4 วัน 3 คืน ตะลุย! Japan ดินแดนคันไซ แช่ออนเซ็นสีทอง ดูหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
5,646 ครั้ง
5 ก.พ. 2563
5,646 ครั้ง
5 ก.พ. 2563
ผมเชื่อว่าญี่ปุ่นเป็นดินแดนในฝันของใครหลายๆ คนที่อยากเดินทางมาสัมผัสความความงดงามด้วยตัวเองให้ได้สักครั้งและผมก็เป็นหนึ่งในนั้น สำหรับการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกนั้นผมเชื่อว่าหลานคนต้องเดินทางทางมาเมืองใหญ่ๆ ที่มีความเจริญอย่าง โตเกียว โอซาก้า อย่างแน่นอน แต่สำหรับการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกของผม ผมเลือกที่จะไปสัมผัสวัฒนธรรมและธรรมชาติ และภูมิภาคคันไซคือที่ที่ผมกำลังเดินทางไป
สำหรับการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรกของผม ผมเลือกที่จะเดินทางไปเองคนเดียวเพราะฉนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้ามในการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศคือการซื้อประกันการเดินทาง ซึ่งสามารถคุ้มครองค่าเสียหายตั้งแต่ที่เราเดินทางไปเที่ยวจนถึงวันกลับ แถมยังครอบคลุมการยื่นวีซ่า ค่ารักษาพยาบาล สัมภาระ ค่าชดเชยต่างๆ หรือร้ายแรงกว่านั้นในกรณีที่เสียชีวิต และประกันการเดินทางดีๆ แบบนี้ผมซื้อผ่านหน้าเว็บไซต์ https://www.frank.co.th ซึ่งมีให้เลือกหลายบริษัทประกันชั้นนำ และที่สำคัญสามารถรับกรมธรรม์ผ่านทางออนไลน์ทันทีและได้รับความคุ้มครองทันที
หลายคนๆ อาจคิดว่าการซื้อประกันการเดินทางเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นและมองข้ามไป แต่สำหรับผมมีติดตัวไว้แล้วไปเที่ยวแบบสบายใจดีกว่าครับ ผมเดินทางจากสนามบินดอนเมือง – สู่สนามบินนานาชาติคันไซ ประเทศญี่ปุ่นใช้เวลาเดินทางประมาน 5 ชั่วโมงนิดๆ มาถึงญี่ปุ่นตั้งแต่เช้าตรู่กันเลยทีเดียว มาถึงญี่ปุ่นช่วงเข้าฤดูหนาวแบบนี้ก็ต้องไม่พลาดไปดูหิมะสักครั้ง ผมมุ่งหน้าไปที่ Rokko Snow Park
Rokko Snow Park ลานสกีหิมะเทียมแห่งแรกของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่บนภูเขาร็อคโค ที่เปิดให้บริการช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงสิ้นเดือนมีนาคมของทุกปี มี 2 โซนคือโซนแอดวานซ์สำหรับมือโปรที่ใช้ Snowboard และ Ski ในการเล่น
และโซนที่สอง โซนเบสิคสำหรับมือใหม่ สำหรับการมาเจอหิมะครั้งแรกของผม ผมเลยเลือกเล่นโซนเบสิคที่ใช้กระดานเลื่อนหิมะน่ารักๆ ในการเล่น
มาถึงดินแดนที่เป็นสุดยอดแห่งเนื้ออย่างโกเบมีหรือผมจะพลาด บนเขาร๊อคโคยังมีร้าน Rokkosan Genghis Khan Palace ภัตตาคารอาหารปิ้งย่าง มื้อเที่ยงวันนี้ก็เลยไม่รอช้าจัดเซ็ตปิ้งย่างเซ็ตใหญ่ที่มีทั้งเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู และเนื้อไก่
ฝั่งตรงกันข้าม ยังมีอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่มีชื่อว่า Rokko Shidare Observatory ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเมืองโกเบและมีสถาปัตยกรรมรูปทรงคล้ายต้นไม้ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น มุมนี้ถ่ายรูปสวยมากครับ รับรองว่าได้รูปเปลี่ยนโปรไฟล์ใหม่อย่างแน่นอน
และบนภูเขาร็อคโคยังมี Rokko International Musical Box Museum พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะแห่งนี้และยังเก็บรวบรวมกล่องดนตรีโบราณจากทั่วโลกเอาไว้
