เที่ยวเสียมราฐ 3 วัน 2 คืน เช็คอินนครวัด นครธม ชมความงามอารยธรรม 1000 ปี
4,294 ครั้ง
31 ต.ค. 2566
4,294 ครั้ง
31 ต.ค. 2566
เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา หนึ่งใน Bucket List ของนักท่องเที่ยวที่ต้องไปสักครั้ง เมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยและความสวยงามทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีความสำคัญในฐานะเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม และทริปนี้เราจะไป เที่ยวเสียมราฐ 3 วัน 2 คืน เช็คอินนครวัด นครธม ชมความงามอารยธรรม 1000 ปี ไปดูความอันซีนของสถาปัตยกรรมโบราณ ปักหมุดทุกโบราณสถานสำคัญ และเดินเล่นชิลล์ๆ หา Street food อร่อยๆ ปิดท้ายด้วยแสงสียามค่ำคืนของเสียมราฐ บอกเลยว่าทริปนี้พาเที่ยวแบบจุกๆ เก็บครบทุกไฮไลท์แน่นอน
สำหรับทริปนี้เราจะพาทุกคนไปตื่นตาตื่นใจกับความงามของหนึ่งในเมืองมรดกโลกอย่าง เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณที่มีอายุกว่า 1,000 ปี ถึงแม้จะผ่านช่วงเวลามานาน ร่องรอยอารยธรรมเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์และได้รับการบูรณะเรื่อยมา ทำให้เรายังสัมผัสได้ถึงความขลังของนครเก่าแก่และความมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมที่ใครจะไปเชื่อว่าคนในสมัยนั้นจะสร้างมาได้อย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่ก่อนอื่นเรามาเตรียมตัวและข้อควรรู้ก่อนเที่ยวเสียมราฐกันก่อน
หลังจากเตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว ก็เริ่มทริปกันเลยยย เราบินตรงจากดอนเมืองมุ่งสู่ เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1 ชั่วโมง สำหรับใครที่ไม่เคยมาเที่ยวกัมพูชาและต้องการความสะดวกสบาย สามารถจองรถล่วงหน้าได้จากเพจ ไกด์เขมรพูดไทยพาเที่ยว – กัมพูชา หรือ ID Line: 070535387 โดยที่นี่มีบริการรถหลายขนาด ทั้งรถเก๋ง รถตู้ รถใหญ่ 25 ที่นั่ง หรือใครอยากได้ไกด์นำเที่ยวก็จ้างได้เลย หลังจากที่เราจองรถเรียบร้อย พอมาถึงสนามบินก็จะมีพี่ๆ มาต้อนรับและพร้อมพาเที่ยวเลย
**ช่วงที่ไปเป็นสนามบินเก่าเสียมราฐ ตอนนี้ได้ย้ายที่ใหม่เป็นสนามบินนานาชาติเสียมราฐ-อังกอร์(SAI) ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2566
สำหรับทริปนี้เราเหมารถตู้ จำนวน 9 ที่นั่ง พร้อมคนขับและไกด์นำเที่ยว โดยไกด์จะเป็นคนกัมพูชาที่สามารถพูดภาษาไทยได้ พร้อมให้คำแนะนำและเล่าเรื่องประวัติศาสตร์สนุกๆ และจองทั้งหมด 3 วัน พาเที่ยวทั้งในเมืองและนอกเมือง ราคาทั้งหมด 290 ดอลลาร์ (ประมาณ 10,666 บาท) รวมค่าน้ำมัน ค่าไกด์ และค่าคนขับ
ข้างในรถตู้กว้าง สะดวกสบายมาก และยังมีน้ำดื่มคอยบริการตลอด
พี่ไกด์น่ารักมาก ชวนพูดคุยตลอด แถมยังเล่าเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ได้สนุกสุดๆ
ก่อนจะใช้พลังไปกับการเที่ยวเสียมราฐ พี่ไกด์ก็แนะนำร้าน Neary Khmer Restaurant เป็นร้านอาหารพื้นเมืองที่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว บรรยากาศในร้านเหมาะกับการพาครอบครัวมา ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสบายตา แถมมีที่นั่งให้เลือกเยอะมาก แบ่งเป็นอินดอร์ห้องแอร์และเอาท์ดอร์ นอกจากนี้การบริการของพนังการก็ยิ้มแย้ม พร้อมให้ความช่วยเหลือและแนะนำเมนูที่มาแล้วต้องลอง
ในร้านปลูกต้นไม้เยอะมาก บรรยากาศร่มรื่นสุดๆ
อาหารกัมพูชาไม่ได้ต่างจากอาหารไทย มีหลายเมนูที่เราคุ้นเคย อย่างผัดผักและกระเพราะหมู รสชาติจะกลางๆ ไม่ได้เผ็ดเหมือนบ้านเรา ส่วนเมนูแนะนำเลยก็คือ Khmer Karkor Soup with Chicken หน้าตาจะคล้ายๆ กับแกงเขียวหวาน แต่รสชาติต่างกันเลย โดยตัวน้ำซุปจะมีความข้นกว่า รสไปทางเค็มและเผ็ด จานนี้เหมาะกับกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ และอีกเมนูที่ห้ามพลาด Khmer Brahok Ling หรือปลาร้า เสิร์ฟคู่กับผัดสด บอกเลยว่าอร่อยนัวไม่ไหว
Neary Khmer Restaurant
ตอนนี้เติมพลังเรียบร้อยก็เดินทางกันต่อ ทริปนี้เราเน้นเที่ยวตามโบราณสถานต่างๆ ของเสียมราฐ ดังนั้นสิ่งแรกที่เราต้องทำคือการไปซื้อบัตรเช้าชมก่อน สำหรับบัตรนี้นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมาซื้อที่ จุดจำหน่ายบัตรเข้าชม Angkor Conservation Area ที่นี่มีขายบัตรหลายแบบ อย่างเราซื้อเป็นบัตร Angkor World Heritage ที่สามารถเข้าชมปราสาทได้ทั่วทั้งเสียมราฐ และมีให้เลือกตั้งแต่บัตรเข้าชมสำหรับ 1 วัน 3 วัน และ 7 วัน ส่วนเราเลือกเป็นบัตรสำหรับ 3 วัน ราคา 62 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,280) ราคาอาจแรงไปบ้าง แต่การได้มาสัมผัสมรดกตกทอดมากว่า 1,000 ปี บอกเลยว่าคุ้มแน่นอน!
