆ กับที่พัก เปิดแมพแล้วก็เดินตามทางมาเรื่อยๆ จนถึงแยก Toyosu ต้องบอกเลยว่าแยกนี้มีร้านอาหารให้เลือกเพียบ แถมยังมีร้านสะดวกซื้ออยู่แทบทุกมุมเลยด้วย
เดินเลือกได้สักพัก เราก็มาเจอร้าน NAKAU ซึ่งเป็นร้านอาหารที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเลยด้วย แถมเมนูยังมีให้เลือกเพียบ การสั่งอาหารก็สะดวกมากๆ เพราะเราสามารถเลือกอาหารและกดสั่งจากตู้อัตโนมัติได้เลย เมื่ออาหารได้แล้ว ก็ไปรับที่เคาน์เตอร์ได้เลย ส่วนเมนูที่เราเลือกก็คือราเม็ง ท็อปด้วยเต้าหู้ทอด กินคู่กับน้ำมันงาพริก ราคาอยู่ที่ 560 เยน บอกเลยว่าอร่อยมาก!
เช้าวันที่ 2 มาแล้ว เราก็ลุยกันเลย! เริ่มจากเอากระเป๋าเดินทางไปฝากไว้ที่ล็อคเกอร์ที่อยู่ในสถานีรถไฟฟ้ากันก่อน ราคาก็จะมีทั้งแบบเหมารายวันและรายชั่วโมง ตั้งแต่ 400, 500 และ 700 เยน กระเป๋าเล็ก กระเป๋าใหญ่ก็ใส่ได้แบบสบายๆ แถมล็อคเกอร์ฝากกระเป๋ายังมีอยู่ในสถานีรถไฟฟ้าทุกสถานีอีกด้วย เรียกได้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนก็หายห่วงเรื่องกระเป๋าเดินทางได้เลย
พอเอากระเป๋าใส่ล็อคเกอร์ จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้ใบเสร็จที่มีรหัสตอนเปิดตู้มาด้วย เราก็เพียงแค่เก็บใบเสร็จไว้ เที่ยวเสร็จแล้วก็กลับมาเปิดได้เลย
สถานที่แรกที่เรามาเช็คอิน นั่นก็คือ teamLab Planets TOKYO พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่สุดอาร์ตที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องห้ามพลาด ซึ่งเดินมาได้จากโรงแรมที่เราพักเพียง 10 นาทีเท่านั้น หรือถ้ามาจากโตเกียวก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าสาย Yurikamome Line ไปลงที่สถานี Shin-Toyosu ได้เลย ซึ่งพิพิธภัณฑ์จะอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า ความโดดเด่นของ teamLab Planets TOKYO อยู่ที่งานศิลปะส่วนใหญ่จะเป็นการออกแบบและวาดภาพจากสื่อดิจิทัล อีกทั้งแนวคิดยังเป็นการเน้นเพื่อให้ผู้เข้าชมกลมกลืนเข้าสู่โลกที่เป็นหนึ่งเดียวแห่งศิลปะ
ในการเข้าชมครั้งนี้ เราซื้อบัตรออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ teamlabplanets.dmm.com มาก่อน เมื่อถึงด้านหน้าอาคารจัดแสดงก็เพียงแค่โชว์คิวอาร์โค้ดได้เลย หรือสำหรับใครที่ไม่ได้ซื้อบัตรออนไลน์มาล่วงหน้าก็สามารถซื้อได้ที่จุดจำหน่ายตั๋วด้านหน้าอาคารได้เลย ราคาอยู่ที่คนละ 3,200 เยน
งานนิทรรศการของ teamLab Planets TOKYO จะมีทั้งหมด 7 นิทรรศการ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ water area ที่จะอยู่ในตัวอาคารทั้งหมด เราต้องเดินเท้าเปล่า รวมทั้งเดินลุยน้ำ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์จะมีกางเกงขาสั้นให้บริการยืมเปลี่ยนฟรีและตู้ล็อคเกอร์ให้ฝากของ และ garden area ที่จะเป็นโซนแบบเอาท์ดอร์
นิทรรศการแรกก็คือ Waterfall of Light ทางเดินที่เป็นธารน้ำลาดเอียงสู่สายน้ำที่ไหลอย่างไม่ขาดสายด้านบน โดยนิทรรศการนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากน้ำตกในภูเขาที่ชิโกกุ (Shikoku) ไฮไลท์ของ Waterfall of Light ก็คือจะใช้แสงส่องไปที่สายน้ำ เพราะสายน้ำไหลสู่ที่พื้นทางเดินจะแตกตัวออกเป็นอนุภาคเล็กๆ เมื่อแสงกระทบกับอนุภาคในสายน้ำก็จะเห็นเป็นพื้นเส้นทางเดินที่เหมือนกับทางเดินแห่งแสงนั่นเอง