สำหรับการเดินทางมาภูเขาร๊อคโคจากสนามบินคันไซผมเดินทางโดยรถบัสสาธารณะ Airport Limousine Bus ไปที่สถานีรถไฟโอซาก้า ใช้เวลาประมาน 60 – 80 นาที ราคาตั๋วโดยสาร 1,300 เยน จากนั้นนั่งรถไฟจากโอซาก้ามาลงที่สถานี Hankyu Rokko และต่อรถ Kobe City Bus ไปขึ้น Rokko Cable Car และยังสามารถนั่งรถ Rokko Sanjo Bus ขึ้นมาบนเขาร็อคโค
เริ่มต้นทริปด้วยหิมะแบบหนาวๆ ฟินๆ กันแล้วก็ต้องไปแช่ออนเซ็นแบบฉ่ำๆ กันต่อที่ เมืองอาริมะออนเซ็น เมืองออนเซ็นเก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งไฮท์ไลท์ของเมืองนี้ก็คือ น้ำแร่ธรรมชาติสีทองและสีเงิน
สำหรับที่พักของผมในคืนนี้คือโรงแรม Arima Gyoen Ryokan ที่พักสไตล์เรียวกังแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ซึ่งมีซิกเนเจอร์ของโรงแรมก็คือบ่อออนเซ็นทั้ง 2 แบบคือแบบ คินเซ็น (Kinsen) บ่อน้ำร้อนสีทอง และแบบ กินเซ็น (Ginsen) บ่อน้ำร้อนใสไร้สี ให้เลือกแช่ผ่อนคลาย
เพียงแค่เปิดประตูเข้ามาก็ได้กลิ่นอาบของความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมเต็มๆ แถมยังมีชุดยูกะตะให้เปลี่ยนอีกด้วย
มื้อเย็นวันนี้ผมกินอาหารที่โรงแรมที่จัดเป็นคอร์สอาหารญี่ปุ่นแบบออริจินัล มีทั้ง ชาบูเนื้อโกเบสไลด์ ซาซิมิ เทมปุระ และพุดดิ้งสตรอว์เบอร์รี่
สำหรับการเดินทางมายัง อาริมะ ออนเซ็น นั่งรถไฟจากสถานี Shin – Kobe ลงที่สถานี Arima onsen ใช้เวลาประมาน 30 – 40 นาที
ตื่นเช้าวันที่สองของทริป ผมยังคงฟินต่อเนื่องกับเมือง อาริมะ ออนเซ็น ซึ่งเช้านี้ผมวางแพลนว่าจะเดินเที่ยวรอบๆ เมือง อาริมะ ออนเซ็น แต่ก่อนออกไปเดินเล่นก็ต้องมาชาร์จพลังด้วยมื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่นของทางโรงแรมที่มีพิธีรีตองการกินแบบสไตล์ญี่ปุ่นมีทั้งซุปมิโซะ ไข่ลวก สลัดผัก ปลาย่างร้อนๆ และเครื่องเคียงที่เป็นผักดองอีกหลายอย่าง
เมื่อกินอิ่มแล้วก็ออกมาเดินเล่นรอบๆ เมืองอาริมะออนเซ็นท่ามกลางอากาศ 5 องศา มีทั้งสะพาน Taikobashi ที่มีลำธารอยู่ด้านล่างและมีน้ำพุร้อนไหลผ่านตลอดทั้งปี ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งแลนด์มาร์คของเมืองนี้ และนอกจากนี้ ต้องไม่พลาดที่จะไปถ่ายรูปกับสะพานสีแดง Nene Bridge อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมือง อาริมะ ออนเซ็น
ตัวเมือง อาริมะ ออนเซ็น จะเป็นตรอกซอกซอยเล็กๆ และมีบ้านเรือนโบราณแบบญี่ปุ่นที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างดี สำหรับใครที่อยากมีลูกก็ต้องไม่พลาดที่จะมาขอพรที่วัด ออนเซ็นจิ
แถมยังมีขนม อาริมะ เซมเบ้ ที่เป็นขนมที่มีชื่อเสียงของ อาริมะ ออนเซ็น ที่มีโซดาน้ำแร่อาริมะมาเป็นส่วนผสมในการทำขนมอีกด้วย
อย่างที่บอกไปแล้วว่าที่นี่เป็นเมืองออนเซ็นที่เก่าแก่ที่ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็สามารถเจอบ่อออนเซ็นได้ทั้งเมือง และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งบ่อออนเซ็นสาธารณะที่มีน้ำร้อนสีทองสำหรับแช่เท้าที่เรียกว่า Ashi yu