บัตรเข้าชมจะมีวันหมดอายุที่ต่างกันไป เช่น เราซื้อบัตรสำหรับ 3 วัน จะมีระยะเวลาเข้าชม 10 วัน ดังนั้นภายใน 10 วันนี้ เราจะเข้าไปเที่ยวตามโบราณสถานวันไหนก็ได้ แต่เข้าได้แค่ 3 วันเท่านั้น ส่วนบัตรอื่นๆ จะมีระยะเวลาหมดอายุและราคาตามนี้
เราต้องพกบัตรนี้ติดตัวตลอด โดยบัตรแต่ละใบจะมี QR Code และรูปติดบัตร ก่อนเข้าแต่ละสถานที่จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรตลอด บอกเลยว่าบัตรใบเดียวเข้าได้เมืองมรดกโลกได้ทุกที่ สะดวกมาก ไม่ต้องควักเงินเพิ่มเลย
จุดจำหน่ายบัตรเข้าชม Angkor Conservation Area
ถึงวันแรกก็เริ่มด้วยไฮไลท์ที่เคยได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก นครวัด เป็นสถาปัตยกรรมเขมรที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ในยุครุ่งเรือง ความสำคัญของนครวัดนอกจากจะถูกยกให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม ก็ยังเป็นศูยน์รวมจิตใจของคนกัมพูชาและเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่อยู่บนธงประจำชาติกัมพูชา
ทั้ง 4 ทิศของนครวัดถูกล้อมด้วยคูน้ำและมีพื้นที่กว้างมาก แค่เริ่มต้นก็ต้องเดินข้ามคูน้ำเข้าเมืองระยะกว่า 500 เมตร หลังจากนั้นเดินต่อไปจนถึงตัวปราสาท ระยะทางอีกกว่า 1 กิโลเมตร เพียงแค่ทางเข้านี้ก็แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของนครวัดแล้ว และตลอดทางกว่าจะเดินไปถึงปราสาทก็มีจุดแวะอีกมากมาย แนะนำว่าถ้ามาให้ใส่รองเท้าที่เดินสบายและเผื่อเวลาในการเดินนครวัดไว้สักครึ่งวัน
ปราสาทของนครวัดมีทั้งหมด 5 ยอด ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทางขึ้นบันได้มีความชันมาก มนุษย์ทั่วไปไม่สร้างขึ้นไปได้ หรือถ้าจะขึ้นไปต้องค่อยๆ คลานบันไดขึ้นไป ก็จะเป็นการน้อมแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าไปในตัว
ไฮไลท์ที่ห้ามพลาด เมื่อมานครวัดก็คือ การเดินดูรูปแกะสลักที่มีความยาวกว่า 800 เมตร บอกเล่าเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของกัมพูชา รวมถึงเรื่องราววรรณคดีต่างๆ ซึ่งภาพมีชื่อเสียงสุดก็คือ รูปแกะสลักกวนเกษียรสมุทร ตามตำนานเล่ากันว่าทางฝั่งเทพต้องการกวนเกษียรสมุทรก็เพื่อให้ได้น้ำอมฤต มีชีวิตเป็นอมตะ แต่การกวนเกษีนรสมุทรเป็นงานที่ยากเกินไป ทำให้เทพต้องหลอกฝั่งยักษ์ให้มาช่วยกัน และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเรื่องราวมากมาย รวมถึงความเป็นมาของพระราหูและการพบเจอนางอัปสร
และอีกรูปแกะสลักที่มีชื่อเสียงมากๆ คือ รูปแกะสลักนางอัปสรที่มีมากกว่า 1,796 นาง โดยทั้งหมดนี้จะแต่งกายและมีทรงผมไม่ซ้ำกันเลย
ปลายทางของการเดินในนครวัด คือ ยอดปราสาท บนนี้เป็นจุดชมวิวที่เราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของนครวัดได้แบบเต็มๆ รวมถึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ไหว้ขอพรด้วย
การจะขึ้นถึงยอดปราสาทต้องเดินขึ้นบันไดตรงนี้ ทั้งสูงและชันมาก แนะนำว่าเดินขึ้นแล้วอย่าหันกลับลงมาเด็ดขาด ไม่งั้นใจเต้นตุบตับแน่!
