ทริปราชบุรี – อัมพวา 2 วัน 1 คืน นอนรีสอร์ทริมคลอง เช็คอินสองเมืองสุดเฟรช
32,879 ครั้ง
19 ก.ค. 2566
32,879 ครั้ง
19 ก.ค. 2566
ราชบุรี – อัมพวา สองโลเคชั่นพักผ่อนใกล้กรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ เสน่ห์ของวิถีชีวิตสุดขึ้นชื่ออย่างตลาดน้ำอัมพวาและตลาดน้ำดำเนินสะดวก วัดศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงคาเฟ่ ร้านอาหาร และที่พักบรรยากาศหลักล้าน อีกทั้งการเดินทางระหว่างราชบุรี – อัมพวายังสะดวกและใช้เวลาไม่นาน เรียกได้ว่าสามารถจัดเป็นรูทเที่ยวได้แบบสบายๆ ครั้งนี้ทริปเก็ทเตอร์จะพาทุกคนไปเที่ยวเช็คอินกันทั้งสองเมืองเพื่อเก็บความสุขให้ได้แบบไม่มีกั๊กในทริปราชบุรี – อัมพวา 2 วัน 1 คืน นอนรีสอร์ทริมคลอง เช็คอินสองเมืองสุดเฟรช
เราเดินทางออกจากกรุงเทพกันตั้งแต่เช้าราวๆ 08.30 น. ปักหมุดไปที่เมืองแรกกันก่อนที่ ราชบุรี ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางราวๆ 2 ชั่วโมงเท่านั้น โดยสถานที่แรกของทริปนี้ เรามาใช้เวลาพักผ่อนในช่วงสายๆ กันแบบสบายๆ ที่ คาเฟ่เดอรามัญ (De’La Mon) คาเฟ่บรรยากาศสุดกรีนกลางทุ่งนาโล่งและตั้งอยู่ริมสระน้ำ
ภายในตัวร้านเน้นใช้วัสดุจากธรรมชาติทั้งหมด ซึ่งหลักๆ ก็จะเป็นไม้ไผ่ เพื่อสื่อถึงความเป็นพื้นบ้านเอกลักษณ์ของชาวมอญรวมกับความเป็นสมัยใหม่ ที่เห็นได้จากรูปทรงอาคารที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร
โซนที่นั่งของคาเฟ่เดอรามัญ (De’La Mon) เป็นแบบโอเพ่นแอร์ทั้งหมด บอกเลยว่าใครที่มาเช็คอินที่นี่ ก็จะได้รับความสดชื่น แถมยังใกล้ชิดธรรมชาติแบบสุดๆ อีกด้วย
มุมนี้ดีไม่ไหว เป็นบาร์นั่งห้อยขาสบายๆ มองวิวทุ่งนาสีเขียวได้แบบเต็มๆ
ในส่วนของเมนู คาเฟ่เดอรามัญ (De’La Mon) ก็มีให้เลือกเพียบไม่ว่าจะเป็นเมนูอาหารไทย อาหารต่างประเทศ รวมไปถึงเมนูที่มาแล้วต้องลองสั่งมาชิมความอร่อยเลยก็คือเมนูพื้นบ้านมอญ อย่าง แกงบอน เดอ รามัญ เป็นเมนูที่เป็นไฮไลท์ของทางร้าน โดยใช้บอน ซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นในแหล่งน้ำที่สะอาดและไหลเวียน มีรสสัมผัสกรอบด้านนอก และนุ่มพรุนด้านใน เสริมด้วยน้ำแกงสามรส เปรี้ยวด้วยมะขามเปียก หวานจากน้ำตาลปี๊บ และเผ็ดร้อนจากพริกไทยดำ ใส่เนื้อปลาช่อนนาสดๆ รสสัมผัสนุ่ม หวาน และเพิ่มความหอมด้วยใบมะกรูด ราคาเพียง 220 บาทเท่านั้น
อีกหนึ่งเมนูที่ต้องสั่งก็คือแกงกล้วยไก่ ที่ใช้กล้วยดิบ มาแกงจนนุ่มกำลังดี ไม่มีความฝาด ในน้ำแกงกะทิสุดเข้มข้น พร้อมด้วยเนื้อไก่ชิ้นใหญ่พอดีคำ ราคาอยู่ที่ 220 บาท
นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารไทยอื่นๆ อย่างยำตำลึงกรอบปลายนา เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มถั่วสุดกลมกล่อม 180 บาท เมนูห่อหมกทะเลมะพร้าวอ่อนที่เสิร์ฟมาในมะพร้าวลูกใหญ่ ทั้งหอมและถึงเครื่องแกง ราคาเพียง 250 บาท และกุ้งผัดสะตอ 219 บาท
เมนูอาหารต่างประเทศก็จัดเต็มไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่าฮาวาเอียน ที่เป็นแป้งปั้นสดและซอสเป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน ราคาถาดละ 259 บาท สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทะเลสุดจัดจ้าน เสิร์ฟพร้อมกุ้ง หมึก และหอยแบบเน้นๆ ราคา 239 บาท นอกจากนี้ยังมีสเต็กเนื้อวากิวฉ่ำๆ และเมนูไส้กรอกกวางรมควัน ที่ต้องบอกเลยว่าอร่อยมากแถมไม่มีมันด้วย ราคาเพียง 280 บาทเท่านั้น
ปิดท้ายกันด้วยเมนูขนมหวานไทยโบราณหากินยากแบบสุดๆ นั่นก็คือ ดาวล้อมเดือน ที่มีสัมผัสละมุน ตัวแป้งหลากสีสันที่มีไส้ถั่วอยู่ด้านใน ราดด้วยน้ำกะทิเคี่ยวและโรยงาคั่ว ทั้งหอมทั้งอร่อย ถ้วยละ 65 บาท
นอกจากเมนูอาหารแล้ว ทางร้านยังมีเมนูเครื่องดื่มเย็นๆ ให้สั่งมาเติมความสดชื่นกันอีกหลากเมนูเลย
พักผ่อน เติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางมาเที่ยวกันต่อที่วัดถ้ำน้ำ ที่มีอันซีนสุดอลังการนั่นก็คือถ้ำหินแกรนิต พร้อมกับลำธารที่เป็นน้ำบาดาลไหลเวียนอยู่ภายในถ้ำ โดยด้านหน้าทางเข้าถ้ำจะมีพระพุทธรูป พระฤๅษี ให้ได้กราบขอพรก่อนเข้าไปชมความสวยงาม
เมื่อเข้าสู่ภายในถ้ำ จะสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ และด้วยความที่พื้นถ้ำส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่น้ำบาดาล เลยทำให้บรรยากาศในถ้ำเย็นอยู่ตลอดเวลา
ไฮไลท์ของถ้ำก็คือเสาหินที่เกิดจากหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางโถงทางเดินกันเลย
เมื่อเดินเข้าไปเรื่อยๆ พื้นที่ในถ้ำจะลดหลั่นกันไปตลอดทาง ทั่วทั้งผนังถ้ำที่ถูกกร่อนเป็นช่อง จะมีไฟหลากสีประดับไว้อย่างสวยงาม เหมือนกับได้เข้ามาอยู่ในเมืองบาดาลแบบสุดๆ บอกเลยว่าเป็นมุมถ่ายรูปที่อลังการมาก
พื้นที่ของโถงที่อยู่กลางถ้ำ มีรูปปั้นพญานาคสีขาวสุดอลังการให้ได้ขอพรและเป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ตั้งอยู่
โถงด้านในสุดของถ้ำเป็นที่ประดิษฐานของหลวงปู่ดำ พระพุทธรูปประธานองค์ใหญ่ให้ได้เข้ากราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล อีกทั้งตลอดทั่วทั้งถ้ำยังมีพระพุทธรูปปางต่างๆ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ไหว้เสริมดวงกันอีกด้วย
