เชียงรายบริสุทธิ์…สดชื่น แต้ แต้ 4 วัน 3 คืนหนีร้อนไปนอนริมดอย ชิมชาดื่มกาแฟชมงานศิลป์ เสพความสุขฟินๆ ฟีลพักผ่อนแบบ Slow Life
107,247 ครั้ง
30 พ.ค. 2560
107,247 ครั้ง
30 พ.ค. 2560
ช่วงกลางปีแบบนี้หลายคนมักจะวางแผนเที่ยวทะเล ดำน้ำดูปะการัง ใส่บิกินี่เดินเล่นทรายแล้วเก็บทริปเที่ยวเหนือไว้ลุยเที่ยวช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่อันที่จริงแล้วภาคเหนือสามารถเที่ยวได้ทั้งปีเช่นเดียวกับเชียงราย จังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย ที่ไม่ว่าจะฤดูกาลไหนก็เที่ยวได้แบบม่วนๆ เพราะ “เชียงราย บริสุทธิ์ สดชื่น แต้ แต้” มีทั้งธรรมชาติสวยตระการตาให้เราได้มากอบโกยอากาศที่แสนบริสุทธิ์ใส่ปอด หรือจะเข้าวัดทำจิตใจให้ผ่องใส ละกิเลส ข้าวของเครื่องใช้แบรนด์เนม มานุ่งขาวห่มขาวก็สุขใจไม่แพ้กัน ส่วนใครสายกินก็มีร้านอาหาร ร้านคาเฟ่สไตล์คลีนๆ อาหารอินทรีย์ปลอดสารพิษให้เลือกเช็กอินเพียบ! หรือถ้าใครสายฮิป สายอาร์ต จะมาเสพงานศิลปะชั้นครูเพิ่มไอเดียค้นหาแรงบันดาลใจให้กับชีวิตก็ไม่ผิดหวัง
ที่สำคัญยังได้หลีกหนีความวุ่นวายในเมืองกรุงฯ มาสัมผัสวิถีชีวิตแบบ Slow Slow ที่เสมือนได้หยุดเวลาแห่งความสุขให้เดินช้าๆ ตามใจเรา ตามคอนเซ็ปต์ “Recharge Refresh Relax and Art” ที่เชียงราย
Day 1 | วันแรกเราออกเดินทางกันช่วงเช้า นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ มาลงที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.40 ชั่วโมง พอมาถึงเชียงรายเราก็ขอไปสักการะขอพรและชมความสวยงามกันก่อนที่วัดร่องเสือเต้น
เมื่อเข้ามาถึงบริเวณหน้าวัดก็สะดุดตากับอุโบสถสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นไฮไลต์ของวัด วัดนี้สร้างขึ้นโดยศิลปินชาวเชียงราย คุณพุทธา กาบแก้ว หรือสล่านก เป็นศิลปะแบบไทยประยุกต์ ด้านหน้ามีพญานาคขนาดใหญ่ปั้นด้วยลวดลายที่อ่อนช้อย แต่งแต้มสีสันสวยงาม
ภายในอุโบสถมีพระประธานสีขาวมุกองค์ใหญ่เด่นสง่าตัดกับภาพวาดฝาผนังสีน้ำเงินมีลายเส้นที่ชัดเจนสวยงาม สำหรับวัดร่องเสือเต้นเปิดทุกวันตั้งแต่ 7.00 – 20.00 น.