นอกจากนี้ในนครวัดยังมีจุดให้ได้กราบไหว้อีกมากมาย ถ้าอยากรู้ว่าไหว้ยังไงให้ปัง แนะนำให้มากับพี่ไกด์เลย เขาจะคอยให้ความรู้และบอกทริคการไหว้เล็กๆ น้อยๆ รวมถึงบอกมุมถ่ายรูปสวยๆ พี่เขาก็จะมีแนะนำช่วงเวลาที่เหมาะกับการถ่ายรูป อย่างช่วงที่แสงสวยสุดจะเป็นตอน 17.00 น. แสงสีทองสะท้อนกับตัวปราสาท แถมยังส่องให้สนามหญ้าสีเขียวสวยสุดๆ และอีกช่วงที่คนนิยมมากันก็คือ ช่วงเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์จะขึ้นหลังปราสาท แสงสีส้มๆ เปร่งประกายเหนือยอดถือว่าเป็นจุดดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ห้ามพลาด
ช่วงเย็นแสงสวยมาก กดถ่ายรูปได้ทุกมุม
การที่ได้มาเดินชมความงามของนครวัดเป็นสิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจและตั้งคำถามมากมาย ไม่รู้ว่าในอดีตต้องใช้แรงคนและใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะเป็นนครวัดที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทุกจุดเต็มไปด้วยเรื่องราว ความสวยงามสุดประณีต ต่อให้คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แต่ก็สามารถเดินดูศิลปะและสถาปัตยกรรมได้แบบไม่รู้สึกเบื่อ เอาเป็นว่าใครมาเที่ยวเสียมราฐ นครวัดเป็นหนึ่งใน Dream destination ที่ต้องมาสักครั้งในชีวิต!
นครวัด
เหนื่อยกันมาทั้งวัน ได้เวลาเช็คอินเข้าที่พัก ทริปนี้เรานอนที่ Lub d Cambodia Siem Reap โลเคชั่นดีมาก ใกล้กับที่เที่ยวอย่าง Old Market และ Pub Street แถมแถวนั้นยังมีร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อด้วย สำหรับชื่อที่พักหลายคนน่าจะคุ้นหูกับชื่อ Lub d (หลับดี) เป็นแบรนด์ของคนไทยที่มีสาขาทั้งไทยและต่างประเทศ ตัวที่พักเป็นโฮสเทลที่ความสะดวกสบายและสิ่งอำนวยความสะดวกไม่แพ้โรงแรมใหญ่ การออกแบบและดีไซน์ทันสมัย มีห้องพักหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นห้องพักรวม แบบเตียงสองชั้น หรือห้องส่วนตัว ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกกลุ่มจริงๆ
บรรยากาศของที่พักเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และพอตกดึกด้านล่างที่พักจะเป็นบาร์ ทุกคนมานั่งจอยหรือเล่นน้ำกันสนุกสุดๆ นอกจากนี้ยังมีบริการห้อง co-working space และร้านอาหารด้วย ถือว่าเป็นที่พักมีครบทุกสิ่งมาก
ห้องที่เรานอนเป็นห้องส่วนตัว Deluxe Double Room ราคาประมาณ 670 บาท/คืน ไม่รวมอาหารเช้า ภายในห้องกว้างขวาง มีเตียงใหญ่แบบนุ่มๆ นอนสบาย แถมสิ่งอำนวยความสะดวกมีให้ครบทั้งน้ำดื่ม โทรทัศน์ ผ้าเช็ดตัว สบู่ แชมพู ไดร์เป่าผม
Lub d Cambodia Siem Reap
เดินจากที่พักเพียง 400 เมตร ก็จะถึง Old Market เป็นตลาดขายสินค้า มีทั้งงานแฮนด์เมด งานศิลปะ เสื้อผ้า และของใช้มากมาย ใครที่อยากได้ของฝาก มาเดินที่นี่รับรอบได้ของติดมือกลับไปเพียบ และที่นี่ไม่ได้มีแค่ร้านขายของ แต่ยังมี Street Food ที่อยู่ใกล้ๆ กัน เป็นอีกหนึ่งพิกัดกินข้าวที่บรรยากาศชิลล์ริมแม่น้ำเสียมราฐ
สินค้าที่ขายมีหลายสไตล์มาก เสื้อผ้าวินเทจ โบฮีเมียน กระเป๋าสาน หรือจะพวกเครื่องประดับก็มี
สำหรับรถเข็น Street Food จะเริ่มตั้งขายกันตั้งแต่ช่วงเย็นๆ ไปจนถึงดึก (ประมาณ 21.30 น.) รถเข็นนี้จะตั้งอยู่ริมถนน เลียบไปกับแม่น้ำเสียมราฐ มีอาหารให้เลือกหลายอย่างทั้งคาว หวาน ปิ้งย่าง แถมมีร้านให้เลือกมากกว่า 20 ร้าน ราคาส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ 2 ดอลลาร์ และที่สำคัญบรรยากาศคึกคักมาก มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนกัมพูชามานั่งกินข้าวเพียบ
ที่นั่งจะเป็นแบบโต๊ะเก้าอี้เล็กๆ ริมน้ำ หลังจากเราเลือกที่นั่งได้แล้วก็สามารถสั่งอาหารตามร้านต่างๆ มานั่งกินรวมกันได้เลย
อาหารที่กัมพูชาไม่ต่างจากไทย แบบว่าเห็นรูปก็รู้แล้วว่าคือเมนูอะไร อย่างที่เราสั่งมาก็มีข้าวผัด ผัดเปรี้ยวหวานราดข้าว ต้มยำไก่ ปีกไก่ทอด รสชาติก็คืออร่อยเลย แต่ต้มยำจะไม่แซ่บเท่าของไทยเรา ส่วนราคาก็เริ่มต้นที่ 1.5 ดอลลาร์
