ทริปสังขละบุรี 2 วัน 1 คืน เที่ยวสโลว์ไลฟ์หน้าฝน ในงบ 1,000 นิดๆ
96,431 ครั้ง
8 ก.ย. 2563
96,431 ครั้ง
8 ก.ย. 2563
ช่วงฤดูฝนอากาศชวนฟินน่าไปสัมผัสบรรยากาศกรีนซีซั่น พร้อมหนีมาใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ที่ สังขละบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองกาญจนบุรีประมาณ 200 กิโลเมตร ที่ใครได้มาเยือนแล้วรับรองเลยว่าฟินไปกับอากาศเย็นๆ และต้องหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของวิถีชีวิตและธรรมชาติที่สังขละบุรีแห่งนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายอรรถรสเมื่อมาถึงที่แล้วจะพลาดไม่ได้กับ ‘สะพานมอญ’ สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์เด็ดที่ต้องแวะมาสัมผัสให้ได้เลย ตามมาดูกันเลยว่าทริปเก็ทเตอร์มาเที่ยวสังขละบุรีในครั้งนี้จะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวพักผ่อนที่ไหนอีกบ้าง ลุยเลย..
ออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่เช้ามืด โดยใช้เวลาเดินทางไปยังสังขละบุรีประมาณ 5 ชั่วโมง เรามุ่งหน้ามายัง สะพานมอญ หรือ สะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานที่มีความยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็งในประเทศเมียนมา ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำซองกาเรีย ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
เราเดินทางมาจอดรถที่ฝั่งหมู่บ้านมอญ และพลาดไม่ได้กับการเช่าชุดมอญใส่ไปถ่ายรูปกันจากร้านเช่าชุดร้านแรกใกล้ทางเข้าสะพานมอญ มีชุดให้เช่าทั้งชุดผู้ชายและผู้หญิงในราคาเพียง 50 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีชุดใส่บาตรให้บริการในราคาชุดละ 99 บาทอีกด้วย ร้านเปิดบริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 05.00 – 20.00 น. / วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 05.00 – 21.00 น. โทร. 092 924 1954
มาถึงที่แล้วก็ต้องไปเดินเก็บภาพบรรยากาศอัพ IG Story ซะหน่อย ระหว่างทางก็จะมีน้องๆ หอบหิ้วตะกร้าใส่ขันแป้งทานาคามาคอยแต่งแต้มใบหน้าให้นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาอีกด้วย
บรรยากาศก็จะเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า
ได้รูปสวยเพียบ!
จากนั้นเราก็พากันไปนั่งเรือล่องแม่น้ำซองกาเรีย เป็นแม่น้ำที่มีต้นกำเนิดไหลมาจากพม่าสายน้ำแห่งชีวิตที่เราจะได้สัมผัสวิถีชีวิตสองฝั่งแม่น้ำที่เชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยและชาวมอญ โดยเรามาลงเรือกันที่ฝั่งไทยค่ะ ค่าเรือประมาณ 300 บาทนั่งได้ 2 – 4 คน พาเที่ยว 3 วัด 3 เชื้อชาติ แพลุงเณร โทร. 082 191 9142, 065 351 4379
วัดแรกที่เรามาถึงคือ วัดวังก์วิเวการาม (เก่า) เป็นวัดของชาวมอญซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 2 บ้านวังกะ ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2496 ซึ่งถูกจมอยู่ใต้น้ำเมื่อปี พ.ศ. 2527 จากการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ (เขื่อนเขาแหลม) ทำให้น้ำเข้าท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่าทั้งหมด
สำหรับใครที่อยากเดินทางมาท่องเที่ยววัดวังก์วิเวการามในช่วงน้ำลดแบบนี้จะต้องมาเที่ยวช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน เพราะวัดจะโผล่ขึ้นมาจากน้ำเพียง 4 เดือนเท่านั้น แต่เมื่อเข้าช่วงเดือนตุลาคมสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นเมืองบาดาล หากเดินทางมาเที่ยวในช่วงนี้ก็จะมองเห็นเพียงหอระฆังของวัดที่โผล่พ้นน้ำเท่านั้น
ช่วงฤดูฝนก็จะมีฝนตกปรอยๆ ชุ่มฉ่ำมาก แต่บรรยากาศก็ดีมากเช่นกัน
หลังจากแวะถ่ายรูปเดินชมความสวยงามของวัดแล้ว เดินทางมาเที่ยวต่อกันที่ วัดสมเด็จ (เก่า) วัดของชาวไทยซึ่งสถานที่แห่งนี้ไม่ได้จมน้ำเพราะตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ แต่ถูกทิ้งร้างเอาไว้เมื่อตอนสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ (เขื่อนเขาแหลม)