จากวัดร่องเสือเต้นเราเดินทางต่อไปยังวัดห้วยปลากั้งใช้เวลาเดินทางเพียง 10 นาที ผ่านทุ่งนาเข้ามาถึงบริเวณทางเข้าวัด ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาลูกเล็กๆ มีองค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านมองเห็นได้แต่ไกล
และเมื่อเข้ามาด้านในองค์เจ้าแม่กวนอิม เรายังสามารถขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 25 ชมภาพมุมสูงของวัดห้วยปลากั้งได้อีกด้วย ค่าเข้าลิฟต์อยู่ที่ 20 บาทต่อคน
นอกจากจากจะได้ชมบรรยากาศมุมสูงของวัดแล้ว ชั้น 25 ยังมีประติมากรรมปูนปั้นสีขาวที่คุณจะรู้สึกว้าว! เมื่อประตูลิฟต์เปิดขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ
ถัดจากองค์เจ้าแม่กวนอิมเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของวัดนี้คือความสวยงามของพบโชคธรรมเจดีย์ 9 ชั้นที่มีศิลปะการสร้างแบบจีน ภายในมีเจ้าแม่กวนอิมแกะสลักด้วยไม้ให้เราได้เดินชมและกราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
หลังจากสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็แวะไปหาของอร่อยๆ กินให้ชื่นใจกันสักหน่อยที่สวรรค์บนดินฟาร์มแอนด์โฮมสเตย์ ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 10 นาทีก็มาถึง
สวรรค์บนดินฟาร์มแอนด์โฮมสเตย์เปิดให้บริการห้องพักเพียง 3 ห้อง มีบาร์เล็กๆเป็นเพิงกระท่อมให้เราได้นั่งจิบชา กินคุกกี้ ผลไม้ตามฤดูกาลและมีอาหารออร์แกนิกจากพืชผักที่ปลูกในฟาร์มไว้เสิร์ฟ
ให้ความรู้สึกเหมือนมานั่งดื่มชาที่บ้านเพื่อน เพราะคุณโตเจ้าของบ้านต้อนรับอย่างเป็นกันเองมาก แถมยังให้ความรู้จากไอเดียการทำชาที่สกัดจากดอกไม้สมุนไพรต่างๆ
และไม่เพียงแค่อาหารเท่านั้น ที่นี่ยังปั้นดินให้เป็นจาน ชาม ช้อน เครื่องใช้ต่างๆไว้ใช้เองอีกด้วย หากใครสนใจอยากมาเรียนรู้การทำเครื่องปั้นดินเผาก็โทร. ติดต่อสอบถามล่วงหน้ากันได้เลยที่เบอร์ 081 205 3554 หรือถ้าใครอยากมาซึมซับบรรยากาศการพักผ่อนแบบสโลว์ไลฟ์สักคืน ตื่นเช้าเก็บผักมาปรุงอาหารก็ได้ฟีลพักผ่อนไปอีกรูปแบบหนึ่ง
เดินชมสวน ชมไร่ จิบชา กินคุกกี้คุกกี้ที่สวรรค์บนดินฟาร์มกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อไปยังพิพิธภัณฑ์บ้านดำเพื่อชมงานศิลปะชั้นครูที่รังสรรค์ขึ้นโดยอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ผู้มีฝีมือทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรมที่ฝากผลงานไว้มากมายให้เราได้ชม
บ้านดำสร้างแบบศิลปะล้านนา บ้านทุกหลังถูกทาด้วยสีดำ ซึ่งเป็นสีที่อาจารย์ถวัลย์ชื่นชอบเป็นพิเศษและในบ้านแต่ละหลังยังประดับไปด้วยไม้แกะสลัก เขาสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเขาควาย เขากวาง และยังมีกระดูกสัตว์อีกหลายชนิด
ภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่ร่มรื่น ให้เราได้เดินช้าๆ เสพงานศิลป์แบบเพลินๆ จากบ้านหลังนี้… ไปหลังนู้น…ใครที่อินกับงานศิลป์มาที่นี่อาจใช้เวลานานสักหน่อยเพราะมีบ้านถึง 36 หลังด้วยกัน ซึ่งแต่ละหลังจะมีแนวคิดแตกต่างกันไปให้เราได้ค่อยๆ ชม ค่อยๆ คิด รับรองไม่มีเบื่ออย่างแน่นอน สำหรับที่นี่จะเปิดทุกวันตั้งแต่ 8.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 80 บาท
เสพงานศิลป์กันจนเพลิน ก็ถึงเวลาที่เราต้องออกเดินทางกันต่อ ไปยังดอยแม่สลองเพื่อเที่ยวชมไร่ชาและวิวขุนเขาสวยๆ สำหรับดอยแม่สลองนั้นมีไร่ชาอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ทริปนี้เราจะขอแวะเช็กอินกันที่ไร่ชาระดับรางวัลสุดยอดไร่ชาโลกกันที่ “ไร่ชา 101” กันก่อนเลย
ไร่ชา 101 เป็นไร่ชาขนาดใหญ่ที่ปลูกขึ้นตามไหล่เขา ตั้งอยู่ที่บ้านแม่สลองนอก จากตัวเมืองเชียงรายใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ได้ฟินกับทุ่งชาสีเขียว ตัดสลับฉากหลังวิวภูเขาสวยๆ และที่สำคัญต้องไม่พลาดแวะชิมชาแม่สลองกันสักจอกด้วยนะเออ
แวะจิบชา ถ่ายรูปเล่นบนไร่ชา 101 แป๊บเดียวก็ใกล้ถึงเวลาที่พระอาทิตย์โบกมือลาวันแรกที่เชียงรายของเรากันแล้ว เราจึงรีบเดินทางต่อไปยังที่พักคืนนี้ที่ ดอยอิสระรีสอร์ท
เป็นที่พักเล็กๆ สไตล์ล้านนา ตั้งอยู่ที่บ้านแม่สลองใน ไม่ไกลจากไร่ชา 101 ใช้เวลาเดินทาง 30 นาทีนิดๆ บรรยากาศรอบๆ ที่พักร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ มีพืชผักสวนครัวที่เจ้าของบ้านได้ปลูกไว้ใช้ไว้กิน
อีกทั้งบ้านพักแต่ละหลังยังมีระเบียงหน้าบ้านให้เราได้นั่งชมวิวเบื้องหน้ากันแบบเพลินๆ หรือถ้าใครอยากจะยืดเส้นยืดสายก็มีโต๊ะปิงปอง โต๊ะพูล ชิงช้า รถเอทีวีให้เราได้ขับเล่นรอบๆ รีสอร์ทอีกด้วย
ส่วนภายในห้องตกแต่งด้วยงานไม้เป็นหลัก ประดับผ้าทอสีสันสดใส มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทีเดียว ทั้งทีวี ตู้เย็น Wi-Fi เครื่องทำน้ำอุ่น ห้องซาวน่า ฯลฯ
Day 2 | ตื่นแต่เช้ามารับอากาศบริสุทธิ์ สดชื่น กันสักหน่อยก่อนที่จะออกเดินทางไปที่ไร่ชาฉุยฟง จิบชา กินขนม ซึ่งจากที่พักใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นก็ถึงแล้วค่ะ
ไร่ชาฉุยฟงมีพื้นที่กว้างขวาง แบ่งพื้นที่ได้อย่างเป็นสัดเป็นส่วน มีโซนร้านคาเฟ่ให้แวะดื่มชา กินขนม ชมวิวสวย และยังมีจุดถ่ายภาพเก๋ๆ ให้เราได้เช็กอินกันเบบเพลินๆ หลายจุดทีเดียว เปิดตั้งแต่ 8.30 – 17.30 น.