Old Market
กินข้าวเสร็จเดินไปต่ออีกนิด จะเป็นโซนของ Pub Street แหล่งรวมความบันเทิงและแสงสีของเสียมราฐ ฟีลคล้ายกับถนนข้าวสาร เป็นซอยเล็กๆ ระยะประมาณ 200 เมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหาร ผับบาร์ คาเฟ่ ร้านนั่งชิลล์ โดยร้านส่วนใหญ่จะเริ่มเปิดตอนเย็น และยิ่งครึกครื้นสุดๆ ในตอนดึก ใครที่เป็นสายแฮงค์เอาท์ หาร้านนั่งดื่มตอนกลางคืน ที่นี่ตอบโจทย์มาก
ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก มีความคลาสสิกและดูเป็นเอกลักษณ์ บวกกับแสงสีต่างๆ บอกเลยว่าแตกต่างกับบรรยากาศของเสียมราฐช่วงกลางวันสุดๆ
Pub Street
เช้าวันที่ 2 เราเดินมาหาอาหารเช้าแถวๆ ที่พัก ด้วยความตั้งใจจะเลือกร้านแนว Local เราก็สังเกตจากร้านที่คนพื้นที่นั่งเยอะหน่อย และในที่สุดก็เจอร้านที่เห็นแล้วต้องจัด Chep Po Noodle Soup บรรยากาศในร้านคนเยอะมาก เรียกได้ว่ามีคนเดินเข้าออกตลอด ส่วนเมนูหลักๆ จะเป็นก๋วยเตี๋ยวและข้าวหน้าต่างๆ หรือใครอยากกินเบาๆ ก็มีอาหารเช้าอย่างแซนด์วิช รวมถึงเครื่องดื่มพวกกาแฟ ช็อกโกแลต และชาอีกเพียบ สำหรับราคาอาหารจะเริ่มต้นที่ 3 ดอลลาร์และเครื่องดื่ม 1 ดอลลาร์
เมนูเช้านี้สั่งแบบเน้นอิ่ม เริ่มด้วยก๋วยเตี๋ยวชามอย่างใหญ่ น้ำซุปรสชาติติดไปทางหวาน ใครที่อยากได้รสจัดจ้านก็อาจจะต้องปรุงเพิ่ม ส่วนอีกเมนูเป็นข้าวหน้าหมู อันนี้อร่อยถูกใจสุดๆ หมูนุ่มติดมันหน่อย ราดน้ำจิ้มอีกนิด บอกเลยว่าดีงาม
Chep Po Noodle Soup
วันนี้เราจะไปเช็คอินอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของเสียมราฐ เชื่อว่าเวลาทุกคนพูดถึงนครวัดจะพ่วงต่อด้วยนครธม เป็นนครวัด – นครธม แต่จริงๆ แล้วทั้ง 2 สถานที่นี้อยู่กันคนละที่และความสำคัญก็ต่างกัน อย่างนครวัดถูกสร้างเพื่อเป็นศาสนสถานหรือที่บูชาเทพเจ้า แต่นครธมเป็นเมืองหลวงสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรเขมร ภายในมีทั้งปราสาท พระราชวัง ลานชนช้าง ลานกิจกรรม ซึ่งความยิ่งใหญ่ของทั้งนครวัดและนครธมต้องมาดูด้วยตาตัวเองสักครั้งถึงจะเข้าใจความหมายของคำว่าเสน่ห์มนต์ขลังจากอดีต
การออกแบบของนครธมจะคล้ายกับนครวัดที่ถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 ทิศ เพียงแต่ทางเข้านครธมจะเป็นสะพานหินทอดยาวและทั้งสองฝั่งจะมีรูปปั้นกวนเกษียรสมุทร และเมื่อถึงประตูทางเข้านครธม มีลักษณะเป็นซุ้มหินขนาดใหญ่ ด้านบนซุ้มเป็นภาพแกะสลักหน้าของเทพทั้ง 4 ทิศ แค่บรรยากาศทางเข้าก็เต็มไปด้วยเรื่องราวและมนต์ขลัง
ไฮไลท์ห้ามพลาด คือ รูปปั้นกวนเกษียรสมุทร โดยทางฝั่งซ้ายเป็นรูปปั้นยักษ์และทางขวาเป็นรูปปั้นเทพ ต่างกำลังดึงพญานาคเพื่อกวนเกษียรสมุทร และจากที่ไกด์เล่าให้ฟัง การสร้างนครธมได้นำความเชื่อเกี่ยวกับตัวเลขมาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ โดยเชื่อว่าเลข 9 จะเป็นเลขนำโชค ดังนั้นไม่ว่าจะขนาดพื้นที่ จำนวนยอดปราสาท หรือรูปปั้นต่างๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับเลข 9 เช่น รูปปั้นกวนเกษียรสมุทร ทั้งฝั่งเทพและยักษ์จะมีฝั่งละ 54 องค์/ตน เมื่อนำเลขมาบวกกัน 5 + 4 = 9 นอกจากนี้เมื่อนำทั้งสองฝั่งมาบวกกัน 54 + 54 = 108 และเมื่อเอาเลขมารวมกันสุดท้ายก็เท่ากับ 9 บอกเลยว่าฟังถึงตรงนี้รู้สึกอเมซิ่งมากๆ
ในนครธมแบ่งเป็น 2 ปราสาทหลักๆ ก็คือ ปราสาทบายนและปราสาทบาปวน ทั้ง 2 ปราสาทมีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ที่ต่างกันไป มาเริ่มต้นด้วยปราสาทบายน หนึ่งในปราสาทที่ดังมาก ด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยแปลกตา มีโครงสร้างซับซ้อน ถูกสร้างโดยการนำหินมาวางซ้อนๆ กัน เอกลักษณ์ที่เด่นชัดของปราสาทบายนก็คือ ยอดปราสาททั้ง 54 ยอด มีภาพแกะสลักหน้าของเทพที่หันหน้าออกทั้ง 4 ทิศ รวมทั้งสิ้น 216 หน้า (ทุกคนลองบวกตัวเลขกันอีกครั้งนะ ผลรวมสุดท้ายเป็นเลข 9 อีกแล้ว!!)