นิทรรศการถัดมาจะพาให้เราไปสนุกท้าทายพร้อมกับหันกลับมาให้ความสำคัญกับร่างกายและน้ำหนักตัวของเราเองอย่าง Soft Black Hole เพราะห้องจัดแสดงนี้เราจะต้องเดินบนพื้นผิวที่ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนไปตามน้ำหนักของเราและคนที่เดินผ่าน เมื่อเราก้าวลงไปที่พื้น เท้าเราก็จะจมลงไปเหมือนกับหลุมดำที่ดูดมวลสาร และก็จะทิ้งสภาพไว้แบบนั้นให้กับคนที่เดินตามหลังเรามา นิทรรศการนี้จะทำให้เรากับคนอื่นๆ ทั้งก่อนหน้าและตามหลัง สัมผัสได้ถึงมวลกายของกันและกันนั่นเอง
เดินลุยหลุมดำมาแล้ว ก็จะพบกับแสงสว่างสุดอลังการอย่างนิทรรศการ The Infinite Crystal Universe ที่จะทำให้เราเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในจักรวาลแห่งคริสตัลส่องสว่าง ความโดดเด่นของนิทรรศการนี้ก็คือภายในห้องจะเต็มไปด้วยแสงจุดเล็กๆ นับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน และเมื่อแสงเหล่านั้นกระทบกับกระจกที่ติดอยู่ทั้ง 360 องศา จึงทำให้คริสตัลเหล่านี้กระพริบและเคลื่อนที่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย
มาต่อกันกับนิทรรศการ Drawing on the Water Surface Created by the Dance of Koi and People – Infinity ที่มีความพิเศษคือทั้งห้องจะเป็นพื้นที่ของน้ำ และมีภาพวาดที่ใช้สื่อดิจิทัลฉายลงบนผิวน้ำเป็นลวดลายต่างๆ อย่างปลาคาร์ปที่แหวกว่ายไปมาและแตกกระจายออกเป็นกลีบดอกไม้ในฤดูกาลต่างๆ เมื่อว่ายมาถูกตัวเรา
ตรงมุมของห้องก็จะมี Matter is Void – Fire ที่เป็นภาพของเปลวไฟที่ลุกโชน พร้อมกับภาพสะท้อนบนผิวน้ำ บอกเลยว่ามุมนี้ถ่ายรูปสวยสุดๆ
ห้องนิทรรศการถัดมาก็คือ Expanding Three-Dimensional Existence in Transforming Space – Free Floating, Flattening 3 Colors and 9 Blurred Colors ซึ่งจะเป็นห้องที่เต็มไปด้วยบอลลูนขนาดใหญ่มากมายที่พร้อมจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ เมื่อถูกสัมผัสหรือเคลื่อนย้าย ในจังหวะที่บอลลูนกำลังเปลี่ยนไล่ระดับสี บอกเลยว่าสวยมากๆ เแถมรูปที่ถ่ายออกมาดูมีมิติสุดๆ ไปเลย
นิทรรศการห้องสุดท้ายของ water area นั่นก็คือ Floating in the Falling Universe of Flowers นิทรรศการที่เราสามารถนั่งพัก รวมทั้งนอนปล่อยใจใช้เวลาสบายๆ ล่องลอยไปกับภาพวาดดิจิทัลของเหล่ากลีบดอกไม้ที่ลอยฟุ้งกระจายอยู่ทั่ว จนเหมือนกับว่าเราหลุดเข้ามาอยู่ในจักรวาลแห่งดอกไม้กันเลยทีเดียว
สวมถุงเท้าและแจ็คเกท ก็มาต่อกันกับการจัดแสดงในส่วนของ garden area ซึ่งจะเป็นโซนแบบโอเพ่นแอร์ และนิทรรศการแรกของโซนนี้ก็คือ Moss Garden of Resonating Microcosms – Solidified Light Color, Sunrise and Sunset ที่ยกเอาเรือนกระจกพร้อมกับเนินดินที่มีมอสปกคลุมอยู่ทั่ว ซึ่งจะมีวัตถุรูปทรงไข่ตั้งอยู่ ซึ่งวัตถุนี้จะสามารถส่งเสียงและเปล่งเสียงต่อๆ กันได้เมื่อถูกสัมผัสหรือมีการขยับ
นิทรรศการสุดท้าย ซึ่งที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์นั่นก็คือ Floating Flower Garden: Flowers and I are of the Same Root, the Garden and I are One ที่จะพาทุกคนตื่นตาตื่นใจไปกับกล้วยไม้นับร้อยที่ลอยกระจายอยู่ทั่วทั้งสวน แถมกล้วยไม้แต่ละต้นก็ต่างพากันออกดอกที่มีสีสันแตกต่างกันออกไป เหมือนอยู่ในโลกเทพนิยายสุดๆ
* เวลาที่เปิดพิเศษ:
วันจันทร์ ที่ 20 มีนาคม, วันพุธ ที่ 22 มีนาคม – วันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม เวลา 9:00 – 21:00 น.
