เที่ยวเชียงใหม่ 48 ชั่วโมง ตั้งใจไปมู อัปเดตอะไรใหม่ๆ โซนในเมือง
7,644 ครั้ง
18 ธ.ค. 2566
7,644 ครั้ง
18 ธ.ค. 2566
สิ้นปีเป็นเวลาที่ จังหวัดเชียงใหม่ กำลังครึกครื้นที่สุด บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายการเฉลิมฉลอง ทั่วทั้งเมืองประดับด้วยแสงสีสุดตระการตา ทริปนี้จะพาไปเที่ยวทั้งโซนนิมมานฯ และรอบคูเมือง บอกเลยว่าเที่ยวแบบไม่มีเหนื่อย เที่ยวทุกจุดเช็คอิน ต่อด้วยปักหมุดไปมูเตลูที่ วัดศรีดอนมูล วัดดังขึ้นชื่อเรื่องการลงนะหน้าทอง เรียกได้ว่ามารับความปัง ต้อนรับปี 2567 ถ้าอยากรู้ว่าตอนนี้เชียงใหม่เป็นยังไง ต้องไปเที่ยวที่ไหนก็ตามมาดู เที่ยวเชียงใหม่ 48 ชั่วโมง ตั้งใจไปมู อัปเดตอะไรใหม่ๆ โซนในเมือง รับรองทั้งสนุก ได้รูปสวย และได้บุญกลับไปเต็มๆ
พอเข้าเดือนธันวาคมก็เป็นช่วงที่หลายคนเริ่มแพ็คกระเป๋า เดินทางขึ้นเชียงใหม่เพื่อรับลมหนาว และเราก็เป็นหนึ่งในหลายคนที่ต้องมาเที่ยวเชียงใหม่ในทุกๆ ปี สำหรับครั้งนี้เราตั้งใจมามูเตลูโดยเฉพาะ พร้อมกับอัปเดตที่เที่ยวโซนในเมือง ส่วนการเดินทาง เราเลือกวิธีการเช่ารถ ตอนแรกก็คิดว่าจะสะดวก แต่จริงๆ แล้วรถติดมาก ดังนั้นถ้ามาเที่ยวช่วงสิ้นปีและไม่ได้เดินทางไปนอกเมืองหรือขึ้นดอย แนะนำให้โบกรถแดงหรือเช่ามอเตอร์ไซค์จะดีกว่า เพราะจะได้เลี่ยงรถติดและลดปัญหาเรื่องที่จอดรถ ว่าแล้วก็มาเปิดทริปกันแต่เช้าที่ โกปี๊ คาเฟ่ นิมมาน ร้านอาหารเช้าเจ้าดังในย่านนิมมานฯ
โกปี๊ คาเฟ่ นิมมาน ตั้งอยู่ในถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 9 เป็นร้านอาหารเช้าสไตล์ All Day Breakfast ก็คือพร้อมเสิร์ฟอาหารเช้าตั้งแต่เช้าไปจนถึงช่วงบ่าย ในร้านมีพื้นที่กว้างขวาง แบ่งเป็นโซนอินดอร์และเอาท์ดอร์ การตกแต่งสไตล์จีนผสมโมเดิร์น บวกกับบรรยากาศร่มรื่นสบายๆ ให้ฟีลเหมือนมานั่งกินข้าวที่โรงเตี๊ยม เหมาะกับการมานั่งพูดคุย จิบชายามเช้าชิลล์ๆ และที่สำคัญมีลูกค้าแวะเข้ามาตลอด เรียกได้ว่าเป็นร้านดังร้านหนึ่งของนิมมานฯ ใครที่มองหาอาหารเช้าอร่อยๆ ต้องปักหมุดมาเลย
อาหารเช้าของที่นี่มีให้เลือกเยอะมาก มีทั้งกินเล่น อาหารจานเดียว ขนมหวาน และเครื่องดื่ม อีกทั้งราคายังเป็นมิตรสุดๆ เริ่มต้นเพียง 30 บาท ใครชอบกินขนมจีบก็ห้ามพลาด ที่นี่มีให้เลือกหลายไส้ทั้งกุ้ง ปู หมู ทุกคำชิ้นใหญ่ กัดได้แบบเต็มคำ ราคาถ้วยละ 30 บาท/3 ชิ้น ต่อด้วยจานหลัก ก๋วยจั๊บญวน ราคา 69 บาท เหมาะกับมื้อเช้า ได้ซดซุปร้อนๆ รสกลมกล่อม เผ็ดพริกไทยหน่อย เครื่องให้มาแน่นๆ บอกเลยว่าจานนี้จานเดียวอิ่มแน่นอน นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มอย่างชุดกาชาจีนร้อน กาแฟ และชา รวมถึงของหวานอร่อยๆ ทั้งโกปี๊ปังและหมั่นโถวกับนมข้นหวาน
เมนูไฮไลท์ที่ยกนิ้วให้ก็ต้อง ข้าวต้มแห้งหมูและเครื่องใน ราคา 69 บาท มาพร้อมกับน้ำจิ้มสุดแซ่บ ราดใส่ข้าวต้มให้ฉ่ำๆ บอกเลยว่าอร่อยเด็ด
ถ้าอยากอิ่มจุกๆ แนะนำโกปี๊เบรคฟาสต์เซ็ตใหญ่ ราคา 99 บาท เสิร์ฟในถาดขนาดใหญ่ มีแฮม ไส้กรอก ไข่ดาว กุนเชียง และในเซ็ตเดียวกันยังมีของหวาน ขนมปังสังขยาด้วย เรียกได้ว่าอร่อยครบคาวหวาน คุ้มสุดๆ
ถ้าชอบเครื่องดื่มโบราณ ฟีลย้อนวันวานก็ต้องลอง โบราณเซ็ต ราคา 79 บาท เสิร์ฟมาอย่างน่ารักบนชุดพวง ในเซ็ตประกอบด้วยชาไทยร้อน ชาจีน ไข่ลวก และขนมปังกรอบ ใครคิดถึงรสชาติชาไทยดั้งเดิม หอมนัวนมข้น เซ็ตนี้ตอบโจทย์สุดๆ
โกปี๊ คาเฟ่ นิมมาน
เดินทางขึ้นเชียงใหม่ครั้งนี้ เราตั้งใจมามูที่ วัดศรีดอนมูล วัดดังที่สายมูรู้จักในเรื่องของการลงนะหน้าทอง เพื่อเสริมสิริมงมล เสน่ห์เมตตา โชคลาภ เงินทอง และบารมี ส่วนสาเหตุที่เราเดินทางมาลงนะหน้าทองถึงเชียงใหม่ เพราะที่นี่มีครูบาน้อยที่เรียนวิชาการลงนะหน้าทองโดยตรงจากหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา รวมถึงครูบาน้อยมาทำพิธีให้โดยเฉพาะ ในแต่ละวันจะมีพิธีลงนะหน้าทอง 2 รอบ คือ ช่วงเช้าเวลา 09.30 – 11.30 น. และช่วงบ่ายเวลา 14.30 – 17.00 น.