เราใช้เวลาอยู่ที่ไร่ชากันนานพอสมควร เพราะด้วยพื้นที่ที่กว้างขวางมากๆ บวกกับจุดถ่ายภาพสวยๆ เหมาะแก่การกดชัตเตอร์โพสท่า เช็กอินอวดเพื่อนให้อิจฉาปนฉงนกับทริปเชียงรายในหน้าร้อนแบบนี้…
ก่อนจะออกเดินทางกันต่อไปยังดอยช้างมูบ หรือฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ เป็นจุดชมทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเชียงราย
ห่างไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรจากฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบเป็นที่ตั้งของสวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง ที่หลากสีสันไปด้วยต้นไม้ดอกไม้เมืองหนาวนานาพรรณ นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมได้ทุกวันตั้งแต่ 7.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 90 บาท
หลังจากชมความสวยงามของสวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวงกันแล้ว เราไปฟินกันต่อกับสวนดอกไม้ที่มีความเป็นมาอันน่าประทับใจ ด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีพระราชประสงค์ให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสไปต่างประเทศได้มาเที่ยวชมกันที่ “พระตำหนักดอยตุง”
สำหรับผู้ที่มาเที่ยวพระตำหนักดอยตุงจะมีจุดที่น่าสนใจให้ชม 4 จุด คือ หอแห่งแรงบันดาลใจ สวนแม่ฟ้าหลวง อาคารพระตำหนักดอยตุง ประติมากรรมความต่อเนื่อง และ Tree Top Walk
สำหรับ Tree Top Walk เป็นกิจกรรมใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติชมวิวสวยเหนือยอดไม้
ระยะทางประมาณ 400 เมตร มีความสูงอยู่ที่ 40 เมตร แบ่งออกเป็น 4 ช่วง โดยแต่ละช่วงจะมีความสูงไม่เท่ากัน สำหรับ Tree Top Walk มีค่าใช้จ่ายคนละ 150 บาท
เสร็จสิ้นกิจกรรมเสียวๆ กันไปแล้ว เรามานั่งพักเหนื่อยที่ศูนย์อาหาร รับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันต่อไปยังเชียงแสน
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง ก็มาถึงเมืองท่าริมโขงเมืองที่ผู้คนมีวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์
ไฮไลต์เมื่อมาถึงเชียงแสนก็ต้องไม่พลาดแวะมาเช็กอินที่สามเหลี่ยมทองคำ จากจุดนี้จะสัมผัสได้ทั้งทิวทัศน์อันงดงามของฝั่งพม่าและลาวพร้อมทั้งความเงียบสงบของลำน้ำโขง
แล้วต่อด้วยกิจกรรมเติมบุญนมัสการพระเชียงแสนสี่แผ่นดิน หรือพระพุทธนวล้านตื้อซึ่งประดิษฐานอยู่ริมน้ำโขง ปิดท้ายด้วยกิจกรรมสายชอปปิ้ง หาซื้อของฝากจากร้านย่านนั้นติดไม้ติดมือกันสักอย่างสองอย่าง ก่อนจะออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
และสำหรับสายบุญ มาที่นี่ต้องไม่พลาดมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองชาวเชียงแสนกันที่ วัดป่าสัก ซึ่งเป็นวัดเก่าสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1930 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
บริเวณพื้นที่รอบๆ ร่มรื่นไปด้วยต้นสักและต้นไม้ใหญ่นานาพรรณ อีกทั้งยังมีโบราณสถาน และร่องรอยจากประวัติศาสตร์ให้เราได้เดินชมและศึกษาความเป็นมาเพิ่มอรรถรสในการเที่ยวเมืองเชียงแสนแห่งนี้ได้ดีทีเดียว
จากวัดป่าสัก ขับรถตามทางมาเรื่อยๆ จะมีตลาดบรรยากาศบ้านๆ มีทั้งอาหารและข้าวของเครื่องใช้ให้เราได้เลือกซื้อ เลือกชิม และแนะนำให้ลองข้าวแรมฟืน หรือข้าวแรมคืน ซึ่งเป็นอาหารดั้งเดิมของชาวไทใหญ่ ไทลื้อ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นอาหารท้องถิ่นชาวเชียงแสนที่ต้องลองชิมสักครั้งแล้วจะติดใจ!!