วันเสาร์ ที่ 25 มีนาคม – วันอาทิตย์ ที่ 2 เมษายน, วันเสาร์ ที่ 29 เมษายน – วันอาทิตย์ ที่ 30 เมษายน เวลา 9:00 – 22:00 น.
* รอบสุดท้ายเปิดให้เข้าชมก่อนปิด 1 ชั่วโมง
ท่องโลกงานศิลปะกันพักใหญ่ ก็ได้เวลากลางวันพอดี เราออกจาก teamLab Planets TOKYO แล้วมาหาอะไรกินกันต่อ เดินเรื่อยๆ ชมวิวเมืองไป ถ่ายรูปตามทางไปเรื่อยๆ
ฝาท่อน่ารักมากๆ เป็นรูปดอกซากุระด้วย
เดินมาเรื่อยๆ และหาร้านอาหารกันอยู่สักพัก ก็มาสะดุดตากับร้านเล็กๆ ร้านนี้ที่มีคนต่อคิวเข้าร้าน ด้วยความอยากลอง เราก็เลยต่อคิวฝากท้องกันสักหน่อย
ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่น ที่จะมีเพียง 4 โต๊ะ อีกทั้งเมนูก็เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดเลยด้วย แต่โชคดีตรงที่ทางร้านมีเซ็ตอาหารขาย เราก็เลยลองสั่งสุ่มๆ เป็นเซ็ต A ไป และนี่ก็คืออาหารที่เราได้ ทั้งอิ่ม ทั้งอร่อย ราคาอยู่ที่ 650 เยน
เติมพลังกันเรียบร้อย เราก็ออกจากเขตโคโต (Koto) แล้วเข้ามาเช็คอินโรงแรมในคืนที่ 2 กันก่อน ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นจะให้เช็คอินหลังเวลา 15.oo น. เป็นต้นไป ซึ่งเราพักที่ APA Hotel Hatchobori-Eki Minami ที่ตั้งอยู่ใกล้กับย่านกินซ่า (Ginza) แถมยังอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าอีกด้วย
ด้วยความที่เรามากันแค่ 2 คน เราก็เลยเลือกจองห้องที่ไม่ได้ใหญ่มาก ต้องบอกเลยว่าถึงห้องจะมีขนาดที่พอดี แต่เฟอร์นิเจอร์ สิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งห้องน้ำทั้งครบและสะดวกมากๆ มีทั้งไดร์เป่าผม อ่างอาบน้ำ รวมทั้งชุดนอนให้ด้วย ช่วงที่เราจอง เราได้ห้องพักในราคาประมาณ 2,800 บาทเท่านั้น
เช็คอิน เก็บกระเป๋ากันเรียบร้อย เราก็ออกมาเที่ยวกันต่อ โดยมีจุดหมายก็คือ Tokyo tower อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นและกรุงโตเกียว
Tokyo Tower ถือเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูเมืองโตเกียวหลังจากสิ้นสุดสงคราม อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจและอิทธิพลด้านเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย โดยตัวหอคอยมีความสูงถึง 333 เมตร ซึ่งเป็นทั้งจุดถ่ายรูป หอชมวิว แหล่งรวมร้านอาหาร และเป็นแหล่งช้อปปิ้งอีกด้วย
ด้วยความที่มาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก เราก็เลยถ่ายรูปเช็คอินกันสักหน่อย
เดินผ่าน Tokyo มาเรื่อยๆ เราก็จะพบกับวัดโซโจจิ (Zojoji) วัดสำคัญและเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของโตเกียว และจากด้านหน้าของวิหารจะสามารถมองเห็น Tokyo tower ตั้งเป็นฉากหลังซ้อนกับวิหาร เป็นภาพของความเก่าแก่ที่ผสมผสานกับความเป็นสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ด้านหน้าของวัดโซโจจิยังเป็นที่ตั้งของประตูซังเกดัตสึมง (Sangedatsumon) ซุ้มประตูเก่าแก่ที่สะท้อนถึงศิลปะงานพุทธศิลป์แบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ทั้งยิ่งใหญ่และสวยงามมากๆ