ลองสังเกตใบหน้าบนยอดปราสาท ทุกหน้าจะมองต่ำลงมา พร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่นเมตตา เป็นเหมือนคำอวยพรและความเมตตาที่มีต่อมนุษย์ และในแง่ของศิลปะการแกะสลัก เรียกได้ว่ามีความประณีต สวยงามสุดๆ
โครงสร้างในปราสาทบายนค่อนข้างซับซ้อน มีหลายห้องโถง การเดินในนี้อาจจะต้องระวังหลงทาง แต่ด้วยความซับซ้อนแบบนี้ ทำให้ครีเอทมุมถ่ายรูปได้หลายมุม เล่นกับแสงและโครงสร้างได้อย่างสวยงาม
ที่นี่ยังมีพิกัดที่สายมูห้ามพลาด ในปราสาทนอกจากจะมีพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธ์ให้ได้กราบสักการะมากมาย ยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่กษัตริย์และพราหมณ์ในสมัยก่อนนำไปใช้ประกอบพิธี ปัจจุบันใครที่อยากได้น้ำจากบ่อน้ำนี้ก็สามารถบอกเจ้าหน้าที่ได้
ออกจากปราสาทบายน เดินมาไม่ไกลมาก เพียง 200 เมตรก็มาถึง ปราสาทบาปวน เป็นศิลปะขอมขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นชั้นๆ และมีทั้งหมด 3 ชั้น โครงสร้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนเท่าปราสาทบายน การเดินในนี้วนรอบระเบียงคต 1 รอบก็ขึ้นไปอีกชั้น สำหรับปราสาทบาปวนถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถาน ดังนั้นชั้นบนสุดของปราสาทจะเป็นที่ประดิษฐานของศิวลึงค์
บนนี้ยอดปราสาทนี้แต่เดิมจะมีศิวลึงค์ทองคำให้ได้กราบไหว้ แต่ปัจจุบันได้หายสาบสูญไปแล้ว
ทางเดินสะพานหินก่อนที่จะเข้าไปถึงปราสาท ถือว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของปราสาทบาปวนและเป็นมุมที่เราได้เห็นปราสาทแบบกว้างๆ ถ่ายรูปสวยสุดๆ
ทางขึ้นแต่ละชั้นของปราสาท สูงและชันมาก ต้องค่อยๆ เดินและระวังกันด้วยนะ (ถ้าเทียบกับบันไดที่ขึ้นที่นครวัด รู้สึกว่าตรงนี้จะชันกว่า แต่ไม่สูงเท่านครวัด)
นครธม| ปราสาทบายน – ปราสาทบาปวน
ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองมรดกโลกทั้งที เสียมราฐยังมีโบราณสถานอื่นๆ นอกจากนครวัดและนครธม เราขับรถออกมาจากนครธม ทางประตูตะวันออก ไม่ไกลกันจะเจอกับ ปราสาทพระขรรค์ เป็นสถานที่เก็บพระขรรค์หรืออาวุธในสมัยโบราณ ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และยังคงไว้ซึ่งความขลัง เชื่อกันว่าเป็นที่ที่แรงมาก ใครคิดไม่ดีหรือคนเล่นของไม่สามารถเข้าได้ มีเพียงคนที่คิดดีทำดีเท่านั้นที่สามารถเข้าได้
ทางเดินในนี้ไม่ได้ยาก ค่อยๆ เดินผ่านแต่ละประตูไป อาจจะต้องเดินดีๆ ระวังสะดุดเพราะมีเศษอิฐและหินตามพื้นเยอะ ส่วนการออกแบบช่องประตูของที่นี่ จะสามารถมองทะลุกันได้ทั้ง 4 ทิศ รวมถึงมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ก็มีตามจุดต่างๆ
ใครที่มาปราสาทพระขรรค์อย่าลืมแวะมากราบไหว้พระมเหสีของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งในที่นี้จะมี 2 พระองค์ คือ พระนางอินทรเทวีและพระนางชัยราชเทวี พี่ไกด์บอกว่าคนท้องถิ่นชอบมาไหว้ขอพรกันที่นี่ สามารถขอได้หลายเรื่อง แต่หลักๆ จะเน้นเรื่องประสบความสำเร็จ และเมื่อคำขอเป็นจริงก็จะนำเครื่องบายศรีมาถวาย
ห้องนี้เล็ก แคบ และมืดมาก บรรยากาศเงียบสงบ บวกกับมีกลิ่นธูปและของถวายต่างๆ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยมนต์ขลังบางอย่างที่เราไม่สามารถสัมผัสได้
บรรยากาศที่ปราสาทพระขรรค์ค่อนข้างต่างจากปราสาทที่ไปก่อนหน้านี้ ด้วยความที่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือได้รับการบูรณะ รวมถึงมีต้นไม้และมอสอยู่ปกคลุม ทำให้เราเหมือนหลุดเข้าไปในอดีต ทุกที่มีร่องรอยอารยธรรมโบราณ
ปราสาทพระขรรค์
เดินเที่ยวกันทั้งวัน เที่ยงนี้เราแวะมากฝากท้องกันที่ร้าน Kolab Angkor เป็นร้านอาหารกัมพูชา อยู่ไม่ไกลจากปราสาทพระขรรค์ การออกแบบเน้นความเรียบง่าย บวกกับของตกแต่งพื้นเมืองกัมพูชา ช่วยให้บรรยากาศดูอบอุ่นและเป็นกันเอง สำหรับที่นั่งส่วนใหญ่เป็นแบบอินดอร์ มีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงและวิวความกรีนของสวน ทำให้ดูโล่งโปร่ง ไม่อึดอัด บรรยากาศดีเหมาะกับการพาครอบครัวมามาก