เที่ยวชมเมืองอาริมะออนเซ็นในช่วงเช้าเสร็จแล้ว แพลนวันนี้ผมจะเดินทางต่อไปที่หมู่บ้าน อิเนะ (Ine no Funaya) ซึ่งการเดินทางไปยังหมู่บ้านชาวประมงอิเนะจากอาริมะออนเซ็นจะต้องใช้เวลาเดินทางนานประมาน 2 ชั่วโมงจากสถานี Arima Onsen มุ่งสู่สถานี Kyoto Shiyakusho – mae ราคาประมาน 2,250 เยน และนั่งรถไฟต่อไปที่สถานนี้ Amanohashidate ราคา 2,260 เยน จากนั้นต่อรถบัส Tankai Bus โดยสารรถบัส ลงที่ Ine bus stop ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ราคา 400 เยน
ถึงแม้จะนั่งใช้เวลาเดินทางนานพอสมควรแต่จุดหมายปลายทางที่มาถึงผมบอกเลยว่าคุ้มสุดๆ เพราะ หมู่บ้านชาวประมง อิเนะ (Ine no Funaya) ทางตอนเหนือของเกียวโต เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ และยังขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
บ้านแต่ละหลังที่ตั้งเรียงรายติดชายฝั่งของอ่าวจะมีโรงจอดเรือไว้ที่ชั้นล่างของบ้านทำให้เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร และเรียกบ้านสไตล์นี้ว่า ฟุนายะ
อีกหนึ่งไฮไลท์ของหมู่บ้านอิเนะที่ผมไม่พลาดก็คือการ ล่องเรือทัวร์ในอ่าวอิเนะ ชมบรรยากาศของบ้านเรือนรอบๆ อ่าว ราคา 680 เยน/คน
บนเรือยังมีกิจกรรมให้อาหารนกแบบใกล้ชิดสุดๆ เมื่อเรือแล่นออกไปกลางอ่าวก็จะมีนกนางนวลและเหยี่ยวมารับอาหารไปจากมือเรา
เดินรอบๆ หมู่บ้านชาวประมงอิเนะจนหนำใจและได้รูปสวยๆ ตามความต้องการแล้ว ผมเลยนั่งรถบัสกลับไปที่สถานี Amanohashidate และเดินทางต่อไปยังที่พักที่จะนอนในคืนนี้ คือ Hashidate Bay Hotel โรงแรมสไตล์ยุโรปที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิวทะเลและสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างจุดชมวิวสะพานสู่สรวงสวรรค์ Amanohashidate
ภายในห้องมีพื้นที่ขนาดพอเหมาะและมีหน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวของหมู่บ้านริมทะเลที่อยู่ด้านนอกโรงแรมได้และยังครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
เดินทางและเที่ยวมาทั้งวัน มาถึงเมืองชายทะเลแล้วจะไม่กินอาหารทะเลก็คงไม่ได้ มื้อเย็นวันนี้ คอร์สอาหารสไตล์ยุโรปที่มีวัตถุดิบหลักจากปูมัตสึบะมาให้เราได้ชิมกันทั้งเมนู สลัดปูมัตสึบะ ปูมัตสึบะราดซอส สเต็กเนื้อโกเบ และซุปปูมัตสึบะ ซึ่งแต่ละเมนูได้สัมผัสถึงความอร่อยจากเนื้อปูมัตสึบะแบบเต็มๆ
วันที่ 3 ของทริป วันนี้ผมตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมาดูบรรยากาศของเมืองสงบๆ เลียบชายทะเลที่มีภูเขาเป็นฉากหลังและผู้คนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการกินมื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่นของทางโรงแรม
และออกเดินทางไปยังจุดเช็คอินแรกของวันนี้ที่ วัดชิอนจิ (Chionji) ในเมืองมิยาซุ วัดนี้มีความเชื่อเรื่องการมาขอพรเกี่ยวกับเรื่องการเรียน ทำให้วัดนี้มีนักเรียนจำนวนมากเดินทางมาขอพรให้สอบผ่าน ใครที่อยากขอพรให้สอบผ่านแนะนำให้มาที่วัดนี้เลย
อีกหนึ่งไฮไลท์ของเมืองมิยาซุที่ผมไม่พลาดก็คือการมาชม สะพานไคเซ็นเคียว สะพานสีแดงที่เชื่อมไปสู่สันทรายอามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate) และยังเป็นสะพานที่สามารถหมุนได้ 90 องศาเพื่อให้เรือแล่นผ่าน เรือท่องเที่ยวจะแล่นผ่านในเวลา 10.00 น. ของทุกวัน (วันอาทิตย์ สะพานจะหมุนทุกๆ ชั่วโมงตั้งแต่ เวลา 11.00-15.00 น.)