เดินผ่านซุ้มประตูซังเกดัตสึมงออกมา เดินเล่นชมวิวเมืองตามทางไปเรื่อยๆ ก็บังเอิญเดินมาจนถึงศาลเจ้าชิบะไดจิงกู (Shiba Daijingu) ศาลเจ้าขนาดกลางที่ตั้งอยู่บนเนินเล็กๆ ประดับประดาด้วยโคมไฟสว่างไสว พร้อมกับมีเสาโทริอิ (Torii) ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณบันไดขึ้นศาลเจ้า
ว่าแล้วก็ไม่รอช้า เดินเข้ามาขอพรศาลเจ้ากันสักหน่อย วิธีไหว้ก็ไม่ยาก เพียงโยนเหรียญ (ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้เหรียญ 5 เยน) ลงในกล่องไม้ จากนั้นก็ก้มคำนับ 2 ครั้ง ปรบมืออีก 2 ครั้ง แล้วก็ขอพรได้เลย แอบกระซิบว่าศาลเจ้าชิบะไดจิงกุแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ขอพรด้านความรักของชาวญี่ปุ่นอีกด้วยนะ
ขอพรกันเรียบร้อยก็เดินกลับมาแถวๆ Tokyo tower เพื่อจะมาตามหามุมถ่ายรูปสุดฮิตกันต่อ
เดินวนอยู่ได้สักพัก เราก็เจอมุมถ่ายรูปนั้น! และบอกเลยว่าไม่ได้มีแค่เราเท่านั้นที่ตามหา เพราะบริเวณจุดถ่ายรูปที่ว่ามีคนมารอต่อคิวค่อนข้างเยอะ แถมยังมีทั้งคนญี่ปุ่น เกาหลี รวมทั้งจีนด้วย และนี้ก็คือภาพที่เราได้มา!
มุมนี้ก็เป็นอีกมุมสวยของ Tokyo tower ซึ่งจะอยู่อีกฟากจากมุมถ่ายรูปแรกที่ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ
ได้รูปสวยๆ ไว้อัปลงโซเชียลแล้ว เราก็เดินเล่นมาเรื่อยๆ จนถึงย่าน Ginza แหล่งช้อปปิ้งชื่อดังอีกย่านหนึ่งของโตเกียว ซึ่งได้รวมเอาของแบรนด์ยอดนิยมมากมายมาไว้ในย่านเดียวกันหมด บอกเลยว่าสีสันตระการตา ศิวิไลซ์สุดๆ
เดินเล่นชมบรรยากาศมาเรื่อยๆ จนถึงย่านยูระคุโช (Yurakucho) แหล่งรวมร้านนั่งชิลล์ของชาวโตเกียว เรียกได้ว่าสายชิลล์คนไหนมาเที่ยวโตเกียว ต้องแวะมาที่นี่ให้ได้ เพราะย่านยูระคุโช มีร้านอิซากายะ ที่เป็นร้านนั่งดื่มแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เพียบ
ย่านนี้คึกคักแบบสุดๆ สังเกตได้จากจะมีกลุ่มพนักงานออฟฟิศเดินหาร้านนั่ง และเดินออกมาจากร้านต่างๆ อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ปิดท้ายวันด้วยการมาหาร้านอาหารราคาเบาๆ ในย่านชินจูกุกับร้าน Hidakaya ร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ กับที่พักของเรา ตัวร้านอาจจะดูเล็กๆ แต่ภายในร้านมีลูกค้าเพียบ โต๊ะแทบจะเต็มเกือบทุกโต๊ะเลย
เช้าวันที่ 3 ก่อนไปเที่ยวกันต่อ เราแวะมานั่งเสพบรรยากาศในช่วงเช้ากันที่คาเฟ่ใกล้ๆ โรงแรม ซึ่งคาเฟ่นี้ก็ชื่อว่า CAFE ต้องบอกเลยว่าคาเฟ่นี้น่ารักมากๆ นอกจากจะสงบแล้ว การตกแต่งร้านยังเน้นความเรียบง่าย มินิมอลอีกด้วย
เมนูที่เราสั่งก็คืออเมริกาโน่ร้อน แก้วละ 450 เยน อเมริกาโน่เย็น ราคา 450 เยน และเค้กแครอท ราคา 600 เยน
พักกินกาแฟกันแล้วเราก็เช็คเอาท์และฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีรถไฟฟ้า จากนั้นก็พุ่งไปที่แหล่งของกินชื่อดังกันที่ Tsukiji outer market หรือตลาดปลาสึกิจิ สถานที่ในฝันของสายอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมนูอาหารทะเลและซาชิมิ บอกเลยว่าไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวที่นิยมมาที่นี่ แต่ชาวญี่ปุ่นเองก็มาเดินชิมของอร่อยๆ อยู่ไม่น้อยเลย
ภายในตลาดจะเต็มไปด้วยอาหารทะเลสดๆ เพียบ ไม่ว่าจะเป็นปลา หมึก กุ้ง รวมทั้งปู แถมหลายๆ ร้าน ยังแร่เอามาวางขายกันแบบสดๆ ให้ได้ซื้อแล้วยืนกินกันหน้าร้านเลยด้วย