สำหรับชุดลงนะหน้าทองของที่นี่จะถูกปลุกเสกและมีให้เลือก 2 ชุด ได้แก่ ชุดเล็ก 500 บาทและชุดใหญ่ 1,500 บาท ความแตกต่างระหว่าง 2 ชุดนี้ คือ ชุดเล็กจะมีทองคำเปลว 3 แผ่น ในขณะที่ชุดใหญ่มี 9 แผ่น และชุดเล็กเป็นเพียงการอธิษฐานจิต ส่วนชุดใหญ่จะมีการถามตอบกับครูบาน้อย
มาทั้งทีเราก็จัดชุดใหญ่ 1,500 บาท ในเซ็ตประกอบด้วย ทองคำเปลว 9 แผ่น, น้ำมันว่านไก่แดง, ตะกรุดสาริกา, พวงมาลัย, ธูปเทียน, ธูปตัวเลขมงคล เทียนสีวลี และเทียนประจำวันเกิด
ตะกรุดสาริกาสามารถพกติดตัวเพื่อเสริมเมตตา โชคลาภ การค้าขาย
ก่อนที่จะเริ่มพิธีจะต้องมาล้างมือลูบหน้าด้วยส้มป่อยน้ำมนต์ ศักดิ์สิทธิ์ ครูบาน้อยกันก่อน ตรงนี้ถือว่าเป็นการล้างเอาสิ่งไม่ดีออกจากตัว และเพื่อความเป็นสิริมงคล โชคลาภแก่ตัวเราเอง ที่สำคัญตอนล้างเสร็จ ต้องสบัดน้ำทิ้ง ห้ามเอามาป้ายตามตัวเด็ดขาด!
หลังจากนี้เราจะเริ่มทำพิธีอย่างจริงจัง ใครที่มาไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ขั้นตอน ทางวัดเตรียมเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลและให้คำแนะนำการลงนะหน้าทองอย่างละเอียด โดยขั้นตอนก่อนทำพิธีกับครูบาน้อยจะมีตามนี้
1.เขียนชื่อ – นามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด รวมถึงคำอธิษฐานลงบนเทียนสีวลี เคล็ดลับการเขียนก็คือให้เขียนไล่จากปลายขึ้นไปหัวเทียน
2.ทาน้ำมันว่านไก่แดงและแปะทองคำเปลวบนฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง
หลังจากนั้นเราจะเริ่มพิธีกับครูบาน้อย นำถาดที่เราใส่ของมาวางไว้บนโต๊ะ โดยในถาดนี้ให้นำเอาสิ่งที่เราใช้ในการทำมาหากิน อย่างกระเป๋าตังค์หรือมือถือมาวางด้วย จากนั้นครูบาน้อยจะเริ่มสวดทำพิธี ในขณะเดียวกันเราก็จะค่อยๆ ถูมือที่แปะทองคำเปลว โดยถูมือเข้าหาตัวเองและถูฝ่ามือจนกว่าทองคำเปลวจะหายไป
สำหรับชุดใหญ่จะมีการถามตอบกับครูบาน้อย ซึ่งจะมีลูกศิษย์อยู่ข้างๆ ช่วยบอกคำตอบ แนะนำว่าตอนตอบคำถามให้พูดเสียงดังๆ อยากรวย อยากปัง อยากสวย ต้องพูดมาให้หมด!