หลังจากไหว้พระเติมแต้มบุญกันแล้ว เราก็มาเช็คอินกันที่ที่พักของเราในทริปนี้ ซึ่งเราเข้าพักที่ ดำเนินพวา รีสอร์ท บ้านต้นไม้ ที่พักโลเคชั่นสุดปังตั้งอยู่ระหว่างอัมพวาและ อ.ดำเนินสะดวก เป็นรีสอร์ทที่ได้รับรางวัลการันตีจากกระทรวงสาธารณสุขให้เป็น Green Hotel เพราะนอกจากจะตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบแล้ว ยังอยู่ติดกับริมคลองบางน้อยอีกด้วย และมาพร้อมกับการตกแต่งสไตล์สแกนดิเนเวียน บอกเลยว่าร่มรื่น บรรยากาศดีสุดๆ ตามคอนเซปต์ของโรงแรมที่เป็น Design Natural Peace Worth
ระหว่างรอเช็คอิน ทางรีสอร์ทจะเสิร์ฟ Welcome Drink อย่าง Blooming Freshy ที่เมื่อเขย่าก่อนดื่มแล้วก็จะสัมผัสได้ถึงความสดชื่นจากความเปรี้ยว หวาน และความหอม บอกเลยว่ากินแล้วหายเหนื่อย คลายร้อนได้ดีแบบสุดๆ
โดยโซนที่พักของรีสอร์ทจะแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักๆ คือโซนโรงแรมและโซนรีสอร์ท ซึ่งมีห้องพักให้เลือกถึง 10 รูปแบบ กว่า 62 ห้อง และห้องพักที่เราเลือกในทริปนี้เป็นห้องพักแบบบ้านต้นไม้ จากุซซี่ ที่เป็นห้องพักในโซนรีสอร์ท ซึ่งมีเพียง 3 หลังเท่านั้น ความโดดเด่นของบ้านต้นไม้ จากุซซี่อยู่ที่เป็นวิลล่าแบบส่วนตัว 2 ชั้น อยู่ติดกับริมคลองบางน้อยซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านไม้ริมคลองที่เป็นบ้านดั้งเดิมของวิถีชีวิตริมคลองของอัมพวาที่ผสมผสานกับความเป็นสมัยใหม่เข้าไปได้อย่างลงตัว โดยราคาอยู่ที่ 9,800 บาท/คืน สามารถเข้าพักได้มากถึง 4 คน (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาสอบถามกับทางที่พักโดยตรงอีกครั้ง)
ภายในห้องพักเน้นใช้โทนสีน้ำตาลและสีดำเป็นหลักและใช้วัสดุจากธรรมชาติ ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและเรียบหรู อีกทั้งยังสื่อถึงความเป็นธรรมชาติของอัมพวาอีกด้วย และในส่วนของที่นอนจะแบ่งเป็นเตียงหลังใหญ่ชั้นล่าง และเตียงแบบฟูกที่ชั้นใต้หลังคาด้านบน บอกเลยว่าเหมาะกับการมาเป็นกลุ่มสุดๆ หรือจะมากับครอบครัวก็นอนได้สบาย
นอกจากจะตกแต่งดีแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ไม่ว่าจะเป็นแอร์ที่มีถึง 2 ตัว ทีวี ไดร์เป่าผม ชุดคลุมอาบน้ำ แชมพู ยาสระผม นอกจากนี้ยังมีส่วนของระเบียงให้ได้ออกไปนั่งรับลมชมวิวฝั่งคลองได้แบบสบายๆ
ไฮไลท์อีกอย่างของบ้านต้นไม้ จากุซซี่ก็คืออ่างจากุซซี่เอาท์ดอร์วิวคลอง ซึ่งจะอยู่ที่ชั้นล่างของบ้านพัก พร้อมด้วยหลังคาแบบเปิดปิดอัตโนมัติ บอกเลยว่าสายคอนเทนต์จะต้องถูกใจแน่นอน ออกมาแช่น้ำมองวิวท้องฟ้าชิลล์ๆ แถมยังได้รูปสวยๆ เพียบ
พักผ่อนแช่น้ำกันแล้ว เราก็ออกมาเดินเล่นดูบรรยากาศความกรีนรอบๆ รีสอร์ทกันต่อ ต้องบอกเลยว่าที่ดำเนินพวา รีสอร์ท บ้านต้นไม้ไม่ว่าจะมุมไหนก็ร่มรื่นมาก อย่างมุมกลางสวนที่มีน้ำพุแบบยุโรปที่ถ่ายรูปน่ารักมากๆ