มาทั้งที เราก็เลยลองชิมหอยนางรมสดๆ ในราคา 700 เยน และซาชิมิปลามากุโระ ที่ราคาเพียง 500 เยนเท่านั้น บอกเลยว่าอร่อยมากๆ ไม่คาวเลยด้วย เนื้อปลาหวานสุดๆ ส่วนหอยนางรมก็ฉ่ำไม่แพ้กัน
เดินหาของกินเพลินๆ ก็สะดุดตากับร้านรวมของทะเลย่าง เพราะมีคนต่อคิวยาวสุดๆ ร้านนี้จะมีทั้งกุ้งตัวใหญ่ๆ เนื้อปลาหลากหลายชนิด ท็อปด้วยอูนิสดๆ แล้วเบิร์นด้วยไฟ กลิ่นไม่ต้องพูดถึงเลย หอมสุดๆ เหยาะซอสญี่ปุ่นอีกหน่อย บอกเลยว่าอร่อยมาก แถมร้านนี้เสิร์ฟมาบนเปลือกหอยด้วย ราคาอยู่ที่ 1,500 เยน
กินกันต่อรัวๆ กับอีกหนึ่งร้านเด็ดที่คนเยอะมาก! นั่นก็คือร้านปลาไหลญี่ปุ่นย่าง ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ไม้ใหญ่ ไปจนถึงไม้เล็กๆ สำหรับสายเน้นชิม ราคาก็น่ารักสุดๆ ไม้เล็กจะอยู่ที่ 300 เยนเท่านั้นเอง
นอกจากเหล่าอาหารทะเลสุดหลากหลายรูปแบบแล้ว ภายในตลาดปลายังมีร้านของฝากที่เป็นอาหารทะเลแปรรูปต่างๆ ให้ได้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝากอีกด้วย
สินค้าบางอย่าง ทางร้านก็จัดโปรโมชั่นด้วยนะ อย่างซื้อแถมหรือซื้อเป็นชุด ราคาก็จะถูกกว่า
ก่อนกลับ เราก็ดันไปเห็นร้านขนมไดฟูกุสอดไส้ที่ท็อปด้วยสตรอว์เบอร์รีที่มีคนต่อคิวเยอะ พอๆ กับร้านปลาดิบ เราก็เลยอดใจไม่ไหว ขอต่อแถวลองชิมความอร่อยกกันดูสักหน่อย
เราได้ไดฟูกุไส้มัทฉะมา 1 ชิ้น ราคาอยู่ที่ 400 เยน บอกเลยว่าแป้งอร่อยมาก นุ่มหนึบ แถมสตรอว์เบอร์รีก็ลูกใหญ่ หวานอมเปรี้ยว สดแล้วที่ร้านคนเยอะ
ก่อนขึ้นรถไฟฟ้าไปเที่ยวกันต่อ เราก็แวะมาที่วัด Tsukiji Hongwanji ซึ่งตั้งอยู่ติดกับตลาดปลาเลย สามารถเดินข้ามถนนมาได้แบบสบายๆ ความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของวัดแห่งนี้ก็คือการผสมผสานกันระหว่างพุทธศิลป์แบบญี่ปุ่นและสถาปัตยกรรมพุทธศิลป์แบบอินเดีย ซึ่งถือเป็นความสวยงามที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในประเทศญี่ปุ่น
ไหนๆ ก็มาแล้ว เราก็เลยเข้าไปไหว้พระ ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลกันสักหน่อย การไหว้พระของวัดแห่งนี้คือโยนเหรียญลงในกล่อง แล้วให้หยิบผงเครื่องหอมที่ตั้งอยู่ด้านข้างของกระถางธูป เพื่อโปรยลงในกระถางธูปเพื่อให้ควันหอมฟุ้งออกมา
ก่อนไปเที่ยวกันต่อ เราก็กลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมคืนที่ 2 แล้วนั่งรถไฟฟ้ามาเช็คอินกันที่โรงแรมในคืนที่ 3 ของเรากันก่อน ซึ่งตั้งอยู่ในย่านชินจูกุและสามาถเดินมาจากสถานีรถไฟฟ้า Higashi-Shinjuku ได้เลย นั่นก็คือ Sotetsu Fresa Inn Higashi Shinjuku
เราเลือกห้องพักที่เหมาะสำหรับ 2 คน ขนาดกำลังดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น ทีวี กาน้ำร้อน ไดร์เป่าผม รวมทั้งอ่างอาบน้ำ บอกเลยว่าสะดวกสบายสุดๆ