คราวนี้ลองขึ้นไปดูวิวจากมุมสูงที่ Amanohashidate View Land กันบ้าง ซึ่งถือได้ว่าเป็นสุดยอดไฮไลท์ที่มาถึงเมืองนี้แล้วไม่ควรพลาด
Amanohashidate View Land เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น และนี่คืออามาโนะฮาชิดาเตะหรือ สะพานสู่สรวงสวรรค์ ที่ตามจินตนาการของคนญี่ปุ่นบอกว่ามีลักษณะคล้ายกับตัวมังกรที่เชื่อมกันระหว่างสองแผ่นดินด้วยความยาวประมาน 3.6 กิโลเมตร
ด้านบน Amanohashidate View Land ก็ยังมีสวนสนุกและ Hiryukan-Kairo จุดชมวิวลอยฟ้าที่สามารถเห็นวิวอามาโนะฮาชิดาเตะได้ชัดยิ่งกว่าเดิม และยังเป็นมุมสวยๆ ที่เอาไว้ถ่ายรูปอีกด้วย
ก่อนเดินทางกันต่อผมเลยแวะที่ร้าน Kanshichi Chaya ร้านโมจิเก่าแก่ที่ตั้งอยู่หน้าวัดชิอนจิ และยังเป็นร้านโมจิที่มีชื่อเสียงของย่านนี้ โมจิถั่วแดงเหนียวนุ่มแบบต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ กินคู่กับชาร้อนๆ
และเดินทางไปต่อที่เมือง คิโนซากิ ออนเซ็น (Kinosaki Onsen) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดเมืองแห่งน้ำพุร้อนที่ถูกพบตั้งแต่สมัยอะซุกะ และเป็นเมืองที่มีบ่อออนเซ็นสาธารณะมากถึง 7 บ่อ ซึ่งแต่ละบ่อก็จะมีสไตล์และความเชื่อที่แตกต่างกันออกไปและยังเชื่ออีกว่าถ้าหากแช่ออนเซ็นครบทุกบ่อก็จะโชคดีและได้รับเรื่องดีๆ ไปตลอดทั้งปี
อีกหนึ่งไฮไลท์ถ้ามาเยือนถึงเมืองคิโนซากิออนเซ็นแล้วคือการเช่าชุดยูกะตะเดินเล่นในเมือง ซึ่งสามารถหาร้านเช่าชุดยูกะตะได้ทั่วทั้งเมืองคิโนซากิออนเซ็น และเมื่อมีชุดยูกะตะแล้วก็ต้องหามุมถ่ายรูปเด็ดๆ โดนๆ ซึ่งภายในเมืองก็มีมุมถ่ายภาพสวยๆ อยู่มากมาย อย่างมุมสวยๆ มุมนี้เรียกว่า สะพานซากุระ (SAKURABASHI Bridge) สะพานที่มีฉากหลังเป็นต้นซากุระเรียงรายไปตลอดสองฝั่งถนน
และผมก็ไม่พลาดที่จะไปดูบรรยากาศบ้านเก่าสไตล์ญี่ปุ่นที่อยู่เลียบคลองน้ำใสและเก็บภาพสะพานทั้ง 5 แห่งที่พาดผ่านคลองแห่งนี้ที่ทั้งสองฝั่งคลองเรียงรายไปด้วยต้นหลิวและต้นซากุระ
มุมสวยๆ ของภายในเมืองคิโนซากิออนเซ็นที่สามารถพบเห็นหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นใส่ชุดยูกะตะเดินเล่นภายในเมืองซึ่งกลายเป็นภาพชินตาของผู้คนในเมืองคิโนซากิออนเซ็น แต่สำหรับผมแล้วเป็นภาพที่น่าประทับใจและหาชมได้ยากสุดๆ
สำหรับการเดินทางที่เมืองคิโนซากิออนเซ็นจากอามาโนะฮาชิดาเตะ สามารถนั่งรถไฟสาย Tantetsu Miyamai – Miyatoyo Line มาที่สถานี Toyo-Oka Station และนั่งรถไฟ JR Kounotori มาที่ Kinosakionsen Station ได้เลย