เมนูส่วนใหญ่เป็นอาหารกัมพูชา มื้อนี้เราสั่งเมนูที่ทางร้านแนะนำมาทั้งหมด 3 เมนู เริ่มที่เมนูที่เราเคยสั่งตอนมาถึงวันแรก Karkor Soup ซุปรสจัดจ้านเข้มข้น (หลังจากกินครั้งที่ 2 รู้สึกชอบมากขึ้น) คิดว่านี่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของคนกัมพูชาจริงๆ ใครมาต้องลองให้ได้ และต่อมา กุ้งผัดกระเทียม ผัดมาอย่างดี หอมกระเทียม มีรสเผ็ดหน่อยๆ ส่วนกุ้งตัวใหญ่ เนื้อแน่นมาก ส่วนราคาของร้านนี้ค่อนข้างแรงหน่อย จะเริ่มต้นที่ 7.5 ดอลลาร์
และเมนูไฮไลท์ที่ต้องยกนิ้วให้ Khmer Prahuk Ling หรือหมูปลาร้า เนื้อหมูหมักกับปลาร้า ทำให้รสและกลิ่นแทรกเข้าไปในเนื้อ พอกัดเข้าไปคือฉ่ำมาก กินคู่กับผักสดคือเข้ากันสุด
Kolab Angkor
สำหรับปราสาทที่เราเที่ยวในวันนี้จะอยู่ใกล้ๆ กันหมด และที่สุดท้ายที่เราจะมากันเป็นโลเคชั่นที่หลายคนน่าจะเคยเห็นกันมาจากภาพยนตร์ Tomb Raider ฉากที่ Angelina Jolie เดินอยู่ในปราสาทโบราณ ท่ามกลางแมกไม้ปกคลุมและมีแสงสลัวๆ บอกเลยว่าสวยมาก เป็นซีนที่ใครเห็นก็อยากมาตามรอย และแน่นอนว่าเราก็ไม่พลาดที่จะมาสัมผัสความงามแบบนั้นด้วยตัวเองที่ ปราสาทตาพรหม มาตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของอารยธรรมขอมโบราณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความลึกลับและมีมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติที่อยู่คู่กับปราสาทได้อย่างลงตัว
มุมไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ รากไม้ยักษ์หรือต้นสะปงยักษ์ที่แผ่ปกคลุมตัวปราสาท ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ต้องมาด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเข้าใจ และถือว่าเป็นมุมที่มาแล้วต้องถ่ายรูปเก็บไว้
สำหรับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในปราสาทตาพรหมมี 2 ต้นหลักๆ คือ ต้นสะปงยักษ์และต้นเลียบ ความแตกต่างของทั้ง 2 ต้นนี้คือราก ต้นสะปงยักษ์จะมีรากที่ใหญ่ ลำต้นหนา ส่วนต้นเลียบก็คือต้นไทรชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นรากเล็กๆ ยาวไปจนถึงลำต้น ความยิ่งใหญ่ไม่แพ้ต้นสะปงยักษ์ นอกจากต้นไม้ใหญ่ ยังมีมอสที่ขึ้นตามตัวปราสาท เรียกได้ว่าบรรยากาศร่มรื่นเหมือนอยู่กลางป่าจริงๆ
และใครที่มาก็อย่าลืมมาตามหาภาพแกะสลักไดโนเสาร์กันด้วยนะ เป็นอีกหนึ่งอันซีนที่ห้ามพลาด แอบกระซิบว่าภาพแกะสลักนี้อยู่สุดทางก่อนที่จะออกไปจากปราสาท
ปราสาทตาพรหม
มาเที่ยวเสียมราฐ นอกจากจะเป็นเมืองมรดกโลกที่เป็นไปด้วยอารยธรรมโบราณ แต่หลายๆ ที่ในเมืองไม่ได้ล้าสมัยหรือดูเก่าแก่ เมืองยังมีความเจริญ มีร้านค้าและคาเฟ่ชิคๆ มากมาย ซึ่งเย็นนี้เราตั้งใจมานั่งชิลล์ๆ ที่ร้าน Brown Coffee Cafe อยู่ใกล้กับที่พักและตรงข้ามกับตลาด Old Market ตัวคาเฟ่สไตล์โมเดิร์นทันสมัย บรรยากาศดูอบอุ่นด้วยโทนสีน้ำตาล ขาว และครีม บวกกับตัวร้านกว้าง เพดานสูงและมีหน้าต่างบานใหญ่ ทำให้บรรยากาศดูโปร่งสบาย สามารถมานั่งทำงานหรือพักผ่อนก็ได้
ร้านกว้างและมีที่นั่งให้เลือกเยอะมาก สำหรับในร้านจะเป็นที่นั่งห้องแอร์มีทั้งหมด 2 ชั้น สามารถเลือกได้ว่าจะนั่งชั้นบนหรือชั้นล่าง และอีกโซนที่ฝรั่งชอบนั่งกันก็คือเอาท์ดอร์ เป็นที่นั่งใต้ต้นไม้ บรรยากาศชิลล์สุดๆ
เมนูที่ร้านมีให้เลือกเยอะมาก โดยเฉพาะเครื่องดื่มมีทั้งชา กาแฟ ช็อกโกแลต สมูธตี้ รวมถึงมีเค้กและเบเกอรีด้วย ส่วเมนูอาหารจะเป็นสไตล์คาเฟ่ กินง่ายๆ อย่างพาสต้า แซนด์วิช สลัด ราคาก็ทั่วไปเครื่องดื่มเริ่มต้น 1.85 ดอลลาร์ ส่วนอาหารก็เริ่มต้นที่ 4 ดอลลาร์
Brown Coffee Cafe
เช้าวันสุดท้ายเรายังคงหาร้านอาหารพื้นบ้านกัมพูชา ก็มาเจอร้านหนึ่งแถวๆ ที่พักชื่อว่า Taphorm 189 Restaurant ตัวร้านเป็นตึกแถว บรรยากาศเรียบง่ายและอบุอ่น บวกกับพี่คนขายใจดี ชวนพูดคุยและแนะนำเมนู สำหรับเมนูมีทั้งแบบราดข้าวและแบบกับ ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัด ต้มยำ ก๋วยเตี๋ยว ผัดผัก นอกจากนี้ยังมีของกินเล่นอย่างปอเปี๊ยะ