แล้วเราก็มาบูชาขันครูและพระเจ้า 5 พระองค์ จุดนี้เตรียมเงินสดมาทำบุญกันด้วยนะ
หลังจากนั้นเราจะกลับมานั่งโต๊ะ ทำพิธีแปะแผ่นทองบนหน้าโดยเจ้าหน้าที่ วิธีการก็จะมีดังนี้
1.ทาน้ำมันว่านไก่แดงลงบนหน้า 5 จุด ได้แก่ หน้าผาก จมูก แก้ม 2 ข้าง และปาก
2.เจ้าหน้าที่จะค่อยๆ แปะแผ่นทองตามจุดทั้ง 5 ระหว่างแปะก็จะอธิบายความมงคลต่างๆ โดยหน้าผาก (แปะ 3 แผ่น) เปิดแสงสว่าง มีสมาธิ เพิ่มสติปัญญา, จมูก (แปะ 1 แผ่น) เสริมอำนาจบารมีและวาสนา, แก้ม (แปะข้างละ 1 แผ่น) ให้เมตตามหานิยม คนรัก คนหลง, ปาก (แปะ 1 แผ่น) สาริกา เกี่ยวกับการพูดจา พูดให้คนชมชอบ
3.ท่องคาถาเรียกทรัพย์และอธิษฐานจิต
4.ลูบทองคำเปลวบนหน้าให้หายไปทั้งหมด
ตอนนี้เราทำพิธีลงนะหน้าทองเสร็จแล้วก็จะนำธูปเทียนและดอกไม้ที่เหลือไปไหว้ตามจุดต่างๆ ในวัด ซึ่งจุดไหว้จะมีเยอะมาก ถ้าใครไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก็มาไหว้ตามเราได้เลย
1.ไหว้พระประจำวันเกิด นำเทียนประจำวันเกิดหลังทำพิธีมาไหว้ ณ. จุดนี้
2.นำเทียนที่เขียนชื่อและคำอธิษฐานมาไหว้พระพุทธรูป
3.สวดขอพรกับเทพทันใจ
3.นำธูปเทียนไปไหว้พระอุปคุตและจุดธูปตัวเลขมงคล
4.นำพวงมาลัยไปไหว้หลวงพ่อเพชรในวิหาร
การขอพรกับเทพทันใจ แนะนำว่าให้ขอเพียง 1 ข้อ และเป็นข้อที่เราปรารถนามากที่สุดเท่านั้น
การกราบไหว้พระอุปคุตจะเสริมเรื่องโชคลาภและความก้าวหน้า
สุดท้ายเราจะเข้าไปในวิหาร เพื่อนำดอกไม้ไปถวายและกล่าวคำบูชาหลวงพ่อเพชร อุดมทรัพย์ สมปรารถนา หลังจากนั้นก็ตั้งจิตอธิษฐาน ซึ่งเราสามารถขอพรได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง โชคลาภ ความก้าวหน้า ความสำเร็จ
ในวิหารกว้างขวาง ตกแต่งด้วยงานประติมากรรมและจิตรกรรมอย่างงดงาม
สำหรับวัดศรีดอนมูลเป็นวัดที่สายมูตัวจริงต้องมาสักครั้ง นอกจากการลงนะหน้าทอง ภายในวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้กราบสักการะเยอะมาก ทั้งพระอุปคุต พระสีวลี เทพทันใจ หลวงพ่อเพชร รวมถึงใครที่ไม่ได้มาทำพิธีลงนะหน้าทองแต่อยากกราบไหว้ครูบาน้อยก็สามารถมาถวายปัจจัย รับพรได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังสามารถเดินชมความงามของสถาปัตยกรรมทั้งวิหาร อุโบสถ เจดีย์ บอกเลยว่าวิจิตรและประณีตมาก อีกทั้งในวัดยังจัดภูมิทัศน์ไว้อย่างสวยงาม ตลอดทางเดินมีความร่มรื่นและบรรยากาศโปร่งสบาย
วัดศรีดอนมูล
เสร็จจากเติมแต้มบุญ เราแวะมานั่งพัก ตากแอร์เย็นๆ ในร้าน af pheromones café.cnx ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดศรีดอนมูล ตัวร้านมาในสไตล์มินิมอล เน้นโทนสีขาวดำ เป็นการผสมผสานความเท่และชิคได้อย่างลงตัว อีกทั้งในร้านยังกว้าง มีที่นั่งเยอะมาก ส่วนเมนูก็มีทั้ง Coffee และ Non-Coffee และเป็นสวรรค์ของคนรักกาแฟ ที่นี่คัดมาเฉพาะเมล็ดกาแฟคุณภาพจากทั้งไทยและต่างประเทศ นำมารังสรรค์เป็นเมนูกาแฟระดับพรีเมียมมากกว่า 10 เมนู รวมถึงมีให้ดริปกาแฟชิลล์ๆ
ตรงนี้ถ่ายรูปสวยและชิคสุดๆ
เมนูที่แนะนำ คือ Sexy Es ราคา 140 บาท เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน ตัวกาแฟที่ให้หลายรสสัมผัส เริ่มต้นด้วยความเข้มข้น นุ่มละมุน แทรกด้วยรสเปรี้ยวนิดๆ ของผลไม้ บอกเลยว่าคอกาแฟได้ลองแล้วจะติดใจ
แต่ถ้าไม่อยากดื่มกาแฟ ก็แนะนำเมนูสุดเฟรช Welcome Drink ราคา 140 บาท เป็นพีชโซดาพร้อมกลิ่นหอมของส้มที่โรยด้วยน้ำตาล นำมาเบิร์นเล็กน้อย ทำให้เวลาดื่มมีกลิ่นหอมอบอวลอยู่ในปาก
af pheromones café.cnx
มาถึงย่านเมืองเก่าของเชียงใหม่สุดคลาสสิกอย่าง ย่านวัดเกต ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง ตรงข้ามกับกาดหลวงหรือตลาดวโรรส สำหรับเอกลักษณ์ของที่นี่ก็คือบ้านและอาคารหลายหลังยังคงเสน่ห์เหมือนเดิมตั้งแต่อดีต การมาเดินเล่นในย่านนี้ให้กลิ่นอายย้อนยุค ในขณะเดียวกันก็ยังคงผสานลงตัวกับยุคสมัย บ้านหลายหลังถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ รวมถึงมีมุมให้ได้ถ่ายรูปชิคๆ อีกเพียบ!