ภายในวัดประดิษฐานพระประธานเพียงองค์เดียว รอบอุโบสถถูกปกคลุมไปด้วยต้นไทรใหญ่และรายล้อมไปด้วยต้นเขียวชอุ่ม เราเดินทางเที่ยวในช่วงฤดูฝนแบบนี้อากาศเย็นสบายและต้นไม้เขียวมาก
หลังจากไหว้พระเสร็จแล้ว เราพากันเดินทางต่อไปยังวัดสุดท้ายคือ วัดศรีสุวรรณ (เก่า) วัดของชาวกะเหรี่ยงเป็นวัดที่มีความเก่าแก่ที่สุดและจมอยู่ใต้น้ำมากที่สุดเมื่อเวลาน้ำขึ้นจะเหลือเพียงบางส่วนเท่านั้นที่โผล่พ้นน้ำ สำหรับใครที่อยากมาท่องเที่ยวช่วงน้ำลดสามารถมาได้ในช่วงเดือนเมษายนจนถึงช่วงปลายเดือนสิงหาคม จะสามารถลงไปเดินชมความสวยงามของวัดได้
หลังจากที่เที่ยวชมความสวยงามของวัด 3 เชื้อชาติกันไปแล้ว เราจึงเดินทางกันต่อเพื่อไปกราบไหว้สักการะเจดีย์พุทธคยา ตั้งอยู่ที่วัดวังก์วิเวการามแห่งใหม่ ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ในระหว่างที่เรานั่งเรือจะสามารถมองเห็นเจดีย์พุทธคยาแบบไกลๆ ได้อีกด้วย
เราเดินทางออกจากสะพานมอญมายังเจดีย์พุทธคยาใช้เวลาประมาณ 7 นาที สามารถขับรถเข้ามาจอดภายในลานจอดรถของวัดวังก์วิเวการามได้เลยค่ะ
เจดีย์พุทธคยาแห่งนี้เป็นเจดีย์จำลองที่มีขนาดเล็กกว่าเจดีย์องค์จริงที่ประเทศอินเดีย เจดีย์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่หลวงพ่ออุตตมะอันเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ซึ่งเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวพุทธ
ภายในวัดวังก์วิเวการามมีศาลาประดิษฐานสังขารหลวงพ่ออุตตมะ โดยบรรจุสังขารของหลวงพ่อไว้ในปราสาทมอญและมีวิหารพระพุทธรูปหินอ่อนประดิษฐาน “หลวงพ่อหยกขาว” พระพุทธรูปปางมารวิชัย
เมื่อเดินทางมาเที่ยวสังขละบุรีผู้คนต่างต้องแวะเวียนเข้ามากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต
ไหว้พระสักการะบูชาเจดีย์พุทธคยากันไปแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางไปพักผ่อนกันที่ บ้านห้วยอู่ล่อง รีสอร์ท ที่พักของเราในคืนนี้ ตั้งอยู่ที่ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เป็นรีสอร์ทสไตล์คันทรี่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบมาพร้อมห้องพักเรียงรายตั้งอยู่ติดริมลำธาร
ห้องพักของเราในคืนนี้เป็นห้องแอร์ริมน้ำ มาพร้อมระเบียงส่วนตัววิวสวยริมน้ำ ภายในห้องกว้างขวางเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยสะดวกอย่าง เตียงนอนคิงไซส์ เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ โต๊ะเครื่องแป้ง น้ำดื่ม และพื้นที่พักผ่อนสุดเงียบสงบ
บริเวณระเบียงห้องมีชุดโต๊ะไม้นั่งสบาย สามารถออกมานั่งกินลมชมวิวสวยๆ ของธรรมชาติได้ตลอดวัน
หลังจากเก็บของไว้ในห้องพักเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาไปรับประทานอาหารเย็น โดยมื้อเย็นของที่นี่จะเน้นเป็นอาหารไทยและอาหารเวียดนาม
เริ่มต้นกันที่ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย เป็นเมนูเด็ดหอมเครื่องเทศและลูกชิ้นปลากรายเป็นสูตรเฉพาะของที่นี่
ตามมาด้วย เมี่ยงปลาแรด ปลาแรดตัวโตที่เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงและน้ำจิ้มรสเด็ด
แหนมเนือง สูตรเฉพาะเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงและน้ำจิ้มรสชาติดีที่หารับประทานได้ที่บ้านห้วยอู่ล่องเท่านั้น
ขาหมูเวียดนาม เนื้อนุ่มได้รสชาติอาหารเวียดนามแท้ๆ
ต้มยำไก่ รสชาติเผ็ดเปรี้ยวกำลังดี เนื้อไก่เต็มคำ
ปิดท้ายด้วย ผลไม้สดๆ จากสวนอย่าง มังคุดและเงาะ (เสิร์ฟผลไม้ตามฤดูกาล) ใครติดใจก็สามารถซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านได้
บรรยากาศตอนค่ำก็จะเงียบสงบหน่อย พักผ่อนสบายและเป็นส่วนตัวมากๆ
ตื่นมาเล่นน้ำกันแต่เช้า เพราะบรรยากาศเช้าๆ ที่นี่ดีงามมาก
นอกจากนี้ยังสามารถไปเดินเล่นในสวนผลไม้ได้อีกด้วย มีทั้งสวนเงาะ มังคุด ลองกอง และส้มโอ
เดินเล่นถ่ายรูปกันมาพักใหญ่ก็เริ่มหิวข้าวกันแล้ว ขอมาเติมพลังยามเช้ากันหน่อย โดยอาหารเช้าที่บ้านห้วยอู่ล่องแห่งนี้เริ่มเปิดบริการตั้งแต่เวลา 08.00 น.