เมนูอร่อยจนอยากให้ทุกคนลอง Lok Lak ราคา 3.5 ดอลลาร์ ฟีลเหมือนข้าวราดหน้าหมู ผัดกับซอสรสเผ็ดหวาน ท็อปด้วยไข่ดาว อร่อยนัวสุดๆ
Taphorm 189 Restaurant
วันสุดท้ายเราขับรถออกมาจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมง มาเที่ยวชมความงามของปราสาทที่เก่าแก่นับร้อยปี แต่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดในกัมพูชา ปราสาทบันทายศรี เป็นปราสาทเล็กๆ ที่ถูกก่อสร้างด้วยหินทรายสีชมพู รวมถึงมีการแกะสลักที่วิจิตรงดงามตามแบบศิลปะบันทายศรี สำหรับที่ปราสาทนี้จะไม่สามารถเดินเข้าไปกลางตัวปราสาทได้เหมือนที่อื่น ทำให้เราได้เพียงเดินดูจากรอบนอก แต่แบบนี้ก็ถือเป็นการอนุรักษ์ให้สภาพปราสาทและงานศิลปะยังคงสมบูรณ์
ความจริงปราสาททั้งหลังจะเป็นสีชมพู แต่เพราะในอดีตมีบางส่วนที่ถูกไฟเผา ทำให้เกิดร่องรอยความเสียหายบางส่วน
ไฮไลท์ของที่นี่ คือ ทุกหน้าบันและทับหลังมีภาพแกะสลักนูนสูงที่ประณีตงดงาม รวมถึงมีการแกะสลักลงน้ำหนักตื้นลึกอย่างละเอียดและสภาพยังเหมือนใหม่ ไม่ใช่แค่ความสวยวิจิตร ทุกลายแกะสลักมีเรื่องราววิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเขมรโบราณ นอกจากนี้ยังมีภาพแกะสลักที่เล่าถึงตำนาน การบูชาเทพ และวรรณคดีต่างๆ
นี่คือภาพแกะสลักที่ผ่านระยะเวลามากว่า 100 ปี แต่ยังคงความคมชัดและสวยงาม
ปราสาทบันทายศรี
หลังจากเราดูปราสาทที่สมบูรณ์ที่สุดมาแล้ว ต่อด้วยปราสาทที่จะบอกว่าถูกปล่อยทิ้งก็ว่าได้ อีกทั้งยังไม่ได้รับการบูรณะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นอารยธรรมโบราณที่ควรค่าแก่มาชม ปราสาทเบ็งเมเลีย เป็นหนึ่งในปราสาทที่มีความสำคัญ เพราะเป็นปราสาทจำลองก่อนที่จะไปสร้างของจริงที่นครวัด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ภาพสลักหิน หรือความยิ่งใหญ่แทบจะไม่ต่างจากนครวัดเลย
ทางเดินในปราสาทเบ็งเมเลียจะเป็นทางเดินไม้ตลอดเส้นทาง ระยะประมาณ 1 กิโลเมตร ให้ฟีลเหมือนเส้นทางศึกษาธรรมชาติ บวกกับตัวปราสาทอยู่กลางป่าและมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ทำให้สามารถเดินได้สบาย อากาศไม่ร้อน
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของที่นี่คือ ซากปรักหักพังที่อยู่รวมกับธรรมชาติอย่างอลังการ บางส่วนถูกปกคลุมด้วยมอสและรากไม้ บวกกับความเงียบสงบ ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวเยอะเหมือนปราสาทอื่น ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความลึกลับ เหมือนมีมนต์ขลังบางอย่าง
ปราสาทเบ็งเมเลีย
มาเติมแต้มบุญกันต่อที่ ศาลพระองค์เจ๊กพระองค์จอม เป็นเหมือนศาลหลังเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของเสียมราฐ โดยทั้งองค์เจ๊กและองค์จอมเป็นพระพุทธรูปคู่พี่น้องที่เป็นที่เคารพบูาของชาวบ้าน ถ้าถามว่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ช่วงที่เราไปมีชาวบ้านเข้ามากราบไหว้ไม่ขาด และหลายคนมักจะมาไหว้ขอพร ซึ่งเรื่องที่ขอก็สามารถขอได้ทุกอย่าง ทั้งความสำเร็จ การค้าขาย หรือจะมาขอเรื่องลูกก็ได้ ส่วนใครที่ขอแล้วพรสัมฤทธิ์ผลก็จะนำเครื่องบายศรี มะพร้าว และดอกไม้มาถวาย
ใกล้กับศาลพระองค์เจ๊กพระองค์จอม มีพระตำหนักเสียมราฐ เป็นเหมือนที่พักตากอากาศของกษัตริย์กัมพูชา ตัวอาคารออกแบบมาอย่างเรียบง่าย หรูหรา บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ ใครที่ไหว้ขอพรเสร็จแล้วก็สามารถเดินมาดูความงามของที่นี่ได้
ศาลพระองค์เจ๊กพระองค์จอม
ตอนนี้เราขับกลับเข้ามาในเมือง ขอชาร์จพลัง เติมคาเฟอีนที่ The Bean Embassy คาเฟ่สุดมินิมอล น่ารักที่สุดในย่านวัดโบ ตัวคาเฟ่ให้ฟีลเหมือนบ้านอันอบอุ่น การออกแบบเน้นโทนสีขาวและน้ำตาล บรรยากาศเงียบสงบ สามารถมานั่งชิลล์ๆ หรือจะอ่านหนังสือก็ได้ ส่วนที่นั่งก็มีให้เลือกทั้งอินดอร์ห้องแอร์และเอาท์ดอร์กลางสวน รวมถึงมีมุมถ่ายรูปน่ารักๆ เพียบ
