ทริปเขาค้อ 3 วัน 2 คืน ตะลุยเที่ยวแบบไม่คิดเยอะ ที่สวิสเซอร์แลนด์แห่งเมืองไทย
198,557 ครั้ง
13 ก.ค. 2561
198,557 ครั้ง
13 ก.ค. 2561
วันนี้ทริปเก็ทเตอร์จะชวนไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ ลุยแบบเก๋ๆ โกอินเตอร์กันบ้าง แต่ขอบอกว่าอยู่ห่างจากกรุงเทพแค่ 400 กิโลเองเท่านั้นกับ สวิสเซอร์แลนด์แห่งเมืองไทย หรือ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์นั่นเอง ด้วยบรรยากาศที่สุดจะกรีน แถมยังหนาวเย็นตลอดทั้งปี ทำให้เขาค้อถูกยกเป็นสวิสเซอร์แลนด์แห่งเมืองไทยได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญยังมากมายด้วยร้านอาหารและคาเฟ่ชิลล์ๆ ฟีลลิ่งเดียวกับต่างประทเศกันเลย จะมีจุดไหนถูกใจกันบ้าง รีบเก็บกระเป๋าแล้วมาเช็คอินกันรัวๆ
เราเริ่มเดินทางโดยรถส่วนตัวในเช้าวันศุกร์ ช่วง 8 โมงเช้า ขอแอบลางานสักวันมาพักผ่อนร่ายกายซะหน่อย ขับรถมาตามเส้นทาง สระบุรี – หล่มสัก ระยะทาง 416 กิโลเมตร ใช้เวลาการเดินทานราวๆ 5 ชั่วโมง ถึงเขาค้อก็คงบ่ายๆ
ขับถึงเขาค้อก็เข้าช่วงบ่ายๆ พอดี เก็บท้องไว้รอร้านอร่อยแบบเต็มอิ่ม จุดหมายแรกของเราคือจุดพักรถ Route12
Route12 ตั้งอยู่บนถนนเส้น 12 เป็นจุดเช็คอินสไตล์วินเทจ มีทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร และจุดจำหน่ายของที่ระลึกด้วย ช่วงหน้าหนาวจะคึกคักเป็นพิเศษ
ในส่วนของร้านอาหารจะอยู่ชั้นล่าง มีวิวป่าสนใจชมกันบรรยากาศเย็นสบาย เมนูของที่นี่ก็น่าทาน เลยขออนุญาติจัดใหญ่จัดเต็มกันมาเลย
เมนูเด็ดเอาใจคนรักชีส จัดมาสองเมนูทั้ง สปาเก็ตตี้ชีสเบค่อนและผักโขมอบชีส รสชาติเข้มข้นสุดๆ
มาเขาค้อทั้งที จะไม่ทานผักก็จะยังไงอยู่กับเมนู สลัดไข่กุ้ง ขอบอกว่าผักที่นี่เค้าสดกันมาก แถมยังให้ไข่กุ้งมาแบบเน้นๆ
ไม่วายขอเก็บมุมวินเทจ เช็คอินแบ่งปันภาพสวยๆ กันสักหน่อย
ต่อกันอีกหนึ่งไฮไลท์ประจำเขาค้ออย่าง วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ไม่มาก็เหมือนมาไม่ถึงเขาค้อ เลยขอแวะไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลเล็กน้อย เป็นจุดที่สอง
จุดเด่นจะอยู่ที่ พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ตั้งตระหง่าบนภูเขายิ่งใหม่สุดๆ
ข้ามฝั่งมาอีกนิดจะพบกับ เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว ประดับด้วยกระเบื้องสีสันสวยงาม ดูปแลกตาและประณีตสุดๆ
ยามบ่ายอากาศค่อนข้างร้อน ขอแวะทานอะไรเย็นๆ สักหน่อย ไม่ต้องไปไหนไกลด้านหน้าวัดมาร้านเก๋ The Piney Bistro Cafe