ร่องรอยจากอดีต ผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นมุมมองภาพแบบใหม่ที่นักท่องเที่ยวต่างหลงรัก
นอกจากบ้านเรือนคลาสสิก ก็ยังมีกราฟฟิตี้สวยๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวและวิถีชีวิตของชาวเชียงใหม่ และจากตรงนี้จะมีสะพานที่เราสามารถเดินข้ามไปยังกาดหลวงได้ หรือจะมานั่งรับลมชิลล์ๆ จากแม่น้ำปิงก็ได้เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามาตอนเย็น บริเวณริมแม่น้ำปิงจะคึกคักมาก เพราะร้านอาหารและร้านนั่งชิลล์จะเริ่มเปิดบริการ คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวชอบมานั่งสังสรรค์ เรียกได้ว่าเป็นย่านที่สามารถมาเดินได้จนดึกจริงๆ
เรายังคงเดินเล่นในย่านวัดเกต แถวนี้คาเฟ่มีให้เลือกเยอะมาก และดีไซน์ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ทรงคลาสสิกที่ดูแล้วเข้ากับความเป็นย่านเมืองเก่าเชียงใหม่ ส่วนใครอยากมานั่งชิลล์ที่คาเฟ่แถวนี้ ไม่แนะนำให้มาเย็นเกินไป เพราะร้านส่วนใหญ่ปิดตั้งแต่ 17.00 น. และร้านที่เราแวะมาก็คือ Tanita Coffee House เป็นบ้านไม้เล็กๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ตัวร้านไม่ได้อยู่ติดถนน ทำให้บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะกับการมานั่งพักผ่อน
Mango Smoothie ราคา 85 บาท ช่วยเพิ่มความสดชื่นขั้นสุด มะม่วงเปรี้ยวหวานกำลังดี เนื้อสมูธตี้เข้มข้น ให้ฟีลเหมือนกินเนื้อมะม่วงจริงๆ
ย่านวัดเกต
เดินทางกันตั้งแต่เช้า ได้เวลาเก็บของและเช็คอินที่โรงแรม ทริปนี้เรามานอน Buri Siri Hotel เป็นโรงแรม 4 ดาว ตั้งอยู่ซอยศิริมังคลาจารย์ 9 โลเคชั่นดีใกล้ย่านนิมมานฯ และย่านเมืองเก่า มีร้านอาหารและคาเฟ่มากมาย นอกจากนี้เดินไม่ไกลก็ถึง One Nimman และ MAYA สำหรับดีไซน์โรงแรมเป็นสไตล์โคโรเนียลล้านนา ดูเรียบหรู สวยงาม ห้องพักมีทั้งหมด 5 รูมไทป์ ได้แก่ Standard Room, Superior Room, Premier Superior Room, Deluxe Studio Room และ Honeymoon Suite ทุกห้องมีหน้าต่างพร้อมวิวและสิ่งอำนวยความสะดวกครบ
ห้องที่เรานอน คือ Standard Room เป็นห้องแบบ twin bed กว้าง 20 ตารางเมตร มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง ตู้เย็น ทีวี ร่ม ผ้าเช็ดตัว ไดร์เป่าผม สบู่ แชมพู ห้องนี้นอนสบาย แอร์เย็นฉ่ำ แถมมีหน้าต่างที่มองออกไปเห็นวิวเมือง
ชา กาแฟ และน้ำดื่ม เราสามารถหยิบได้ฟรี
ห้องน้ำกว้างแบ่งเป็นโซนเปียกและแห้ง และที่ชอบคือฝักบัวแบบเรนชาวเวอร์ที่มีระบบน้ำอุ่นและน้ำเย็นในตัว ปรับได้ตามใจชอบ แถมน้ำแรงสบายตัวสุดๆ
Buri Siri Hotel
ตกดึกก็มาเช็คอินแลนด์มาร์กสไตล์ญี่ปุ่นที่ คลองแม่ข่า หรือที่เรียกกันว่าคลองโอตารุเชียงใหม่ บรรยากาศของที่นี่จะมีคลองใสไหลผ่านกลาง และทั้งสองฝั่งทางเดินจะมีร้านค้าเล็กๆ ตั้งขายของ สำหรับที่นี่เปิดให้เที่ยวได้ทั้งวัน แต่ถ้าอยากได้ความครึกครื้นและมีร้านค้าเยอะ ให้มาช่วงเย็น (ประมาณ 17.00 น.) ชาวบ้านจะเริ่มตั้งร้าน มีขายทั้งของกิน ของใช้ เครื่องดื่ม และที่สำคัญแต่ละร้านตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น บอกเลยมาเที่ยวเชียงใหม่ปลายปีที่อากาศเย็นสบาย แล้วมาเดินคลองแม่ข่า ฟีลดีมาก!
