ฝาง 2 วัน 1 คืน เก็บส้ม เดินไร่ชา นอนโฮมสเตย์ริมน้ำ พักผ่อนเมืองสองฤดูกลางหุบเขาที่เชียงใหม่
127,341 ครั้ง
1 ก.พ. 2561
127,341 ครั้ง
1 ก.พ. 2561
เชียงใหม่รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้? แต่ทุกครั้งที่มาเราก็ได้ที่เที่ยวใหม่ๆ ให้หัวใจมันสดชื่นอยู่เสมอ สำหรับรีวิวนี้แอบหนีมาเที่ยวเชียงใหม่แบบสั้นๆ แค่ 2 วัน 1 คืน โดยจองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดล่วงหน้า เลยทำให้เชียงใหม่กลายเป็นเมืองพักผ่อนใกล้กรุงเทพฯ ไปทันทีเพราะเดินทางแค่ 1.45 ชั่วโมงเองเธอ แถมคนมีวันหยุดน้อยตามประสามนุษย์ออฟฟิศอย่างเราๆ ก็สบายใจไม่ต้องลางานเพิ่มอีกด้วย เอาเป็นว่าทริปนี้เราจะไปลุยฝาง เมืองที่มีแค่ฤดูฝนและหนาว พร้อมนอนโอสเตย์ ตื่นเช้าเก็บส้มจากไร่กัน
เราเลือกออกเดินทางแต่เช้า โดยสารการบิน Low Cost ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.45 ชั่วโมง เมื่อมาถึงสนามบินเชียงใหม่ ก็หาเช่ารถยนต์ที่สนามบิน เพราะว่าประหยัดกว่าไปเช่ารถรับจ้าง และที่สำคัญเราอยากแวะเที่ยวตามรายทางด้วย ราคาเช่ารถจะมีค่ามัดจำส่วนหนึ่ง และค่าเช่าต่อวันประมาณ 1,300 – 1,500 บาท หากต้องการคนขับก็จะอีกราคาหนึ่ง ทั้งนี้ราคาสามารถต่อรองได้ ให้ลองเดินหาในสนามบินดูมีอยู่หลายเจ้าทีเดียว
เมื่อได้รถเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมเดินทางมุ่งหน้าสู่อ.ฝางกันเลย จากสนามบินเชียงใหม่ ไปฝางจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร เนื่องจากเชียงใหม่ในวันหยุดรถค่อนข้างติด และระหว่างทางเราได้แวะกินข้าวกันแถวเชียงดาว (ทางหลวงหมายเลข 107) กันที่ คาเฟ่ชิเลปู เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวกลางทุ่งนา บรรยากาศดีมาก
มีที่นั่งริมบึงน้ำแบบนั่งพื้น และยังมีสะพานไม้ให้เราได้เดินเล่นถ่ายรูปในระหว่างรอก๋วยเตี๋ยวอีกด้วย
ราคาอาหารที่ร้านก็ไม่แพงก๋วยเตี๋ยวชามละ 45 บาท พิเศษ 50 นอกจากนี้ยังมีเบเกอรี่และเครื่องดื่มอีกหลายเมนูให้เลือกสั่งอีกด้วยนะ
เราใช้เวลาอยู่ที่ร้านกันสักพัก ก็ออกเดินทางต่อไปยังอ.ฝาง ซึ่งคืนนี้เราจะไปนอนพักกันที่ “อุ่นไอมาวโฮมสเตย์” การเดินทางใช้ Google Map นำทางไปยังน้ำพุร้อนฝาง เมื่อมาถึงจะเจอป้ายอุ่นไอมาวเป็นระยะ ให้ขับตามทางไปเรื่อยๆ ที่พักของเราจะตั้งอยู่ด้านขวามือ
อุ่นไอมาวโฮมสเตย์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมาว ที่นี่มีบ้านพัก 4 หลัง แต่ละหลังก็จะต่างกันออกไป สามารถพักได้ 2 คน
