แม่กำปอง 2 วัน 1 คืน ตะลอนเก็บทุกมุมเด็ดทั่วหมู่บ้าน กินกาแฟ แช่น้ำตก ใช้ชีวิตแบบ Slow Slow
183,446 ครั้ง
31 ต.ค. 2561
183,446 ครั้ง
31 ต.ค. 2561
แม่กำปอง หลายคนคงเคยได้ยินชื่อและเห็นรีวิวผ่านหูผ่านตากันมาแบบนับไม่ถ้วน ด้วยมนต์เสน่ห์และความเรียบง่าย ทำให้หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ กลายเป็นจุดเช็คอินของนักท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดาย และวันนี้ก็ถึงคราวของทริปเก็ทเตอร์ ที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ หมู่บ้านแม่กำปอง กันแบบเจาะลึกจัดเต็ม เก็บทุกรายละเอียดภายในระยะเวลา 2 วัน 1 คืน ว่าแล้วก็อย่ารอช้ารีบไปลุยพร้อมกันเลย !
ทริปนี้เราเดินทางโดยเครื่องบินจากรุงเทพไปจังหวัดเชียงใหม่ในตอนเช้าตรู่ และเช่ารถยนต์จากสนามบินเพื่อใช้ในการเดินทางท่องเที่ยวในทริปนี้ หากใครอยากใช้บริการรถสาธารณะก็มีทั้งรถแดง รถเหลืองที่สามารถหาเช่าเหมาคันมาเที่ยวกันได้ นอกจากนี้ยังมีรถตู้ให้บริการจากสถานีขนส่งช้างเผือกพาไปถึงบ้านแม่กำปองกันอีกด้วย
เราออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ช่วงสายๆ ในเช้าวันธรรมดาเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย เพื่อสัมผัสความสโลว์ไลฟ์อย่างแท้จริง จากตัวเมืองเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงบ้านแม่กำปองกันแล้ว โดยเส้นทางส่วนมากจะเป็นถนนลาดยาง เดินทางสะดวก รถเล็กๆ ไม่ต้องกลัวจะขึ้นไม่ไหว
—–
เรามาถึงอำเภอแม่ออนช่วง 11 โมงกว่าๆ ก่อนเข้าหมู่บ้านขอแวะเช็คอินกับคาเฟ่ริมน้ำตกประเดิมทริปกันที่ Teddu Coffee ร้านนี้จะอยู่ก่อนถึงหมู่บ้าน 100 เมตร เรียกว่าเป็นคาเฟ่กลางป่าอย่างแท้จริง จากถนนต้องเดินลึกเข้าไปอีก 50 เมตร และจะพบกับร้านและบาร์สำหรับสั่งเมนู
มุมน้ำตกจะถัดเข้าไปด้านใน มีมุมโอเพ่นมากมายด้วยโต๊ะและเบาะนุ่มๆ ให้นั่งเหม่อชมวิวเพลินๆ
ส่วนเมนูที่นี่ก็มีให้เลือกสั่งมากมาย มีทั้งเบเกอรี่ เครื่องดื่มร้อนและเย็น และช่วงท่องเที่ยวปลายปีแบบนี้ก็มีอาหารมื้อหลักให้บริการด้วย และที่สำคัญมีน้องแมวตัวอ้วนให้คลอเคลียด้วยนะ
รองท้องกันไปเรียบร้อยก็ถึงเวลาเข้าหมู่บ้านไปสัมผัสความสโลว์ไลฟ์กันแล้ว ต้องบอกก่อนว่าหมู่บ้านแม่กำปองเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่สองข้างทางเป็นบ้านและมีถนนเล็กๆ 2 เลนตลอดเส้นทาง ดังนั้นเรื่องที่จอดรถถือว่าค่อนข้างน้อย โดยจุดจอดรถจะมี 2 จุดใหญ่ๆ คือโรงเรียนซึ่งอยู่ปากทางเข้า และวัดแม่กำปองที่อยู่กลางหมู่บ้าน ซึ่งแนะนำให้จอดตรงปากทางเข้าเลยจะสะดวกกว่า ระหว่างเส้นทางสองฝั่งเรียงรายด้วยร้านของกิน คาเฟ่ ตัดสลับกับบ้านพักของชาวบ้าน มีทั้งร้านอาหารเมือง ไข่ป่าม มันเผา