แถมยังมีพื้นที่ส่วนกลางอย่างออนเซ็นแบบเอาท์ดอร์ที่มีน้ำตกจำลอง พร้อมกับวิวสวยๆ อย่างบ้านฮ็อบบิทมาให้ได้นอนแช่ ผ่อนคลายกันอีกด้วย หรือจะไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำแบบวิวคลองบางน้อยที่ตั้งอยู่ในโซนโรงแรมก็ดีไม่แพ้กัน
เดินเล่นได้สักพักก็ได้เวลาของมื้อเย็นพอดีและเราก็ไม่ต้องออกไปที่ไหน เพราะทางรีสอร์ทมีร้านอาหารให้บริการพร้อม นั่นก็คือ ร้านอาหารดำเนินพวา ซึ่งเป็นร้านที่ตั้งอยู่ติดกับริมน้ำ บอกเลยว่าบรรยากาศดีสุดๆ เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 11.00 – 22.00 น. กันเลยทีเดียว
โซนที่นั่งของร้านมีทั้งโซนอินดอร์ที่เป็นห้องแอร์สุดเย็นฉ่ำ ที่มาพร้อมกับการตกแต่งแบบเน้นความเป็นไทยพื้นบ้าน อีกทั้งตัวอาคารยังเป็นแบบห้องกระจกที่สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้แบบชัดเจน
โซนที่เป็นไฮไลท์ของร้านก็คือโซนเอาท์ดอร์ด้านนอก ซึ่งตั้งอยู่เรียงติดกับริมคลองที่สามารถมองเห็นวิวความเขียวของต้นไม้และวิวท้องฟ้าได้แบบเต็มๆ
ในส่วนเมนูอาหารของทางร้านจะเน้นเป็นเมนูอาหารไทยโบราณและเมนูอาหารพื้นบ้านของแม่กลอง ไม่ว่าจะเป็นปลาทูทอดราดน้ำปลาหอมๆ 300 บาท เมนูเป็ดร่อน ที่เสิร์ฟมาพร้อมเป็ดทั้งตัว กินคู่กับข้าวเกรียบกรอบๆ และน้ำจิ้มที่หลากหลาย ราคาเพียง 650 บาท หรือจะเป็นน้ำพริกปลาทู ที่จัดมาพร้อมผัดสดปลอดสารพิษที่หลากหลาย ราคา 300 บาท และเมนูอื่นๆ อีกเพียบ!
นอกจากนี้ยังมีเมนูแกงไทยที่สายสุขภาพจะต้องเลิฟอย่างแกงเลียงหัวปลีใส่กุ้ง ที่มีผักหลากหลายชนิด ซึ่งเป็นผักปลอดสารที่ทางร้านปลูกโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำจากเศษอาหารของทางร้าน ที่ต้องบอกเลยว่ามั่นใจได้ว่าทั้งสด ปลอดภัย และไร้สารพิษ ไม่ว่าจะเป็นบวบ ฟักทอง เห็ด รวมทั้งกุ้งตัวใหญ่ ราคาหม้อละ 450 บาท
ต้มยำกุ้งมะพร้าวอ่อนสุดละมุนตามตำรับต้มยำกุ้งแบบไทย โดยน้ำต้มยำทางร้านใช้น้ำมะพร้าว ทำให้กลิ่นหอมกรุ่นและหวานละมุนอย่างเป็นธรรมชาติของน้ำมะพร้าวทำให้ต้มยำกลมกล่อม มีเอกลักษณ์ เสริมความอร่อยด้วยกุ้งตัวใหญ่เนื้อแน่น พร้อมด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อนที่นุ่มหอมกำลังดี ราคาอยู่ที่ 490 บาท
นอกจากเมนูอาหารจะดีแล้ว ในช่วงเย็นของทุกวัน เวลาประมาณ 18.00 – 22.00 น. ยังมีดนตรีสดเพราะๆ ให้ได้นั่งฟังเคล้ากับบรรยากาศไปแบบสบายๆ อีกด้วย
พักผ่อนกับมื้อค่ำไปแล้ว ก็ได้เวลาของการมู เราเดินทางมาเช็คอินกันที่วัดบางกุ้ง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นหนึ่งในอันซีนของอัมพวา ซึ่งกำลังมาแรงแบบสุดๆ เพราะเชื่อกันว่าหากได้มากราบหลวงพ่อนิลมณีในช่วงกลางดึกจะได้รับความเป็นสิริมงคลและโชคลาภกันแบบเน้นๆ โดยเราใช้เวลาเดินทางจากที่พักเพียง 10 นาทีเท่านั้น สะดวกสุดๆ
มาถึงแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง แลกเงินและทำบุญค่าธูปเทียน พร้อมกับอธิษฐานขอพรกันด้านหน้าโบสถ์ปรกโพธิ์ ก่อนเข้าไปกราบหลวงพ่อนิลมณีด้านใน
หลวงพ่อนิลมณีเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ที่คลุมด้วยรากโพธิ์ ซึ่งด้านในไทางวัดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่ถ้าใครอยากได้รูปกลับไปเพื่อความเป็นสิริมงคลก็สามารถถ่ายรูปด้านหน้าโบถส์ได้เลย ได้มากราบขอพรหลวงพ่อนิลมณีถือเป็นการปิดท้ายวันแรกได้แบบอิ่มบุญสุดๆ
วันที่ 2 เราตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาทำกิจกรรมแรกของทางรีสอร์ท นั่นก็คือใส่บาตรพระริมคลอง ซึ่งพระจะพายเรือมาถึงท่าน้ำหน้ารีสอร์ทประมาณ 06.40 น. และทางรีสอร์ทมีชุดใส่บาตรบริการให้พร้อม เราสามารถเลือกได้ว่าจะเลือกเป็นชุดจังหัน (อาหารเช้า) หรือชุดสังฆทาน พร้อมด้วยน้ำหยาด โดยราคาอยู่ที่ 299 บาทเท่ากันทั้ง 2 แบบ
เติมแต้มบุญกันไปแล้ว ก็มาต่อกันกับอาหารเช้าแบบไลน์บุฟเฟ่ต์ที่มีให้เลือกกันแบบจุกๆ พร้อมด้วยอาหารสุดหลากหลาย ทั้งอาหารไทย อาหารนานาชาติ ขนม เครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัด ซุปเยื่อไผ่ ข้าวต้ม สลัดผัก ผลไม้ ขนมปัง และอื่นๆ อีกเพียบ ซึ่งห้องอาหารเช้าเป็นที่เดียวกับกับร้านดำเนินพวาในส่วนอินดอร์ ซึ่งเปิดให้บริการอาหารเช้าตั้งแต่ 07.00 – 10.00 น.
เช็คเอาท์ออกจากรีสอร์ทเรียบร้อย เดินทางมาเติมแต้มบุญรัวๆ กันต่อที่วัดสวนหลวง อีกหนึ่งวัดเก่าแก่ที่มีอายุนับตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายและเป็นอีกหนึ่งวัดศักดิ์สิทธิ์ของอัมพวาที่มีพี่จุก กุมารเทพ หุ่นไม้ตะเคียนดำแกะสลักรูปเด็กผมจุก สวมลูกประคำหรือสังวาลย์ ซึ่งลอยมาติดบริเวณหน้าวัดที่ชาวบ้านต่างให้ความเคารพนับถือกันเป็นจำนวนมากและเชื่อกันว่าถ้าใครได้มาขอพร ต่างก็ได้โชคลาภและสมปรารถนากันกลับไป
ภายในศาลาของวัดมีพระพุทธรูปปางต่างๆ หลายองค์ประดิษฐานอยู่ให้ได้กราบเพื่อความเป็นสิริมงคล อีกทั้งด้านข้างของพระพุทธรูปยังมีรูปปั้นจำลองของพี่จุก และพี่จันตั้งอยู่ ซึ่งคนนิยมมาขอพรกันในด้านการงาน อาชีพ ค้าขายที่ดิน โชคลาภ และการเงิน
ไหว้พระกันเสร็จก็ได้เวลาเกือบเที่ยงพอดี ไหนๆ มาแถบอัมพวา – ราชบุรี (ดำเนินสะดวก) แล้วก็ต้องมาเช็คอินกันที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก โลเคชั่นท่องเที่ยวยอดฮิตของที่นี่กันสักหน่อย ต้องบอกเลยว่าในปัจจุบัน บรรยากาศในตลาดน้ำก็ยังคึกคักไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย มีร้านค้าทั้งสองฝั่งคลอง มีพ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือขายของกันมากมาย แถมยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวเพียบ!