ช่วงปลายปี หลายที่ในเชียงใหม่เริ่มประดับโคมยี่เป็ง พอกลางคืนส่องแสงสวยสุดๆ
ของกินที่คลองแม่ข่ามีหลากหลายมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นของกินสไตล์ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นโอเด้ง ทาโกะยากิ ไทยากิ หรือจะเป็นอาหารตามสั่ง ข้าวซอย หม่าล่า เครื่องดื่มสายชิลล์ก็มีเหมือนกัน ส่วนขาช้อปก็มีเสื้อผ้า ของใช้ ของฝากให้ได้เดินซื้อกันตลอดทาง
ถ้ากรุงเทพฯ ต้องไปซื้อดอกไม้ ถ่ายรูปที่สะพานพุทธ ส่วนเชียงใหม่ก็ต้องไปซื้อดอกไม้ มาทำคอนเทนต์ที่คลองแม่ข่า เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ใหม่ที่สายคอนเทนต์ห้ามพลาด! ตอนที่เรามาจะมีดอกไม้ 2 แบบ คือ ตระกร้าดอกไม้ปลอมราคา 30 บาท สำหรับเช่าถ่ายรูปในคลองแม่ข่า และช่อดอกไม้สด ราคาจะเป็นไปตามดอกไม้ที่เราเลือก หลังจากนั้นพี่คนขายก็จะมาจัดช่ออย่างสวยงาม
จุดเช็คอินคลองแม่ข่า ถ่ายรูปคู่ฝาท่อสวยๆ
มาช่วงนี้มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เพียบ งานไฟแบบจัดเต็ม
คลองแม่ข่า
เริ่มต้นเช้าวันที่ 2 ด้วยอาหารเช้าแบบ Line Buffet มาเริ่มกินได้ตั้งแต่ 07.00 – 10.30 น. มีให้เลือกหลากหลายทั้งไทยและอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มปลา ต้มจืดไข่ ผัดผัก สลัด ขนมปัง ครัวซองค์ ซีเรียล รวมถึงมีเครื่องดื่มชา กาแฟ น้ำผลไม้ เรียกได้ว่าเป็นมื้อเช้าที่อิ่มจุกๆ นอกจากนี้ห้องอาหารของโรงแรมยังเป็นแบบ All Day Dining ในช่วงเช้าจะบริการอาหารเช้า ส่วนช่วงเที่ยงและเย็นจะเป็นคาเฟ่และร้านอาหาร
ห้องอาหารมีที่นั่งเยอะมาก บรรยากาศสบายๆ
เช้านี้เรามาเดินเล่นกันที่ กาดบะป๊าว ตลาดเสาร์ – อาทิตย์ที่มีขายทั้งของกิน ของฝาก สินค้าแฮนด์เมด เปิดตั้งแต่เวลา 08.00 – 14.00 น. แนะนำให้มาช่วงเช้าสัก 09.00 น. อากาศเย็นสบายและร้านค้าเริ่มตั้งกันครบ แถมบรรยากาศก็คึกคัก สำหรับพื้นที่ในตลาดกว่า 10 ไร่ โอบล้อมไปด้วยต้นมะพร้าว เต็มไปด้วยความร่มรื่นและสบายตา ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือที่นั่งกลางร่องสวนมะพร้าว ให้เราได้นั่งรับลมชิลล์ๆ แถมยังถ่ายรูปสวยด้วย
มาที่นี่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างแท้จริง การเดินไปแต่ละร่องสวนจะต้องผ่านสะพานไม้ไผ่ และใครที่เดินตามร่องแบบนี้ต้องระวังหน่อย บางจุดค่อนข้างลื่น ระวังตกน้ำกันด้วย!
ที่นั่งมีให้เลือกเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นแบบแคร่ไม้ไผ่และซุ้มไม้ ใครชอบที่นั่งแบบไหน มาถึงแล้วก็รีบจับจองที่นั่งไว้เลย
สำหรับกาดบะป๊าวจะแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักๆ คือ โซนของกินและโซนสินค้า เริ่มจากโซนของกิน อาหารมีให้เลือกหลากหลาย ถ้าอยากกินเล่นง่ายๆ ก็มีพิซซ่าญี่ปุ่น แฮมเบอเกอร์ ลูกชิ้น ไส้อั่ว หรือจะกินจริงจังหน่อยก็มีอาหารตามสั่ง ผัดไทย ข้าวซอย อีกทั้งยังมีขนมไทยและของหวานอีกเพียบ นอกจากนี้ยังมีร้านเครื่องดื่มหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านน้ำมะพร้าว ร้านโกโก้ เรียกได้ว่ามาแต่เช้าก็ต้องชาร์จพลังกันสักแก้ว
ร้านในตำนานก็มาเหมือนกัน เกี๊ยวทอดเทพเจ้า ร้านเด็ดประจำเชียงใหม่ที่จะหาซื้อไม่ได้ง่ายๆ ต้องอาศัยดวง โดยคุณป้าจะเข็นรถไปเรื่อยๆ ทั่วเชียงใหม่ ใครดวงดีเจอรถเข็นคุณป้าก็ได้กินอร่อยไป แต่มาที่กาดบะป๊าวไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้กิน คุณป้าตั้งประจำอยู่ที่นี่ สามารถแวะมาลองเกี๊ยวทอดระดับตำนานได้ แถมราคาตัวละ 5 บาทเท่านั้น
ถึงแม้เราจะเพิ่งกินมื้อเช้ามา ก็ยังอดใจไม่ไหวต้องซื้อของกินในตลาดอีกหน่อย เอาจริงๆ ที่นั่งแคร่แบบนี้ชิลล์มาก บวกกับมีร่มเงาจากต้นมะพร้าว ถือว่าเป็นตลาดที่ต้องปักหมุดไว้ในลิสต์เลย
นอกจากโซนของกิน ก็ยังมีโซนสินค้า มีขายทั้งงานแฮนด์เมด สินค้าพื้นบ้าน งานปั้น เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋าสาน บอกเลยว่าเป็นโซนละลายทรัพย์สุดๆ ของน่ารักจุกจิกเต็มไปหมด
ในตลาดจะมีดนตรีสดอยู่ 2 จุด มีทั้งเพลงไทยและอินเตอร์ มานั่งฟังเพลงชิลล์ๆ เคล้าลมหนาว กินของอร่อย ช้อปของฝาก บอกเลยว่ามาที่เดียวครบจบทุกสิ่ง
มุมถ่ายรูปตรงสะพานไม้ไผ่เป็นอีกไฮไลท์ที่ห้ามพลาด!