ลัดเลาะเที่ยวเมืองเชียงแสนแป๊บๆ ก็จะหมดไปอีกวันแล้ว สำหรับเชียงแสนสามารถมาเที่ยวได้ทั้งแบบวันเดย์ทริป ถ้าใครอยากมานอนพักสักคืนก็มีที่พักริมแม่น้ำโขงให้เราได้นอนหลับสบายๆ หลายที่ทีเดียว แต่สำหรับทริปนี้เราขอตีรถกลับเข้าตัวเมืองเชียงรายแล้วไปเช็กอินกันที่ Eat Sleep Café & Bed เพื่อเตรียมเดินทางไกลขึ้นภูชี้ฟ้ากันแต่เช้า
Eat Sleep Café & Bed เป็นที่พักเล็กๆ ริมแม่น้ำกก ที่รีโนเวตบ้านเก่าให้กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนสุดชิล มีห้องพักให้บริการเพียง 5 ห้อง ตกแต่งในสไตล์มินิมอล คอนเทมเพอรารี ถึงแม้จะออกแบบเรียบๆ แต่ก็ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แถมยังมีคาเฟ่ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย
Day 3 | เช้านี้เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมตัวเดินทางขึ้นผาตั้ง ภูชี้ฟ้า วันนี้ขอเที่ยวสายธรรมชาติเน้นรับอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดก่อนกลับกรุงเทพฯ ซึ่งจากเชียงรายเดินทางไปยังภูชี้ฟ้าจะใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว รถค่อยๆ ลัดเลาะผ่านภูเขาทีละลูกๆ ค่อยๆ ไต่ระดับสูงขึ้น มีจุดชมวิวสวยๆ ระหว่างทางให้เราได้พักสายตา และถือโอกาสพักขาไปด้วย
และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายแรกของวันนี้ คือ ผาบ่องและผาตั้ง ซึ่งทั้งสองจุดนี้จะอยู่ใกล้ๆ กัน บนระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,638 เมตร อากาศที่นี่จึงเย็นสบาย มีหมอกขาวๆ ให้เราได้โอบกอดเกือบตลอดทั้งปี
สำหรับจุดชมวิวผาตั้งมีทั้งหมด 7 จุดด้วยกัน โดยจุดแรก คือ ผาบ่อง ซึ่งเป็นช่องหินขนาดใหญ่ที่คนเดินลอดได้ ตั้งอยู่แนวหน้าผาจากจุดนี้มองเห็นทิวทัศน์ประเทศลาวได้อย่างสวยงาม แต่วันนี้หมอกหนาไปนิดเลยได้ฟีลเก๋ๆ หม่นๆ เหมือนกำลังเช็กอินอยู่สวิตเซอร์แลนด์เลยทีเดียว
ถัดไปจุดที่ 2 จะเป็นศาลาเก๋งจีน จุดที่ 3 พระพุทธรูป จุดที่ 4 ป่าหินยูนนาน ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นลานหินขนาดใหญ่กระจัดกระจายทั่วบริเวณ
เดินเลยไปอีกนิดจะเป็นจุดที่ 5 ช่องผาขาด เป็นอีกหนึ่งจุดสวยที่เราต้องแวะถ่ายรูป และยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นฝั่งลาวได้สุดสายตาอีกด้วย
จุดที่ 6 เนิน 102 เป็นจุดชมวิวระหว่างกลางภูเขา ถัดไปเป็นจุดที่ 7 เนิน 103 เป็นจุดสูงสุดของผาตั้งใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ทั้งไปและกลับสิ่งสำคัญสำหรับเส้นทางนี้อย่าลืมติดน้ำดื่มไปสักขวดไว้ดื่มระหว่างทาง
ใครเหนื่อยๆ จากการเดินขึ้นเขา ด้านล่างจะมีร้านของฝาก ร้านอาหารของชาวบ้านให้บริการ แวะมานั่งพักดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้ว หรือจะจัดหนักเพิ่มความหวานก็มีโรตีมะตะบะแป้งกรอบๆ ให้อิ่มอร่อยกันในราคา 25 – 45 บาท