มาถึงแล้ว อย่างแรกที่เราทำเลยก็คือกินข้าวมื้อกลางวัน เรามานั่งกันที่ร้านอร่อยในตลาดน้ำ นั่นก็คือ ครัวเจ๊เนาว์ ร้านอาหารริมน้ำ ที่สามารถมองเห็นวิถีชีวิตและสัมผัสบรรยากาศที่คึกคักของตลาดได้แบบใกล้ชิด ตัวร้านเป็นแบบเปิดโล่งสบายๆ เน้นเป็นเมนูอาหารไทยที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้งสุดเข้มข้น ผัดผงกะหรี่ทะเล นอกจากนี้ยังมีร้านหมูกรอบ หมูแดง รวมทั้งร้านปอเปี๊ยะทอดและขนมพื้นบ้าน ที่สามารถสั่งมานั่งกินที่โต๊ะได้แบบพร้อมกันอีกด้วย
อิ่มอร่อยกันไปแล้ว เราก็เที่ยวชมตลาดน้ำด้วยการเหมาเรือนั่งชมวิถีชีวิตในตลาดและบ้านเรือชายคลอง ซึ่งเราใช้บริการของท่าเรือหญิงกอล์ฟ โดยเรือจะมีให้เลือกทั้งแบบเรือพาย ซึ่งราคาอยู่ที่ 500 บาท/รอบ และเรือยนต์ 1,000 บาท/รอบ
เรือจะพาเรานั่งชมบรรยากาศทั่วทั้งตลาด ลัดเลาะตามบ้านเรือนและร้านต่างๆ ซึ่งในคลองก็จะมีเรือของพ่อค้าแม่ค้าที่พายมาขายกันแบบคึกคักสุดๆ เรือแต่ละลำก็มีทั้งผลไม้สดๆ จากสวน ของที่ระลึก ไปจนถึงอาหารอย่างก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้มแห้ง คลาสสิกมากๆ
มีของฝากน่ารักๆ และสินค้าจากภูมิปัญญาชาวบ้านให้ได้ซื้อกลับไปอีกด้วย
นอกจากการนั่งเรือชมตลาดแล้ว ยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำอีกด้วย อย่างการสาธิตการทำน้ำตาลปึก โดยมีคุณลุงสอนทีละขั้นตอนอย่างละเอียดกันเลย และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
แถมในร้านของคุณลุงยังมีของน่ารักๆ ให้เลือกซื้อหลายอย่างเลย
ปิดท้ายทริปด้วยการเติมความผ่อนคลายกันแบบเน้นๆ ที่ TREE SHADE คาเฟ่เล็กๆ ท่ามกลางความสงบและความกรีนของเหล่าต้นไม้ ที่ต้องบอกเลยว่าเพียงแค่เข้าไปในพื้นที่ของร้านก็สดชื่นมากๆ แถมไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เฟรชขั้นสุด ซึ่งตัวร้านตกแต่งด้วยบรรยากาศแบบแคมปิ้งกลางธรรมชาติ ชิลล์มากๆ
ในส่วนของโซนที่นั่งมีทั้งแบบอินดอร์ในตัวร้านเล็กๆ สุดอบอุ่น และโซนเอาท์ดอร์ที่เป็นโซนไฮไลท์ของทางร้านที่มีให้เลือกทั้งแบบเอาท์ดอร์ริมน้ำฉ่ำๆ และกลางสวนสุดร่มรื่น
ทางร้านตกแต่งโซนแคมปิ้งได้น่ารักสุดๆ เพราะนอกจากจะมีชุดเก้าอี้ให้แล้ว ยังมีอุปกรณ์เหมือนมาตั้งแคมป์จริงๆ ให้ได้ถ่ายรูปเช็คอินสวยๆ เพียบ