กาดบะป๊าว
เชื่อว่าใครมาเชียงใหม่ก็ต้องมาเดินเล่นใน ย่านนิมมานเหมินทร์ แหล่งช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยว รวมถึงมีคาเฟ่และร้านอาหารจำนวนมาก สำหรับนิมมานฯ จะให้ฟีลเหมือน Siam Square ที่มีซอยย่อยให้ได้เดินกันยาวๆ แต่จะต่างกันเพียงแค่ขนาดพื้นที่ นิมมานฯ กว้างมาก บอกเลยว่าแค่เดินต้นซอยไปท้ายซอยก็เหนื่อยหอบแล้ว ดังนั้นในทริปนี้เราจะพาทุกคนไปลองกิจกรรมใหม่ๆ อย่างขับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเจ้าสกู๊ตเตอร์นี้จะจอดตามจุดต่างๆ ในนิมมานฯ แนะนำว่าให้ดาวน์โหลดแอปฯ Gogo electric bike ไว้ล่วงหน้า จะได้เช็คจุดจอด
สำหรับขั้นตอนการเช่าสกู๊ตเตอร์ก็ง่ายมาก เริ่มจากดาวน์โหลดแอปฯ Gogo electric bike และค่อยๆ ทำไปตามขั้นตอนตามนี้
1.สมัครสมาชิก
2.เติมเงินเข้า wallet
3.แสกน QR Code บนรถสกู๊ตเตอร์
4.ปลดล็อคสกู๊ตเตอร์จากบนแอปฯ
ส่วนราคา 10 นาทีแรก 20 บาท หลังจากนั้นนาทีละ 3 บาท แล้วใครที่ขับเสร็จแล้วก็อย่าลืมเอาไปจอดไว้ในจุดจอดตามที่แอปฯ บอกด้วยนะ
บรรยากาศนิมมานฯ ในช่วงนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ ยิ่งใกล้สิ้นปี ทุกร้านตกแต่งอย่างสวยงาม เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็น Festive Vibe ทำให้เราสนุกกับการเดินเล่น แวะถ่ายรูปตามจุดต่างๆ
สินค้าแฮนด์เมดน่ารักเยอะมาก ใครชอบแนวนี้ต้องมาเลย ซื้อเป็นของฝาก ของจับฉลากได้หมด
ย่านนิมมานเหมินทร์
สำหรับมื้อเที่ยงนี้เราขับรถออกจากถนนนิมมานฯ เพียง 10 นาทีก็ถึง เฮือนสุเทพ ร้านอาหารเหนือรสชาติแบบฉบับคนเมืองแท้ๆ ใครที่อยากรู้ว่าอาหารเหนือต้นตำรับเป็นยังไงต้องมาที่นี่เลย บรรยากาศร้านร่มรื่นและเงียบสงบ เดินเข้ามาเจอแต่ต้นไม้ใหญ่และกลางร้านมีสระบัวที่แค่เห็นก็รู้สึกสดชื่น รวมถึงร้านยังมีเปิดหมอกขาวๆ ช่วยเพิ่มความชิลล์เข้าไปอีก ส่วนที่นั่งจะเป็นแบบโอเพ่นแอร์ทั้งหมด อากาศโล่งโปร่ง และที่สำคัญมีโต๊ะให้เลือกเยอะ สามารถรองรับลูกค้าได้กว่า 100 คน
ความร่มรื่นเต็ม 10 บอกเลยว่าเดินทางมาเหนื่อยๆ ได้นั่งพักที่นี่คือชิลล์มาก
เมนูส่วนใหญ่เป็นอาหารเหนือ มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งลาบ คั่ว ยำ แกง หมก ต้ม มีหลายเมนูที่คนกรุงเทพฯ อาจจะไม่รู้จักหรือเมนูที่มาแล้วต้องสั่ง เดี๋ยวเราจะมาแนะนำกัน เริ่มด้วยเมนูยอดฮิตที่เชื่อว่าชาวกรุงอย่างเราต้องมีติดโต๊ะ น้ำพริกอ่อง ราคา 95 บาท เป็นออเดิร์ฟที่จิ้มคู่กับผักต้มหรือข้าวเหนียวแล้วอร่อยลงตัวสุดๆ ต่อด้วย แกงฮังเลคากิ ราคา 125 บาท แกงรสกลมกล่อม หอมเครื่องแกงแบบทางเหนือ รสชาติเค็มนิดๆ เผ็ดหน่อยๆ หวานกำลังดี ให้คากิและเนื้อหมูชิ้นใหญ่ อร่อยฉ่ำ เปื่อยกำลังดี
อาหารแต่ละจานหน้าตาน่ากินมากกก
มาถึงเมนูแนะนำที่หากินได้ยาก แกงคั่วเห็ดถอบใบชะพลู ราคา 175 บาท รสชาติคล้ายแกงเผ็ด มีความเข้มข้น หอมกลิ่นเครื่องแกง และมาพูดถึงเห็ดถอบที่เป็นตัวเอกของแกงนี้ โดยปกติเห็ดถอบราคาแพงและหากินยาก ส่วนรสชาติก็พิเศษมากๆ ข้างนอกกรอบ ข้างในกลวง กัดแล้วเหมือนเห็ดแตกในปาก อร่อยแบบต้องยกนิ้วให้เลย นี่จึงเป็นเมนูที่อยากให้ทุกคนได้ลองกัน
อีกเมนูอาหารเหนือที่ต้องลอง ตำขนุน ราคา 100 บาท รสชาติมีเอกลักษณ์ มีความหอม เผ็ด มัน เค็ม เคี้ยวเพลินๆ เนื้อขนุนอ่อนคลุกกับเครื่องแกงลงตัว ยิ่งกินกับแคบหมู แล้วตามด้วยข้าวเหนียว พูดได้ว่าลำแต้ๆ