ภายในร้านมากด้วยมุมเก๋ แถมยังมีระเบียงให้ชมวิวขุนเขาบรรยากาศกรีนแบบเต็มตา
อากาศอบอ้าวแบบนี้ บลูฮาวาย หวานฉ่ำสักแก้วก็สดชื่นไม่เบา
วันนี้เดินทางมาอย่างยาวไกล ร่างกายอ่อนล้าหนังตาเริ่มปิด ขอเช็คอินเข้าที่พักเลยละกัน สำหรับคืนนี้เราเข้าพักกันที่รีสอร์ทเล็กๆ บนยอดเขากับ ภูแสนดาว รีสอร์ท
ขับมาทางเส้นทางประมาณ 15 นาที ขึ้นมาบนเขาเส้นทางค่อนข้างแอดเวนเจอร์ แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น รถเราติดหล่ม! เลยต้องอาศัยรถจากรีสอร์ทมารับตื่นเต้นเร้าใจไปอีกแบบ นั่งชิลล์ถึงรีสอร์ทอย่างปลอดภัย
ภายในรีสอร์ทก็เก๋ไก๋ มาในรูปทรงแยมโรลสุดน่ารักเรียงรายบนยอดเขา ชมวิวแบบ 180 องศากันเลย เราพักกันที่ห้อง B5 อยู่สุดเขา บรรยากาศเงียบสงบไร้เสียงรบกวน ภายในห้องพักก็น่ารักเน้นสีสัน ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก
ตกช่วงค่ำท้องเริ่มร้อง ไม่ต้องห่วงที่นี่เขาก็มีอาหารเย็นบริการ ถึงจะเป็นเมนูง่ายแต่ก็เอร็ดอร่อยไม่เบา เมนูเด็ดต้องยกให้ยำไข่ดาว และย้ำปลากระป๋องสุดแซ่บ เข้ากันกับอากาศหนาวเย็นยามค่ำคืน
เข้าวันที่ 2 ตื่นเช้ามาชมทะเลหมอกซะหน่อย แต่น่าเสียดายวันนี้ลมแรงมีอยู่ปลายเขานู้น ไม่เป็นไรปลอบใจตัวเองด้วยอาหารเช้าแบบจัดเต็มละกัน
เรียกว่ามากันครบทั้งข้าวต้ม ข้าวไก่กระเทียม ผลไม้ ให้ทานแบบไม่อั้น มีแรงพร้อมลุยเขาค้อต่อกันอีกสักคืน
วันนี้ขอตะลุยเก็บจุดชมวิวชิคๆ ซิกเนเจอร์เขาค้อกันหน่อย เริ่มกันที่ จุดชมวิวกังหันลม
ขอบอกว่าลมแรงมาก ไม่แปลกใจเลยที่ตั้งกังหันลมไว้ที่นี่ มีทุ่งดอกเวอร์บีน่าให้สวมรอยเป็นสาวหวานกันด้วย
หรือจะหวาดเสียว ชิงช้าม้ง ก็ไม่ควรพลาดเก็บครบทุกรายละเอียด ยังไม่จุใจขอลุยกันต่อสักอีกจุดชมวิว
จุดหมายต่อไป พระตำหนักเขาค้อ ขับรถชิลล์จากจุดชมวิวกังหันลมมาสักครึ่งชั่วโมง ด้านในพระตำหนักเป็นสวนสน ตกแต่งด้วยดอกไม้สวนสวยมากมาย
สวนสนก็ชิลล์ดีนะ บรรยากาศเย็นสบายสุดๆ
มีจุดชมวิวให้ชมทะเลหมอกด้วยนะ ถึงจะพลาดหมอก แต่จะไม่พลาดถ่ายรูปเช็คอิน
เที่ยวเพลินจนลืมเวลา ขอแวะกลับเข้ามาหาคาเฟ่โซนในเมืองกันบ้าง จนมาพบกับร้าน Jolly Cafe ร้านนี้ขอบอกว่าฟินสุด ดีไซน์มาแบบโรงนาฝรั่ง ท่ามกลางแปลงดอกไม้ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่สวิสเซอร์แลนด์จริงๆ อยู่ริมถนนใหญ่ถูกใจตั้งแต่แรกเห็น
ภายในร้านก็น่ารักมีมุมชิลล์ให้เลือกหลากหลาย หรือจะนั่งโซนเอาท์ดอร์ก็เก๋ไก๋ไม่เบา
อาหารที่นี่ก็มีเสริฟครบ ทั้งเครื่องดื่ม ของคาว ของหวาน ปรุงโดยเชฟมืออาชีพ เราเลยขอจัดใหญ่จัดเต็ม มาเอาใจเพื่อนๆ กันเลย
สำหรับเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ต้องยกให้พิซซ่า ทำกันสดๆ ในสูตรแบบต้นตำหรับ โดยเชฟตั๋ง
อีกหนึ่งเมนูเด็ดสุดว้าว สเต็กเนื้อวากิว F1 เนื้อนุ่มละลายในปาก แถมคุ้มค่ามาในราคาเพียง 990 บาท
กาแฟที่นี่เค้าก็เด็ดดวง คัดเมล็ดมากจากทั้งไทยและเทศ ชงโดยคุณสายป่านบาริสต้ามากรางวัลคุณสายป่าน อย่างเมนูเบสิคลาเต้ร้อน ที่นี่เค้าก็ไม่ธรรมดา น้ำเข้าเมล็ดจากกัวเตมาลา อิโดนิเซียและดอยช้าง รสชาติเข้มข้นอกเปรี้ยว แฝงกลิ่นคาราเมลปลายๆ สัมผัสมันดีจริงต่างกับที่อื่นๆ
ส่วนเมนูเย็นต้องยกให้ ช็อคโก้ทีรามิสุ ที่นี่ครีเอทได้อย่างดีเยี่ยม รสชาติละมุนมีมิติ หวานกำลังดี
อิ่มท้องอิ่มใจกันไปมาก ขอไปพักกายกันอีกสักคืน สำหรับคืนนี้เราเข้าพักกันที่ เขาค้อ เบย์เบย์ รีสอร์ท ภายในขอบอกว่าบรรยากาศชิลล์ๆ เบย์ๆ สมชื่อ แถมยังมีห้องพักให้เลือกหลากหลายจะมาแก๊งเล็กหรือกรุ๊ปใหญ่ก็รองรับได้ครบ
เราพักกันที่ชั้นสองจะได้เห็นวิวได้แบบเต็มตา ภายในตกแต่งได้อย่างโมเดิร์น แฝงความเป็นลอฟท์นิดๆ ดูเข้ากัน
มีมุมเก๋ริมระเบียงให้นอนชมวิวกันแบบชิลล์ๆ เผลองีบหลับไปแพรบเดียวท้องก็ร้องอีกแล้ว ทริปกินอย่างแท้จริง
บรรยากาศเย็นๆ แบบนี้ก็ต้องหมูกระทะรึเปล่า ขอบอกว่าที่นี่ก็มีให้บริการ เรียกว่ามากันแบบครบเซ็ต ราคาเกินคุ้มเพียงชุดละ 399 บาท เป็นหมูกระทะที่ฟินที่สุด อร่อยแถมยังมีวิวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าให้ชมอีก
สำหรับเช้านี้เราตื่นมาช่วงหกโมงหวังจะมาชมทะเลหมอก ถึงจะมีลมแต่ก็มีหมอกอ่อนๆ ให้ชม พอชื่นใจได้บ้าง ถือว่าทริปนี้ไม่พลาดหมอกแล้วเนาะ
ต่อด้วยอาหารเช้าดีต่อสุขภาพ มากันแบบบุฟเฟ่ต์ ทั้งข้าวต้ม เบรคฟาสต์ และสลัดผักสดๆ ขอบอกว่าที่นี่ปลูกเองอีกด้วย
เก็บกระเป๋าอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ขอปิดท้ายก่อนกลับกรุงเทพกันที่ จุดชมวิวไปรษณีย์เขาค้อ ขับจากรีสอร์ทมากิโลกว่าๆ ก็ได้ชมวิวกันแล้ว คลาสสิคสุดๆ
หรือถ้าอยากนอนต่ออีกสักคืน ที่นี่ก็มีลานกางเต็นท์ให้บริการด้วย
เป็นยังไงกันบ้างกับทริปเขาค้อ 3 วัน 2 คืน ที่เรานำมาฝากในครั้งนี้ ขอบอกว่าประทับใจกันทุกที่ไม่มีผิดหวัง ยังไงช่วงกรีนซีซั่นหน้าฝนแบบนี้แหละ เขาค้อจะมีเสน่ห์และน่าเที่ยวเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องเช็คสภาพอากาศกันดีดีนะ จะได้ไม่โชคร้ายเจอพายุ อดเห็นทะเลหมอกแบบเราในครั้งนี้ อยากให้ทุกคนลองมาพักผ่อนรีเฟรชร่างกายกันสักครั้งจริงๆ ที่ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ สวิสเซอร์แลนด์แห่งเมืองไทย