เรานั่งรถไฟฟ้ามาเที่ยวกันต่อกับสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของโตเกียว นั่นก็คือศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว พร้อมกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่สุดร่มรื่น ด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้าจะเป็นโทริอิ (Torii) สีครีมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งตามความเชื่อของชาวญี่ปุนคือเมื่อเราเดินลอดผ่านเสาโทริอินี้ไป ก็เปรียบได้กับเราได้เข้าสู่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตของเหล่าเทพนั่นเอง
เดินตามทางเดิน ผ่านซุ้มต้นไม้ขนาดใหญ่มาเรื่อยๆ เราก็จะพบกับโคมไฟหินที่ตั้งเรียงกันมากมาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนธาตุทั้ง 5 ของร่ายกายเราเมื่อดับสลายไป อย่าง ดิน น้ำ ลม และไฟ ถือเป็นอีกจุดถ่ายรูปสวนๆ ในศาลเจ้าอีกด้วย
เดินสูดอากาศ ชมความร่มรื่นมาเรื่อยๆ ได้ราว 10 นาที ก็มาถึงด้านหน้าของศาลเจ้าเมจิ ซึ่งจะตั้งอยู่ใจกลางสวนที่รายล้อมไปด้วยความเงียบสงบและต้นไม้ใหญ่ ด้านหน้าจะมีเสาโทริอิอีกหนึ่งเสา ก่อนเข้าสู่ลานกว้างหน้าวิหาร
ถัดมาก่อนเข้าสู่ส่วนของศาลเจ้าชั้นในสุด ก็จะเป็นซุ้มประตูไม้ขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามและประณีตตามแบบของสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่น ด้านหน้าของซุ้มประตูมีต้นสนใหญ่ตั้งตระหง่านให้ร่มเงาอยู่อีกด้วย
เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้าสู่ลานกว้างในศาลเจ้า เราก็จะพบกับต้นไม้ใหญ่ 3 ต้น ขนาบข้างศาลเจ้าอยู่ อีกทั้งยังมีคนจำนวนมากที่แวะเวียนเข้ามาสักการะ ขอพรที่ศาลเจ้า แต่บรรยากาศกลับสงบและเต็มไปด้วยความศรัทธา ซึ่งการไหว้สักการะก็จะปฏิบัติเหมือนกับศาลเจ้าอื่นๆ นั่นก็คือโยนเหรียญ โค้งคำนับ 2 ครั้ง ปรบมือ 2 ครั้ง จากนั้นก็อธิษฐานได้เลย
ด้านข้างของศาลเจ้าก็จะมีจุดจำหน่ายและที่แขวนป้ายอธิษฐานไว้อีกด้วย
นอกจากนี้ระหว่างเดินออกมาจาใจกลางพื้นที่ศาลเจ้า ก็จะมีจุดจำหน่ายเครื่องรางของศาลเจ้าตั้งอยู่ ประเภทของเครื่องรางก็มีให้เลือกมากมายครบและตอบโจทย์ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน การสอบ สุขภาพ ขับขี่ปลอดภัย ครอบครัว ไปจนถึงเรื่องความรักกันเลยทีเดียว ราคาก็จะเริ่มต้นที่ 300 เยน ไปจนถึง 1,500 เยน
ได้ทั้งขอพรและเครื่องรางแล้ว ก็มาเดินเที่ยวกันต่อที่แลนด์มาร์กชื่อดังของญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่งอย่างย่านชิบูย่า (Shibuya) ซึ่งสามารถเดินมาจากศาลเจ้าเมจิได้แบบสบายๆ
ชิบูย่า ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งช้อปปิ้งที่เหล่านักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาสัมผัสถึงบรรยากาศสุดคึกคัก พร้อมกับถ่ายรูปเช็คอินกับตึกที่สว่างไสวมากมาย เรียกได้ว่าถ้ามาญี่ปุ่นทั้งที ก็ต้องแวะมาเช็คอินให้ได้
ไฮไลท์อีกอย่างของชิบูย่าก็คือรูปปั้นฮาจิโกะ เจ้าหมาผู้ซื่อสัตย์ที่มานั่งเจ้าของด้านหน้าสถานีรถไฟอยู่ทุกๆ วัน นานกว่า 9 ปี เมื่อฮาจิโกะตาย ผู้คนก็ได้สร้างรูปปั้นเพื่อสื่อถึงความรักและความซื่อสัตย์นั่นเอง
ปิดท้ายวันด้วยการมาเช็คอินย่านของกินชื่อดังกันที่ย่านโอโมะอิเดะ โยโกะโซ (Omoide Yokocho) ที่ร้านอาหารจะกระจายอยู่ตามตรอกเล็กๆ ในช่วงกลางคืนทั่วทั้งทางเดินเล็กๆ เหล่านี้จะเต็มไปด้วยแสงไฟจากโคม แสงไฟจากเตาปิ้งย่างที่สว่างอยู่ทั่ว อีกทั้งยังคึกคักไปด้วยผู้คนมากมายที่มานั่งกินของอร่อยๆ ตามร้านต่างๆ