หายเหนื่อยจากผาตั้งเราขับรถผ่านบริเวณทางขึ้นภูชี้ดาว อดใจไม่ไหวเลยขอจัดอีกสักดอยให้ร่างกายได้สูบฉีดอย่างเต็มที่! สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นภูชี้ดาวจะต้องจ้างรถ 4×4 ของชาวบ้านขึ้นไปส่งค่ารถเหมาคันละ 500 บาท
จากจุดรับส่งต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 300 เมตร เส้นทางจะค่อนข้างชันแต่ก็มีบันไดให้เราได้อาศัยเกาะไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งจะใช้เวลาเดินประมาณ 20 – 30 นาทีก็ถึงบริเวณจุดชมวิวสูงสุดของภูชี้ดาวแล้วค่ะ
ภูชี้ดาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,800 เมตรเป็นจุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยงามไม่แพ้ภูชี้ฟ้า หากมาวันอากาศเปิดจะมองเห็นยอดภูชี้ฟ้าได้ชัดเจนอีกด้วย
อีกทั้งยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา โดยปราศจากต้นไม้หรือสิ่งใดๆมาบดบัง ตลอดทางขึ้นจะมีแนวรั้วไม้กั้นเขตแดนและป้องกันอันตราย เป็นไฮไลต์อย่างหนึ่งของจุดชมวิวแห่งนี้
เราเดินลงจากภูชี้ดาวกันก่อนค่ำ เพื่อเดินทางต่อไปยังที่พักของเราในคืนนี้ที่ ภูสวรรค์รีสอร์ท เป็นที่พักวิวสวยที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขาตัดสลับกันได้อย่างลงตัวและสวยงาม
ภายในที่พักแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีดอกไม้สีสันสวยงามกระจายอยู่ตามจุดพักผ่อน ส่วนห้องพักมีให้บริการทั้งหมด 15 ห้องด้วยกัน ภายในตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่สะอาดสะอ้านและครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น
Day 4 | วันนี้เราตื่นกันแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมขึ้นภูชี้ฟ้า ซึ่งจะมีรถของรีสอร์ตไปส่งที่ปากทางขึ้นเสียค่ารถคนละ 60 บาท เมื่อมาถึงบริเวณจุดรับส่งทางขึ้นภูชี้ฟ้า ต้องเดินต่อไปอีก 760 เมตรเพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้น
ภูชี้ฟ้าตั้งอยู่บนเทือกเขาดอยผาหม่น สูงจากระดับน้ำทะเล 1,628 เมตร มาเที่ยวกันได้ตลอดทั้งปี มีสภาพอากาศเย็นสบาย บนยอดภูสามารถชมวิวสวยๆ ที่มองได้ไกลสุดสายตาจนเห็นประเทศลาวได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
เราลงจากภูชี้ฟ้ากันช่วงสายๆ ก็นั่งรถกลับเข้าที่พัก รับประทานอาหารเช้าที่รีสอร์ตได้จัดเตรียมไว้ให้แล้วเข้าที่พักอาบน้ำแต่งตัว เตรียมเช็กเอ้าต์กลับเข้าตัวเมืองเชียงรายเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในช่วงเย็น แต่ก่อนที่เราจะกลับกรุงเทพฯ ขอแวะไปเที่ยวอีกสักที่สองที่ โดยจุดแรกที่เราไปถึงคือไร่รื่นรมย์
ฟาร์มเกษตรอินทรีย์อยู่ที่ อ.เทิง จ.เชียงราย มีทั้งที่พักและร้านอาหารมีในพื้นที่กว่า 80 ไร่ท่ามกลางทุ่งนาและไร่พืชผักออร์แกนิก
โซนร้านอาหารตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นผสมผสานกับสไตล์รัสติกที่นำความเป็นชนบทมาอิงแอบได้อย่างลงตัว จุดเด่นภายในร้านอยู่ตรงไฟรวงข้าวขนาดใหญ่ มีบ้านต้นไม้ที่เราต้องไต่บันไดขึ้นไป และยังมีสะพานแขวนเก๋ๆ ให้เราได้โพสต์ท่าถ่ายรูปอีกด้วยนะ