บรรยากาศในร้านฟีลดีมาก มีความวินเทจเบาๆ
เมนูในร้านส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องดื่มและเบเกอรี เมนูซิกเนเจอร์ของร้านก็คือเมนูกาแฟ มีเมล็ดให้เลือกเยอะมาก แถมมีเมล็ดเฉพาะของทางร้าน The Bean Embassy และร้านได้รางวัล Barista Winning Award บอกเลยว่าคอกาแฟห้ามพลาด แต่ถ้าไม่ดื่มกาแฟก็มีชาและโกโก้ด้วย
ด้านหลังร้านเป็นที่นั่งกลางสวน ตกแต่งน่ารักและร่มรื่นมาก ให้ฟีลเหมือนมานั่งจิบกาแฟหลังบ้านชิลล์ๆ
The Bean Embassy
ปิดท้ายทริปนี้ด้วย วัดโบ วัดที่เก่าแก่ที่สุดของเสียมราฐ เดินทางง่าย ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ในวัดมีพื้นที่กว้างและบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ ไฮไลท์อยู่ที่พระอุโบสถอายุหลาย 100 ปี มีสถาปัตยกรรมและรูปปูนปั้นที่สวยงาม สำหรับอุโบสถนี้ได้รับการบูณะมาตลอด ทำให้ยังคงสภาพสมบูรณ์ นอกจากนี้วัดโบยังมีความสำคัญในแง่ของจุดศูนย์รวมจิตใจของคนกัมพูชา ชาวบ้านจะมาประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา ใครว่างๆ สามารถมาเดิมชมความงามและเรียนรู้วิถีชาวบ้านได้
ด้านหลังมีประตูเก่าที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมๆ กับวัด แต่เพราะไม่ได้รับการบูรณะ ทำให้ถูกปล่อนทิ้งไว้ตามกาลเวลา กลายเป็นความสวยงามที่ตกทอดมา
ในวัดมีสวนให้ได้นั่งพักผ่อนชิลล์ๆ ด้วย
วัดโบ
การที่ได้มาเที่ยว 3 วัน 2 คืน เสียมราฐ กัมพูชา ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองหนึ่งที่ควรมาสักครั้งในชีวิต คำว่าเมืองมรดกโลกไม่ได้เป็นแค่ชื่อ แต่เป็นการส่งต่อเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ผ่านผลงานศิลปะ สถาปัตยกรรม และภาพแกะสลัก ใครที่มาจะได้ดื่มด่ำบรรยากาศที่เต็มไปด้วยอารยธรรมโบราณ ความลึกลับสุดอันซีน และปราสาทแต่ละที่ที่ไปมีเรื่องราวและเอกลักษณ์ที่ต่างกันไป ทำให้เดินดูได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ บวกกับทริปนี้เราได้จ้างไกด์ ยิ่งทำให้เราสนุกและอินกับประวัติศาสตร์มากขึ้น รวมถึงมีแนะนำมุมถ่ายรูปสวยๆ และแจกทริคการไหว้ ขอพรต่างๆ เรียกได้ว่าการมาเที่ยวกับไกด์ท้องถิ่น ช่วยให้เราเอ็นจอยกับทริปนี้มากขึ้น เอาเป็นว่าใครมาเที่ยวเสียมราฐก็มาตามรูทนี้ได้นะ!
ค่าใช้จ่ายตลอดทริป เที่ยวเสียมราฐ 3 วัน 2 คืน เช็คอินนครวัด นครธม ชมความงามอารยธรรม 1000 ปี
Day 1
–ค่าเหมารถตู้และไกด์ตลอดทั้ง 3 วัน 10,666 บาท (หาร 2 ตกคนละ 5,333 บาท)
-ค่าอาหารร้าน Neary Khmer Restaurant 901 บาท (หาร 2 ตกคนละ 450 บาท)
-ค่าบัตรเข้าชมเมืองมรดกโลกสำหรับ 3 วัน 2,280 บาท
-ค่าอาหารเย็น Street Food 349.41 (หาร 2 ตกคนละ 175 บาท)
Day 2
-ค่าอาหารเช้าร้าน Chep Po Noodle Soup 147 บาท
-ค่าอาหารเที่ยงร้าน Kolab Angkor 864.33 บาท (หาร 2 ตกคนละ 432 บาท)
-ค่าเครื่องดื่มคาเฟ่ Brown Coffee Cafe 116 บาท
Day 3
-ค่าอาหารเช้าร้าน Taphorm 189 Restaurant 129 บาท
-ค่าเครื่องดื่ม The Bean Embassy 92 บาท
ราคารวมทั้งหมดต่อคน 9,154 บาท
**ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินขาไป-กลับ และค่าของฝาก**
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ เที่ยวเสียมราฐ 3 วัน 2 คืน เช็คอินนครวัด นครธม ชมความงามอารยธรรม 1000 ปี สายเที่ยวประวัติศาสตร์ห้ามพลาดเด็ดขาด อีกทั้งยังเป็นเมืองน่ารักและสวยกว่าภาพที่เห็นเยอะ และปักหมุดมาเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านกันต่อกับ นั่งรถไฟไปเที่ยวลาว 4 วัน 4 คืน เมืองเฟือง – วังเวียง – หลวงพระบาง เมืองมรดกโลกสุดสโลว์ไลฟ์ และต่อด้วยสายมูเตลูมาเที่ยว เมียนมาร์ 3 วัน 2 คืน ทริปไหว้พระขอพรสมใจ พักผ่อนนอนหรู รีชาร์จความสุขทั้งกายและใจ