มาถึงที่พักก็เช็คอิน ชมบรรยากาศภายในห้องและรอบๆ ซึ่งระหว่างทางเราค่อนข้างลุ้นมากกับที่พักราคาเพียง 390 บาท แต่มาเห็นกับตาตัวเองแล้วก็ถือว่าเกินคุ้มกับบรรยากาศ อีกทั้งห้องพักยังมีห้องน้ำในตัว มีที่นอนนุ่ม แถมยังสะอาดสะอ้าน แม้ด้านหน้าอาจจะรกไปด้วยใบไม้นิดหน่อย
ส่วนเรื่องอาหาร ราคาที่พักจะไม่รวมอาหารเช้า แต่มีร้านอาหารให้บริการเปิดตั้งแต่ 8.00 – 19.00 น. เป็นเมนูอาหารตามสั่งหรือถ้าใครอยากกินหมูกะทะที่นี่ก็มีนะ
เก็บกระเป๋าสัมภาระกันเรียบร้อยแล้ว ก็ขอออกไปเที่ยวชมที่เที่ยวใกล้ๆ กันที่ไร่ส้มธนาธร ซึ่งจากที่พักของเราขับรถไปประมาณ 15 นาที เส้นทางไม่โหด รถเล็กสามารถไปได้สบายๆ แต่ระหว่างทางเจอร้านอาหารบรรยากาศดี เลยขอแวะชิลล์ และหาอะไรอร่อยๆ กินกันสักหน่อย ร้านนี้ชื่อ “ฮิมน้ำมาว”
ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรา สามารถเดินมาได้ ที่ร้านจะมีที่นั่ง 2 โซนด้วยกันคือแบบ Indoor และ outdoor โดยโซนยอดฮิตจะเป็น Outdoor ที่เป็นแพที่นั่งริมลำธาร บรรยากาศดี มองเห็นวิวภูเขาและไร่ส้ม
ส่วนเมนูอาหารของที่ร้านก็มีให้เลือกสั่งหลายเมนู โดยมีเมนูแนะนำเป็นปลาทอดตัวใหญ่ ราคา 150 บาท ส้มตำ ไก่ย่าง ยำต่างๆ รสชาติดีทีเดียว แถมราคายังสบายกระเป๋ามากๆ
อิ่มเอมกับบรรยากาศกันจนอิ่มแปร่ ก็ออกเดินทางกันต่อไปยัง “ไร่ส้มธนาธร” พื้นที่ภายในไร่ส้มกว้างขวางมากๆ การจะมาเที่ยวชมที่นี่จึงต้องนั่งรถนำเที่ยวเข้าไป ค่าตั๋วรถราคา 40 บาทต่อคน จะใช้เวลาในการเที่ยวชมประมาณ 30 นาที
รถจะขับไล่ระดับขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆ ผ่านไร่ส้มที่มองออกไปสุดลูกหูลูกตา
โดยจุดแรกที่คุณลุงจะพาเรามาแวะคือที่บ้านโรจน์กสิกิจ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นพื้นที่ของไร่ส้มได้เกือบทั้งหมด
สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากชิมส้มสดๆ จากต้นสามารถซื้อแพ็คเก็จเก็บส้มได้ในราคา 399 บาท โดยคุณสามารถเก็บส้มได้เต็มถุง แต่ถ้าไม่ได้ซื้อแพ็คเก็จเก็บส้ม ห้ามเด็ดส้มเด็ดขาดนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นจะโดนค่าปรับลูกละ 500 บาท
จากนั้นรถจะพาเราไปยังบริเวณกลางไร่ ซึ่งระหว่างทางก็จะมีคนงานกำลังเก็บส้มอยู่ด้วย
ก่อนที่จะมาแวะจุดที่สอง ให้เราได้ถ่ายรูปเล่นกันที่กลางไร่ส้ม
ส้มสดๆ จากต้น
จากนั้นรถจะพาเรากลับไปยังจุดซื้อบัตรเพื่อส่งนักท่องเที่ยว ซึ่งภายในไร่ส้มธนาธรยังมีมุมชิลล์ๆ ริมน้ำให้เราได้นั่งพัก
หรือถ้าใครอยากจะมานอนค้างคืนที่นี่ก็มีบ้านสไตล์มองโกเลียริมน้ำ ราคาคืนละ 800 บาท/หลัง ให้พักผ่อนสบายๆ
เราใช้เวลาอยู่ที่ไร่ส้มกันนานพอสมควร จึงเดินทางกลับมายังที่พักของเรา ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าจะเล่นน้ำ แช่ตัวกลางลำธารสักหน่อย แต่น้ำเย็นมาก เลยขอนั่งชิลล์ๆ เอาเท้าจุ่มน้ำให้รู้สึกดีต่อใจก็พอแล้ว