ส่วนเครื่องดื่มวันนี้เราสั่งเป็นน้ำสมุนไพร มีทั้งกระเจี๊ยบ อัญชันมะนาว และเก็กฮวย ราคาแก้วละ 40 บาท ใครที่เดินทางมาเหนื่อยๆ แนะนำให้สั่งน้ำสมุนไพร บอกเลยว่าสดชื่น ดีต่อสุขภาพ แถมช่วยคลายร้อนด้วย
เฮือนสุเทพ
ชาร์จพลังเต็มที่จากมื้อเที่ยงแล้ว เราขับรถมายังดอยสุเทพ เพียงไม่นานก็ถึง วัดผาลาดหรือวัดสกิทาคา เป็นวัดสวยสไตล์ล้านนาที่อายุกว่า 500 ปี วัดแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่กลางธรรมชาติ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบสงบและมีเสน่ห์มนต์ขลัง อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมและงานประติมากรรมอันสวยงาม นอกจากนี้ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้กราบไหว้และบ่อน้ำทิพย์เพิ่มความเป็นสิริมงคล
ไฮไลท์ของวัดผาลาด คือ เจดีย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่า ตลอดทั้งฐานไปจนถึงยอดเจดีย์ถูกปกคลุมไปด้วยมอสและใบไม้ ดูแล้วกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบๆ อีกทั้งยังเชื่อว่าเป็นศิลปะในสมัยครูบาศรีวิชัย
เมื่อเดินลึกเข้าไปในวัด เราจะพบพญานาคขดตัวอยู่กลางลำธาร ในช่วงที่น้ำน้อยแบบนี้เราสามารถเดินไปกราบขอพรได้ แต่ถ้าเป็นหน้าฝนที่น้ำขึ้นสูง บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยน้ำ อาจจะต้องไหว้จากที่ไกลๆ
จากมุมนี้เราสามารถมองเห็นตัวเมืองเชียงใหม่ได้แบบกว้างๆ
งานประติมากรรมที่อยู่คู่ธรรมชาติมาอย่างยาวนาน แม้จะทิ้งร่องรอยไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังคงความสวยงามอยู่คู่กับวัดผาลาด
วัดผาลาด
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่มาเที่ยวเชียงใหม่แล้วต้องเช็คอิน อ่างแก้ว มช. เป็นอ่างเก็บน้ำในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาพร้อมกับวิวดอยสุเทพอย่างใกล้ชิด บรรยากาศร่มรื่นและสบายๆ นับว่าเป็นแหล่งพบปะยอดฮิตยามเย็นของนักศึกษา รวมถึงเป็นที่ออกกำลังกาย อ่างแก้วจะมี 2 ส่วนหลักๆ เริ่มจากเนินด้านบนที่อยู่บนสันเขื่อน มุมนี้คนชอบมาถ่ายรูปเล่น แถมวิวสวยหลักล้าน ถัดลงมาเป็นลานกว้างหรือที่ชื่อว่า ลานควายยิ้ม เป็นลานไว้จัดกิจกรรม นอกจากนี้ที่นี่ยังสามารถพาสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่นได้ แต่จะวิ่งได้แค่โซนด้านล่างเท่านั้น
ถ้าวันไหนอากาศดี ช่วงเย็นจะคนเยอะเป็นพิเศษ และช่วงเวลาที่เหมาะกับการมานั่งเล่นก็ตั้งแต่ 16.00 น. เป็นต้นไป
อ่างแก้ว มช.
เย็นนี้เราย้อนกลับมาแถวนิมมานฯ มาเดินดูแสงสีใจกลางเมืองกันที่ Think Park Shibuya Chiangmai บริเวณนี้ถูกออกแบบให้ฟีลเหมือนอยู่ญี่ปุ่นสุดๆ ถ้ามาช่วงกลางวันจะเหมาะกับการมาถ่ายรูปและแวะเข้าคาเฟ่ชิคๆ แต่ถ้ามาช่วงดึกก็จะได้อีกบรรยากาศ ตื่นตากับแสงสียามค่ำคืน และมีร้านอาหาร ร้านนั่งชิลล์ให้เลือกเยอะ ส่วนมุมถ่ายรูปที่ห้ามพลาดก็มี ทางเข้าสถานีรถไฟฟ้า รูปปั้นหมาฮาจิโกะ ทางม้าลายและสัญญาณไฟญี่ปุ่น ตุ๊กตามารุโกะ หรือจะเป็นตรอกเล็กๆ ที่ชวนให้คิดถึงตรอกโอโมอิเดะ โยโกโจที่ชินจูกุ
ถ้ามาที่นี่ในช่วงสิ้นปีก็จะได้ถ่ายรูปสวยๆ กับการประดับไฟสุดตระการตาในงาน Winter illuminations 2023 โดยไฟจะเริ่มเปิดตั้งแต่เวลา 19.00 – 22.00 น. จุดที่จัดไฟก็จะมีด้านข้างโรงแรม Eastin ตรงนี้เป็นซุ้มไฟ สวยอลังการมาก ต่อด้วยทางเดินกลาง Think Park จะฟีลเหมือนทะเลดาว สามารถครีเอทมุมถ่ายรูปได้เยอะ และสุดท้ายไฟที่ประดับห้อยตามต้นไม้ก็สวยไม่แพ้มุมอื่น