เสน่ห์ของร้านอาหารในย่านโอโมะอิเดะ โยโกะโซ ก็คือความดั้งเดิมของร้านนั่งดื่มแบบญี่ปุ่นหรือร้านอิซากายะ (Izakaya) ซึ่งแต่ละร้านจะเป็นร้านเล็กๆ ที่เป็นบาร์ติดกับโต๊ะทำอาหาร แต่ละเมนูก็จะเน้นเป็นอาหารเสียบไม้เสิร์ฟมาบนจานขนาดพอดี บอกเลยว่าแต่ละร้านคนแน่นมากๆ เลยล่ะ
นอกจากบรรดาร้านอิซากายะที่มีให้เลือกเพียบแล้ว ยังมีร้านยากิโทริ (Yakitori) หรือนั่งดื่มที่เป็นร้านปิ้งย่างให้เลือกอยู่เพียบไม่แพ้กัน ไหนๆ ก็มาถึงถิ่นทั้งที เราก็เลยจัดปิ้งย่างกันไปเลย บอกเลยว่าอร่อยมาก เมนูมีให้เลือกเพียบ ทั้งหมู เนื้อ ไก่ รวมทั้งเครื่องเคียงอื่นๆ มื้อนี้เรากินไปทั้งหมด 6,479 เยน
วันสุดท้ายก่อนกลับ เรามาเช็คอินกันในย่านอาซากุสะ (Asakusa) ย่านท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามาที่สถานีอาซากุสะได้เลย เมื่อขึ้นมาจากสถานีเราก็จะมาอยู่ที่แยกที่สามารถมองเห็นตึก Asahi และวิวของ Tokyo Sky Tree ได้อย่างชัดเจนสุดๆ
เดินมาเรื่อยๆ จากแยกไม่ไกลก็จะพบกับประตูคามินาริมง (Kaminarimon) หรือที่หมายความว่าประตูแห่งสายฟ้า เพราะด้านของซุ้มประตูจะมีรูปปั้นเทพเจ้าแห่งสายฟ้าและวายุตั้งอยู่นั่นเอง นอกจากนี้ซุ้มประตูคามินาริมงยังเป็นสัญลักษณ์ของย่านอาซากุสะอีกด้วย
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของประตูคามินาริมง ก็คือโคมสีแดงขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรเขียนไว้ว่าคามินาริมง และระหว่างเดินผ่านโคมยักษ์นี้ อยากให้เพื่อนๆ ลองสังเกตใต้โคมกันดูนะ เพราะจะมีรูปแกะสลักเป็นรูปมังกรอีกด้วย สวยงามสุดๆ
เดินลอดซุ้มประตูมาแล้ว เราก็จะเข้าสู่ถนนนากามิเสะ โดริ (Nakamise – Dori) แหล่งช้อปปิ้งของกิน ของฝากยอดฮิตของทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว โดยถนนสายนี้จะทอดยาวไปจนสุดทางเข้าของวัดเซ็นโซจิ
บอกเลยว่าสองฝั่งทางเดินของกินตระการตาสุดๆ อย่างขนมน่ารักๆ อย่างสตรอว์เบอร์รีเสียบไม้ ที่มีทั้งไดฟูกุ แป้งนุ่มๆ ราคาแค่ 400 เยน เท่านั้น
รวมทั้งขนมอื่นๆ เพียบ ทั้งไอศกรีม ไดฟูกุสตรอว์เบอร์รีฉ่ำๆ สาเกร้อน หรือจะเป็นขนมน่ารักๆ เหมาะกับการซื้อไปเป็นของฝากสุดๆ แถมนอกจากขนมแล้ว ยังมีสินค้าของที่ระลึกอื่นๆ เพียบ ช้อปกันได้แบบเพลินๆ
เดินอยู่เพลินๆ เจอมุมถ่ายรูปเก๋ๆ อดใจไม่ไหว วิ่งเข้าไปถ่ายรูปคู่กับหุ่นสักหน่อย
เดินมาจนสุดถนนนากามิเสะ เราก็จะพบกับซุ้มประตูขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ นั่นก็คือโฮโซมง ซึ่งเป็นซุ้มประตูที่จะนำเข้าสู่พื้นที่ของวัดเซ็นโซจิ (Senso – ji) หรือที่รู้จักกันในชื่อวัดอาซากุสะนั่นเอง ซึ่งวัดแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการอธิษฐานและเสี่ยงเซียมซีแบบสุดๆ ไปเลย
มาถึงวัดเซ็นโซจิทั้งที ไม่รอช้า เราก็ซื้อธูป (400 เยน) เอามาไหว้ขอพรกันเลย หลังจากปักธูปแล้ว เราก็เอามือพัดๆ ให้ควันธูปโดนหัวสักหน่อย ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นที่นิยมอาบควันธูปเพื่อชำระล้างร่างกายจากสิ่งชั่วร้าย ก่อนเข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวิหารกันต่อ