เช้านี้ตื่นมาชิลล์ๆ พร้อมกับเสียงลำธาร ก่อนเตรียมตัวออกเดินทางกันต่อไปยังดอยอ่างขาง ซึ่งจากที่พักเราจะต้องขับรถกลับไปยังเส้นทางเดิม เพราะถ้าขับตาม Google Map จะพาเราไปทางลัดซึ่งเป็นเส้นทางของประเทศเมียนมาร์ เราไม่สามารถผ่านไปได้ค่ะ **ห้ามไปเด็ดขาด เราใช้เวลาเดินทางเกือบๆ ชั่วโมงก็มาถึงจุดเช็คอินแรกที่บ้านขอบด้ง
มองเห็นต้นนางพญาเสือโคร่งอยู่ไกลๆ
แวะรับประทานอาหารเช้า ซึ่งจะมีร้านอาหารของชาวเขาเปิดให้บริการช่วงหน้านาวอยู่หลายร้าน เมนูอาหารก็จะเป็นขาหมู ข้าวต้ม และเมนูตามสั่งอีกหลายอย่างทีเดียว
รวมค่าอาหารทั้งหมด 220 บาท
น้ำชาฟรี
เสร็จแล้วก็ขับรถตามทางไปเรื่อยๆ จะเจอทางแยกไปยังไร่ชา 2,000 ไร่ เส้นทางที่นี่ค่อนข้างแคบมาก ก่อนจะมาถึงบริเวณเนินเขาที่โอบล้อมไปด้วยไร่ชาทั้งหุบเขา
มุมพักผ่อนและถ่ายรูปชิลล์ๆ
อิ่มเอมกับบรรยากาศของไร่ชา ก็เดินทางไปยังสถานีวิจัยเกษตรดอยอ่างขางกันต่อ เพราะช่วงนี้ซากุระกำลังบานสะพรั่ง การเดินทางไปยังอ่างขาง เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยวและชัน ควรระวังรถสวนทางด้วยและควรมีความชำนาญในการใช้เกียร์
จุดเช็คอินที่อ่างขาง มีอยู่หลายจุดด้วยกัน ซึ่งเราขับรถตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะเจอลานซากุระ หรือใครอยากขี่ล่อชมวิวพร้อมถ่ายรูปเก๋ๆ ก็จัดไป
ให้โลกมันเป็นสีชมพู
นอกจากซากุระแล้วที่นี่ยังมีดอกไม้นานาพรรณ
สวนต้นบ๊วย
เราใช้เวลากันอย่างเต็มทีในการท่องเที่ยวจนกระทั่งถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับ สำหรับทริปฝางเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่เรามาเที่ยวแล้วได้ชาร์ตแบตกันเต็มที่ เพราะอากาศที่บริสุทธิ์ ความเงียบสงบ มันทำให้เวลาของเราเดินช้าลงจนได้สัมผัสคำว่าสโลว์ไลฟ์จริงๆ ถึงแม้ว่าฝางจะอยู่ใกลจากตัวเมืองเชียงใหม่แต่ถ้าได้มารับรองว่าคุ้มค่ากับบรรยากาศที่ได้สัมผัสอย่างแน่นอน…
ค่าใช้จ่ายทริปฝาง 2 วัน 1 คืน
ค่ารถเช่า 1 วันครึ่ง = 2,250 บาท (หารกับเพื่อนเหลือ 1,125)
ค่าน้ำมันประมาณ = 1,000 บาท
ค่าก๋วยเตี๋ยวชิเลปู = 230 บาท (หารกับเพื่อนเหลือ 115)
ค่าอาหารฮิมน้ำมาว = 210 บาท (หารกับเพื่อนเหลือ 105)
ค่าอาหารบ้านขอบดง = 220 บาท (หารกับเพื่อนเหลือ 115)
ค่าของกินจุ๊บจิ๊บประมาณ = 300 บาท
ค่าเข้าชมไร่ส้มธนาธร = 40 บาท
ค่าเข้าดอยอ่างขาง = 50 บาท
ค่าที่พักอุ่นไอมาว = 390 บาท (หารกับเพื่อนเหลือ 195)
รวมทั้งหมด 2,545 บาท (ราคายังไม่รวมตั๋วเครื่องบินนะจ๊ะ)