ร้านอาหารที่นี่เหมือนร้านในญี่ปุ่นที่จะเป็นร้านเล็กๆ รวมถึงอาหารก็สไตล์ญี่ปุ่น ทั้งราเมน อิซากายะ ชาบู ปิ้งย่างญี่ปุ่น แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ขายอาหารไทย อาหารทะเล และอาหารตะวันตกด้วย
ที่นี่จะมีลานให้นั่งชิลล์ โดยเราสามารถสั่งอาหารตามร้านต่างๆ แล้วก็เอามานั่งกินบริเวณนี้ได้ แถมยังมีดนตรีสดให้ฟังทุกวันด้วย
มื้อเย็นนี้เราเลือกมาหลากหลาย ทั้งข้าวแกงกะหรี่ ข้าวหน้าหมู ยำแซลมอน ผัดไทยกุ้งสด และข้าวผัดทะเล สำหรับราคาแต่ละจานอยู่ที่ 100 – 250 บาท ราคาอาจจะแรงไปบ้าง แต่คุณภาพอาหารก็ตามราคาเลย อย่างแซลมอนชิ้นใหญ่ สดฉ่ำ ส่วนผัดไทยก็กุ้งตัวใหญ่ เนื้อแน่นมาก และถ้ากินอิ่มแล้วก็สามารถสั่งเครื่องดื่ม มานั่งจิบชิลล์ๆ ต่อได้เลย
นอกจากร้านในโครงการ ที่นี่ก็ยังมีจัดงานอยู่เรื่อยๆ โดยเปิดให้ร้านค้าภายนอกมาตั้งขายของ อย่างโซนของกินมีให้เลือกเยอะมาก ทั้งของคาว ของหวาน เครื่องดื่ม เรียกได้ว่าครบสุดๆ และใกล้กับโซนของกินก็จะมีเป็นโซนช้อปปิ้ง ที่ขายพวกงานแฮนด์เมด สินค้าพื้นเมือง เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของใช้ต่างๆ ใครอยากซื้อของฝาก มาเดินตรงนี้ได้ติดมือกลับไปแน่นอน
Think Park Shibuya Chiangmai
และเรามาปิดท้ายด้วยแสงสีสุดอลังการที่ ซุ้มไฟประตูท่าแพ ตั้งอยู่หน้าประตูท่าแพ โดยซุ้มนี้เริ่มจัดตั้งแต่งานยี่เป็งหรือวันลอยกระทง และจัดยาวไปจนถึงวันที่ 7 มกราคม 2567 สำหรับซุ้มไฟจะเริ่มเปิดประมาณ 18.00 – 02.00 น. และเปิดแค่วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ถ้าไม่อยากเจอคนเยอะ แนะนำให้มาดึกหน่อย จะได้ถ่ายรูปง่ายๆ และถ้ามาวันอาทิตย์จะตรงกับวันที่มีถนนคนเดินท่าแพ เรียกได้ว่าช้อปปิ้งเสร็จก็มาถ่ายรูปกันต่อเลย
ซุ้มไฟบนถนนท่าแพกว่า 10 ซุ้มตั้งยาวจนกลายเป็นอุโมงค์ไฟ ฟีลเหมือนตลาดคริสต์มาสในยุโรป
ประตูท่าแพ
และทั้งหมดนี้คือทริปเที่ยวเชียงใหม่ 48 ชั่วโมง ตั้งใจไปมู อัปเดตอะไรใหม่ๆ โซนในเมือง ถือว่าเป็นทริปส่งท้ายปีที่ได้มาทำบุญ เสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ ใครที่อยากลงนะหน้าทองให้ปัง แนะนำให้มาวัดศรีดอนมูล รับเจิมจากครูบาน้อยโดยตรง และยังได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกเพียบ รวมถึงได้มาพักผ่อนชิลล์ๆ เน้นเที่ยวโซนในเมือง ได้ไปกินอาหารเหนืออร่อยๆ แวะนั่งชิลล์อ่างแก้ว ถ่ายรูปกับแสงสียามค่ำคืน นอกจากนี้ช่วงสิ้นปีแบบนี้ ตามที่เที่ยวล้วนประดับไฟและโคมยี่เป็ง เป็นบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความสนุกและความอบอุ่น เสน่ห์เชียงใหม่ช่วงเทศกาลมากี่ครั้งก็ไม่เบื่อจริงๆ
สรุปค่าใช้จ่าย เที่ยวเชียงใหม่ 48 ชั่วโมง ตั้งใจไปมู อัปเดตอะไรใหม่ๆ โซนในเมือง
Day : 1
Day : 2
รวมค่าใช้จ่ายต่อคน = 3,475 บาท (ค่าใช้จ่ายยังไม่รวมค่าเช่ารถ ค่าน้ำมัน และค่าตั๋วเครื่องบิน)
จัดเต็มครบทุกมู้ดกับ เที่ยวเชียงใหม่ 48 ชั่วโมง ตั้งใจไปมู อัปเดตอะไรใหม่ๆ โซนในเมือง ใครที่มีวันหยุดน้อยก็สามารถมาเที่ยวตามได้หรือใครมีแพลนมายาวๆ ก็ปักหมุดสถานที่ตามเราได้เลย และถ้าอยากได้ที่เที่ยวในเมืองเพิ่มเติมก็ลองดู 12 จุดเช็คอินเชียงใหม่ ในตัวเมือง ถ่ายรูป เดินเล่น เช็คอินแล้วไม่เอาท์! และห้ามพลาดข้าวซอยรสเด็ดกับ 7 ร้านข้าวซอยเชียงใหม่ ในเมือง รสชาติเข้มข้นถึงเครื่อง ต้องลอง! สุดท้ายขาช้อปจะต้องกดหัวใจให้ 7 ตลาดนัด – ถนนคนเดินเชียงใหม่ พิกัดช้อปปิ้งยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด! มาที่เดียวมีทั้งของกิน ของฝาก และของใช้