และก็เข้าช่วงเที่ยงพอดีเราเลยแวะกินมื้อแรกที่ ร้านไส้อั่วแม่นิ่ม ซึ่งร้านนี้จะเน้นขายอาหารพื้นบ้าน มีตำส้ม (ส้มตำในภาษาเหนือ) ลาบหมู ต้มแซ่บ และเมนูทอดต่างๆ ส่วนซิกเนเจอร์ก็ต้องเป็น ไส้อั่วสูตรแม่นิ่ม อย่างแน่นอน ส่วนราคาก็เหมือนตามร้านทั่วไป ถึงจะอยู่บนดอยแต่ไม่มีชาร์ตเพิ่ม
โต๊ะนั่งมีค่อนข้างเยอะ นั่งหน้าร้านก็ได้ดูคน นั่งด้านในก็เย็นดี ส่วนมุมเด็ดต้องริมน้ำซึ่งเต็มตลอด
บริเวณตรงข้ามร้านอาหาร ก็มีแกลอรี่เล็กๆ แมวดอยแกลอรี่ ให้ชมงานอาร์ต และช้อปของฝากด้วยนะ
อิ่มท้องกันแล้วก็ถึงเวลาเดินย่อยชมหมู่บ้าน จากร้านเดินถัดขึ้นไปจะเป็นโซนโฮมสเตย์ที่อยู่ติดริมลำธาร เดินกันชิลล์ๆ ประมาณ 100 เมตรจะเจอกับ วัดคันธาพฤกษา หรือ วัดแม่กำปอง นั่นเอง ซึ่งวัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2473 เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านแม่กำปองมา 90 ปีมาแล้ว
เข้ามาภายในวัดบรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงน้ำไหลที่อยู่ทางด้านล่าง เดินตามเส้นทางลงมาตามเนินเขาจะพบกับลำธารและโบสถ์หลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางน้ำ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่ง Unseen ของหมู่บ้านแม่กำปองกันเลย
เดินเลาะขึ้นมาด้านบนจะพบกับ วิหารไม้สักทองหลักใหญ่ ที่สร้างในแบบล้านนาด้านหน้าประดับลวดลายพันธุ์พฤกษาได้อย่างประณีต เลยขอแวะเข้าไปสักการะกันสักหน่อย
มีสวยดอกไม้แบบชาวเหนือที่ชาวบ้านเตรียมไว้ให้ด้วย
เดินยังไม่จุใจขอไปชิลล์ๆ ชมน้ำตกอีกสักหน่อย จากวัดเราเดินลุยกันต่อที่ น้ำตกแม่กำปอง ซึ่งน้ำตกแห่งนี้อยู่ลึกเข้าไปบนเนินเขาหลังหมู่บ้าน ห่างจากวัดราวๆ 1 กิโลเมตร จะขับรถหรือเดินชิลล์ๆ ก็พอเรียกเหงื่อ แต่ระหว่างทางก็มีคาเฟ่สุดฮิปอย่าง ชมนกชมไม้ ให้นั่งพักผ่อน ชมวิวจิบเครื่องดื่มเย็นๆ
มาถึงแล้วก็ขอแวะมาเช็คอิน กินกาแฟ ชมวิวบ้านแม่กำปองกันสักหน่อย
เดินชิลล์จนลืมเวลาถึงน้ำตกก็เกือบบ่ายสาม น้ำตกแห่งนี้เป็นต้นน้ำที่จะไหลไปเป็นลำธารผ่านโฮมสเตย์ต่างๆ โดยน้ำตกแห่งนี้จะมีน้ำไหลตลอดทั้งปี น้ำตกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น โดยชั้นแรกจะเป็นทางราบมีสะพานและชั้นหินเล็กๆ สามารถเดินเอาเท้าแช่น้ำได้
ส่วนชั้น 2 จะเป็นน้ำตกที่ไหลมาตามหิน มีความยาวประมาณ 2-3 เมตร เอียงเป็นมุมเหมือนสไลด์เดอร์ และมีสะพานพาเราขึ้นไปยังด้านบน