ในวิหารของวัดจะเป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์คันนนที่มีผู้คนมากมายแวะเวียนเข้ามากราบสักการะขอพรกันอย่างคับคั่ง
นอกจากนี้ด้านข้างของวิหารยังมีเจดีย์ 5 ชั้น ศิลปะสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นที่มีความสูงถึง 64 เมตรให้ได้ชมความงามกันอีกด้วย
เดินเที่ยวกันเต็มอิ่มแล้ว ก่อนกลับเราก็เดินมาหาร้านอาหารแถวๆ วัดนั่งกันก่อนที่จะเดินทางไปสนามบิน เราก็มาเจอร้านนี้ ด้วยความที่โมเดลอาหารด้านหน้าร้านน่ากิน เราก็เลยเลือกฝากท้องไว้กับร้านนี้
ภายในร้านบรรยากาศเป็นกันเองสุดๆ ตัวร้านไม่ใหญ่ มีพนักงานที่เป็นคุณป้าและลูกชายที่เป็นเชฟเท่านั้น บอกเลยว่าน่ารักมากๆ
มื้อเที่ยงเราเลือกสั่งเป็นข้าวแกงกะหรี่เนื้อชาบู ราคา 850 เยน และเช็ตข้าวกุ้งเทมปุระ เสิร์ฟพร้อมกับซุปมิโสะ ราคา 1,450 เยน เสิร์ฟมาแบบร้อนๆ ทั้งอิ่ม ทั้งอร่อยเลย
เติมพลังกันแล้ว เราก็เดินทางไปสนามบินนาริตะกัน วิธีการเดินทางก็ง่ายมากๆ เพียงแค่เลือกสถานีปลายทางเป็นสถานีสนามบินนาริตะ (สุดสาย) ได้เลย หรือสามารถแจ้งกับพนักงานขายบัตรโดยสารได้เลย
ทั้งหมดนี้ก็คือทริปญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน แพลนเที่ยวเอง ด้วยงบ 10,000 เดียว! ที่สุดเต็มอิ่มกับการมาญี่ปุ่นมากๆ ทริปเปิดประสบการณ์ที่ทำให้เราได้รู้ว่าโลกภายนอกบ้านเมืองของเราเป็นอย่างไร ได้รู้ว่าการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองในประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องยาก อีกทั้งยังสะดวกสบายกว่าที่เราคิดไว้มากๆ ใครที่กำลังมีแพลนจะออกมาเที่ยวต่างประเทศ มาใช้ชีวิต สูดอากาศดีๆ ต้องมาที่ญี่ปุ่นให้ได้สักครั้ง รับรองต้องหลงรักแล้วอยากกลับมาอีกอย่างแน่นอน
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดทริปญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน แพลนเที่ยวเอง ด้วยงบ 10,000 เดียว! ประมาณคนละ 8,920 บาท (~ 34,810 JPY) *ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไป – กลับ
ค่าที่พักคืนแรก HOTEL JAL CITY TOKYO TOYOSU คนละ 1,900 บาท
ค่าที่พักคืนที่ 2 APA Hotel Hatchobori-Eki Minami คนละ 1,400 บาท
ค่าที่พักคืนที่ 3 Sotetsu Fresa Inn Higashi Shinjuku คนละ 1,602 บาท
(ค่าที่พัก 3 คืน รวมคนละ 4,902 บาท)
ค่ารถไฟฟ้าตลอด 4 วัน รวมคนละ 1,430 บาท ( 5,540 JPY)
ค่าอาหารตลอด 4 วัน รวมคนละ 2,175 บาท (8,425 JPY)
ค่าฝากกระเป๋า รวมคนละ 308 บาท (1,200 JPY)
ค่าเครื่องไหว้ที่วัดและศาลเจ้า 103 บาท (400 JPY)
*อัตราแลกเปลี่ยน 1 THB = 0.26 JPY
**ไม่รวมค่าของฝาก
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ ทริปญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน แพลนเที่ยวเอง ด้วยงบ 10,000 เดียว! ถ้าใครมีแพลนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนี้ ลองเซฟเก็บไว้ดูได้เลย และสำหรับเพื่อนๆ คนไหน กำลังมองหาที่เที่ยวในโตเกียวสวยๆ ล่ะก็ เราขอแนะนำ teamLab Planets TOKYO เปิดโลกศิลปะสุดล้ำแห่งเดียวในโตเกียว!