แวะแช่ออนเซ็นและชมบรรยากาศที่เมือง คิโนซากิ ออนเซ็นจนหนำใจแล้ว ผมเดินทางต่อไปที่เมืองโกเบซึ่งจะเป็นจุดเช็คอินสุดท้ายที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบินนานาชาติคันไซสำหรับการเดินทางกลับในเช้าวันพรุ่งนี้ ผมเลยปักหมุดมาที่ Kobe Harborland
Kobe Harborland เป็นแหล่งรวมความทันสมัยของเมืองโกเบที่มีแลนด์มาร์คชิคๆ อย่าง Kobe Port Tower หอคอยสำหรับชมวิวเมืองโกเบและ Kobe Harborland Umie ที่เป็นแหล่งช็อปปิ้ง มีร้านขายของแฮนด์เมด ร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขนมอร่อยๆ มากมาย
เมื่อมาถึง Kobe Harborland แล้ว ร้านที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือร้าน Real Dining Cafe คาเฟ่ริมอ่าวโกเบที่สามารถชมวิวสวยๆ ของอ่าวโกเบได้แบบใกล้ๆ และยังมีขนมเค้กที่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านอย่าง Denmark Cheese ชีสเค้กยืดสุดละมุนราคา 350 เยน
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ห้ามพลาดเลยก็คือการนั่งชิงช้าสวรรค์ Mosaic Ferris Wheel ราคา 800 เยน/คน ใช้เวลาประมาน 10 นาที ซึ่งสำหรับผมแล้วเป็น 10 นาทีที่คุ้มค่ามากๆ เพราะเมื่อชิงช้าหมุนสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมได้เห็นวิวที่แตกต่างกันออกไปทั้งวิวท่าเรืออ่าวโกเบและวิวเมืองโกเบ
ช่วงเย็นหากใครที่ยังพอมีเวลาว่างก็ต้องไม่พลาดที่จะมาเดินเล่นรับลมชิลล์ๆ พร้อมชมวิวอ่าวโกเบ ที่ Meriken Park สวนสาธารณะขนาดย่อมริมอ่าวโกเบที่อัดแน่นไปด้วยสเน่ห์ของเมืองโกเบที่ในอดีตเคยมีชาวอเมริกันอาศัยอยู่จึงทำให้ชาวญี่ปุ่นเรียกที่นี่ว่าเมอริเคนปาร์ค
และยังสามารถเห็น Kobe Port Tower หอคอยสีแดงที่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองโกเบแบบใกล้ๆ บนหอคอยมีจุดชมวิวเมืองโกเบแบบ 360 องศาอยู่ด้วย
เที่ยวและช็อปปิ้งจนจุใจแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปยังสนามบินนานาชาติคันไซเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ สำหรับทริปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกของผมในครั้งนี้นอกจากจะประทับใจกับสถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่นแล้ว ผมยังรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจตลอดทริปเพราะการเดินทางครั้งนี้ผมเลือกซื้อประกันการเดินทางผ่านเว็บไซต์ https://www.frank.co.th/ประกันการเดินทาง ที่มีวิธีการซื้อที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว และที่สำคัญเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเองแบบผม ซื้อไว้ อุ่นใจ ก็ยิ่งเพิ่มความสุขของผมตลอดทริปเลยครับ