และชั้นสุดท้ายจะเป็นน้ำตกที่ไหลจากหน้าผา จากมุมนี้เราสามารถได้รับละอองน้ำตกกระทบแบบเต็มๆ เรียกความสดชื่นได้เต็มอิ่ม ซึ่งความจริงแล้วมันยังมีทางเดินขึ้นไปอีก แต่ถูกปิดไว้เพราะสะพานชำรุดเลยอดลุยกันต่อ ซึ่งตามข้อมูลน้ำตกแห่งนี้มีถึง 7 ชั้นด้วยกัน
เริ่มเย็นแล้วขอกลับเข้าที่พักเลยละกัน สำหรับทริปนี้เรานอนที่ บ้านป้อหลวงแม่หลวง ที่พักสวยกลางธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ในโซนท้ายหมู่บ้าน บรรยากาศเงียบสงบ และมีลำธารน้ำไหลผ่านกลางโฮมสเตย์
อากาศดีมากเย็นสบาย ดีไซน์บ้านพักได้อย่างสวยงาม มีมุมให้เก็บภาพเซลฟี่ชีวิตดีๆ แบบเพียบเลย
ส่วนมื้อเย็นมาเยือนเมืองเหนือทั้งทีก็ต้องไม่พลาดกับเซ็ตขันโตก ที่จัดมาแบบคอมโบ้ ฟินสุดๆ
และปิดท้ายค่ำคืนด้วยการเล่นน้ำตกเย็นๆ ก็ดีไม่น้อย สามารถอ่านรีวิวฉบับเต็ม บ้านป้อหลวงแม่ปลวง ได้เลย
มาแม่กำปองทั้งทีแนะนำให้ตื่นเช้าๆ สัมผัสความหนาวเย็นและไอหมอก แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้ ก็มีจุดชมวิวให้ชมทะเลหมอกด้วย กิ่วฝิ่น ซึ่งอยู่ถัดจากน้ำตกแม่กำปองขึ้นไปประมาณ 3 กิโลเมตร และเส้นทางก็ถือว่าค่อนข้างชัน มีโค้งหักศอกต้องอาศัยความชำนาญในการขับพอสมควร แต่หากใครไม่มั่นใจก็สามารถติดต่อให้ชาวบ้านพาขึ้นไปได้ โดยเบอร์โทรจะติดอยู่รอบหมู่บ้าน ค่าบริการประมาณคนละ 100 บาท
กิ่วฝิ่น อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,517 เมตร และตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานฯ แจ้ซ้อน เรียกว่าข้ามไปอีกนิดก็จังหวัดลำปางแล้ว และจากจุดนี้เราสามารถชมวิวป่าได้คลอบคลุมถึง 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และลำพูนเลยทีเดียว
ช่วงสายๆ ท้องเริ่มหิว เราเช็คเอาท์ออกจากที่พักและแวะกินมื้อเช้าในหมู่บ้านที่ ร้านข้าวซอยกลอยใจ ร้านนี้มีอาหารให้เลือกหลายสิบเมนู ทั้งส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว ของปิ้งย่าง และเมนูเด็ดพื้นเมืองอย่าง ข้าวซอย ก็เข้มข้นเด็ดสมใจจริงๆ แถมเจ้าของร้านยังใจดีสุดๆ
ข้าวซอยไก่ 60 บาท
และมาถึงแม่กำปองทั้งทีจะมาพลาด มุมสุดฮิตที่ร้าน ลุงปุ๊ดป้าเป็ง ก็เหมือนมาไม่ถึง ภายในร้านบรรยากาศดีมีมุมริมน้ำและสะพานให้ถ่ายรูปสวย
ส่วนเมนูที่เราลิ้มลองก็คือเซ็ตชาอู่หลง 50 บาทและทาร์ตมะนาว ราคา 85 บาท ช่วยคลายหนาวได้เยอะ ปิดท้ายทริปแม่กำปองได้อย่างสวยงาม
เป็นยังไงกันบ้างทริปนี้ขอบอกเลยว่าเน้นชิลล์ เน้นกิน แวะตะลุยเก็บมาเรียกว่าอะไรเด่นๆ ในหมู่บ้านเหมือนยกมารวมกันไว้ที่นี่แล้ว และหวังว่าทริปนี้จะเป็นตัวช่วย ที่อยากให้ทุกคนมาเที่ยวแม่กำปอง หมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาสุดสโลว์ไลฟ์…