ส่วนเมนูอาหารก็เป็นวัตถุดิบสดใหม่จากไร่ออร์แกนิก โดยมีเมนูแนะนำเป็นข้าวยำบ้านไร่ทุ่งรื่นรมย์ ลาบปลาทอดไร่รื่นรมย์ ต้มข่าไก่เห็ดไร่รื่นร่มย์ ตบท้ายด้วยไอศกรีมจากสมุนไพรและผลไม้จากไร่รื่นรมย์ให้ชิมอีกหลายรสชาติทีเดียว
อิ่มอร่อยกับเมนูเพื่อสุขภาพกันแล้วเราจึงเดินทางกันต่อไปยังวัดร่องขุ่น อีกหนึ่งไฮไลต์ที่มาถึงเชียงรายแล้วต้องไม่พลาด! ไปชมความสวยงามของอุโบสถสีขาวที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย จิตรกรชั้นแนวหน้าของเมืองไทย
วัดร่องขุ่นสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2540 ซึ่งอาจารย์เฉลิมชัยปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จุดเด่นอยู่ที่อุโบสถสีขาวประดับด้วยกระจกแวววาววิจิตรงดงามแปลกตา มีปูนปั้นเป็นลายไทยที่งดงามและอ่อนช้อย
ระหว่างเดินเข้าอุโบสถจะผ่านสะพานมีรูปปั้นที่สื่อถึงขุมนรก เพื่อให้เราลดละกิเลสต่างๆ ก่อนที่จะเข้าสู่พระอุโบสถ สำหรับวัดร่องขุ่นจะเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 6.30 – 18.00 น. นักท่องเที่ยวคนไทยเข้าชมฟรี ชาวต่างชาติเสียค่าเข้าชมคนละ 80 บาท
จากวัดร่องขุ่นเรายังพอมีเวลาเหลือเลยเดินทางไปเที่ยวชมอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะ เปิดให้เข้าชมวันอังคาร-วันอาทิตย์ ค่าเข้าชมคนละ 100 บาท ชาวต่างชาติคนละ 200 บาท
ไฮไลต์ของที่นี่จะมี 2 จุดด้วยกัน คือ หอคำและศาลาแก้ว โดยหอคำเป็นสถาปัตยกรรมล้านนาสร้างขึ้นด้วยไม้สักที่มีอายุกว่า 500 ปีจากบ้านเก่าของชาวบ้านในภาคเหนือที่ได้ร่วมกันบริจาค ภายในเก็บรวบรวมศิลปวัตถุและงานพุทธศิลป์อายุกว่า 200 ปีจากหลายๆ จังหวัดทางเหนือ ซึ่งด้านในจะห้ามถ่ายภาพ ใครที่อยากชมศิลปะดั้งเดิมของชาวล้านนาจึงต้องมาชมด้วยตาตัวเอง
ถัดจากหอคำเป็นศาลาแก้ว อาคารจัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับไม้สัก และนิทรรศการชั่วคราวอื่นๆ ที่หมุนเวียนกันไป มีทั้งงานหัตกรรมของชาวเขาและงานศิลปะต่างๆ สามารถดูรายละเอียดนิทรรศการเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง ซึ่งแต่ละช่วงจะมีนิทรรศการดีๆ หมุนเปลี่ยนมาให้เราชมแบบไม่มีเบื่ออย่างแน่นอน…
สุดท้ายนี้! เป็นอย่างไรกันบ้างกับทริปเชียงรายบริสุทธิ์…สดชื่น แต้ แต้ 4 วัน 3 คืน ที่ได้พาคุณไปนอนริมดอย ชิมชา จิบกาแฟ เสพงานศิลป์ และสัมผัสวิถีชีวิตแบบ Slow life เห็นไหมว่าการเที่ยวเชียงรายหน้าร้อนหรือที่หลายๆ คนเรียกว่า Low Season นั้น ก็มีความพิเศษและสวยงามในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ที่ไม่มีใครมาร่วมเฟรม ได้ทานอาหารอร่อยแบบไม่ต้องรอคิวนาน แถมยังได้เลือกที่นั่งมุมสวยตามใจชอบ ที่สำคัญไปเที่ยวบนดอยอากาศก็ยังเย็นสบาย ฟ้าสวย แดดดี เหมาะที่จะกดชัตเตอร์รัวๆ เห็นไหมล่ะว่าเที่ยวเชียงรายหน้าร้อนนอกจากจะสวยไม่แพ้หน้าหนาวแล้ว ยังได้อรรถรสครบ ตั้งแต่วันเช็กอินจนวันเช็กเอ้าต์อีกด้วยนะเธอ
สอบถามข้อมูลได้ที่: ททท.สำนักงานเชียงราย
โทรศัพท์ 053 717 433
Facebook/tatchiangrai
www.tourismthailand.org
ทริปเก็ตเตอร์