มาต่อกันกับเมนูของ TREE SHADE ที่เรียกได้ว่าจัดเต็มแบบสุดๆ โดยเมนูอาหารส่วนใหญ่มีทั้งอาหารไทยและอาหารแบบฟิวชั่นรสชาติเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นข้าวแกงกะหรี่แฮมเบิร์กหมู ที่น้ำแกงกะหรี่หอมๆ กับหมูแฮมเบิร์กหมูสุดนุ่ม ราคาเพียง 109 บาท หรือจะเป็นเมนูสุดอลังการอย่าง ซี่โครงหมูย่างซอสบาร์บีคิว ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับเฟรนซ์ฟรายส์ ข้าวโพดย่าง และมันบด ราคาชุดละ 289 บาท นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มเติมความสดชื่นอย่าง Sun Set Slush ที่รวมเอาผลไม้รสจี๊ดจ๊าดอย่างสับปะรด ส้ม ผสานกับความเย็นสดชื่นของแตงโมไว้ด้วยกัน แก้วละ 90 บาท และยังมีเมนูอาหาร รวมทั้งเครื่องดื่มอร่อยๆ อย่างอื่นให้เลือกสั่งอีกเพียบ!
ทั้งหมดนี้ก็คือทริปราชบุรี – อัมพวา 2 วัน 1 คืน นอนรีสอร์ทริมคลอง เช็คอินสองเมืองสุดเฟรช ที่ต้องบอกเลยว่าเต็มอิ่ม ครบทุกรูปแบบการเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวชมอันซีนจากธรรมชาติและวิถีชีวิต เที่ยวไหว้พระเสริมดวงที่สองวัดดัง และเที่ยวเพื่อพักผ่อนไปกับธรรมชาติในรีสอร์ทและคาเฟ่ท่ามกลางความสงบ แถมยังเดินทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกด้วย เอาเป็นว่าวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ใครที่กำลังแพลนเที่ยวสบายๆ ที่ มีเวลาแค่ 2 วันก็เอาอยู่ ขอแนะนำเส้นทางราชบุรี – อัมพวาเลย!
สรุปค่าใช้จ่าย ทริปราชบุรี – อัมพวา 2 วัน 1 คืน นอนรีสอร์ทริมคลอง เช็คอินสองเมืองสุดเฟรช
– ค่าอาหารและเครื่องดื่มร้าน คาเฟ่เดอรามัญ (De’La Mon) รวม 2,682 บาท
– ค่าห้องพักดำเนินพวา รีสอร์ท บ้านต้นไม้ คืนละ 9,800 บาท
– ค่าอาหารและเครื่องดื่มร้านอาหารดำเนินพวา รวม 3,239 บาท
– ค่าอาหารและเครื่องดื่มร้านครัวเจ๊เนาว์ รวม 620 บาท
– ค่าเหมาเรือชมตลาดน้ำ ราคา 500 บาท
– ค่าอาหารและเครื่องดื่ม Tree Shade รวม คนละประมาณ 786 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดทริปอยู่ที่ประมาณคนละ 5,876 บาท (ราคาหาร 3 )
** ราคาไม่รวมค่าน้ำมัน ค่าทำบุญ และของฝากอื่นๆ**
เป็นอย่างไรกันบ้างกับทริปราชบุรี – อัมพวา 2 วัน 1 คืน นอนรีสอร์ทริมคลอง เช็คอินสองเมืองสุดเฟรช ถ้าใครชอบก็วางแพลนไปเที่ยวตามกันได้เลย หรือถ้าใครอยากวางแพลนเที่ยวเอง เราก็มี 10 ที่กิน ที่เที่ยวราชบุรี อัปเดตครึ่งปีหลัง 2022 ต้องไปเช็คอิน และ 23 จุดเช็คอินอัมพวา สมุทรสงคราม เที่ยวสบายๆ ใกล้กรุงเทพฯ จัดครบทั้งวัดดัง ที่กิน ที่เที่ยว! มาแนะนำกันด้วยนะ