อาหารเช้าจะเสิร์ฟเป็นเซ็ต มีให้เลือกทั้ง ไข่กระทะ เสิร์ฟคู่กับขนมปังปิ้งและแยมสตรอว์เบอร์รี่
ก๋วยจั๊บญวนและข้าวต้มไก่ฉีกเวียดนาม เสิร์ฟคู่กับขนมปังปิ้งและแยมสตรอว์เบอร์รี่ด้วยเช่นกัน
สำหรับใครที่อยากดื่มกาแฟยามเช้า ที่นี่ก็มีบาร์กาแฟและโอวัลตินร้อนให้บริการอีกด้วย
มุมพักผ่อนเพียบ ไม่ว่าจะมุมไหนก็บรรยากาศดี
รับประทานอาหารเช้าพร้อมเดินสูดโอโซนชิลล์ๆ กันไปแล้ว ก็ได้เวลาออกไปสัมผัสธรรมชาติกันต่อที่ น้ำตกเกริงกระเวีย สำหรับนักเดินทางที่มาท่องเที่ยวสังขละบุรีไม่ควรพลาดที่จะมาแวะสัมผัสความสวยงามของน้ำตกขนาดเล็กสูงประมาณ 5 เมตร น้ำตกแห่งนี้ไหลมาจากลำห้วยลดหลั่นกันลงมาตามชั้นหิน ปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่นสุดๆ
นอกจากนี้ยังมีน้ำตกเล็กๆ กระจายอยู่รอบบริเวณ สำหรับน้องๆ หนูๆ นั้นสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัยแน่นอนและมีน้ำไหลให้เล่นได้ตลอดทั้งปีอีกด้วย สำหรับในช่วงหน้าฝนแบบนี้น้ำค่อนข้างแรงก็ต้องระมัดระวังกันหน่อยน้า
มุมถ่ายรูปจัดเต็มถูกใจสาวๆ แน่นอน
เดินทางมาเที่ยวชมธรรมชาติสวยๆ กันต่อที่ จุดชมวิวป้อมปี่ หรือที่เรามักจะคุ้นชินกันในชื่อ ‘ปางอุ๋งแห่งกาญจนบุรี’ ดินแดนสวรรค์ของชาวแคมป์ปิ้งทั้งหลายที่นอกจากจะได้สัมผัสธรรมชาติสวยๆ แล้วยังได้รูปถ่ายคูลๆ กลับไปอัพโซเชียลเพียบ
ป้อมปี่ แท้จริงแล้วเพี้ยนมาจากคำว่า ‘เปอปี่’ เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า ‘ต้นอ้อ’ เพราะในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์แห่งนี้เต็มไปด้วยดงอ้อขึ้นอยู่ริมฝั่งน้ำหลายจุดจึงกลายมาเป็นชื่อเรียกของที่นี่
มุมถ่ายรูปก็เยอะไม่แพ้จุดท่องเที่ยวจุดอื่นเลย ทั้งยังมีอากาศที่เย็นสบายและบรรยากาศเงียบสงบมากอีกด้วย
เป็นยังไงกันบ้างกับทริปสังขละบุรี 2 วัน 1 คืนในครั้งนี้ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ได้อีกยาวนาน ทริปนี้เราได้เติมพลังกันอย่างเต็มเปี่ยมพร้อมกลับไปลุยงานกันต่อแล้ว ครั้งนี้ทริปเก็ทเตอร์พาเดินทางเที่ยวง่ายๆ พักผ่อนแบบเป็นส่วนตัวพร้อมทั้งได้สัมผัสวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวมอญผ่านการล่องเรือเที่ยวเมืองบาดาลและวัดสามเชื้อชาติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินสุดอันซีนที่เหล่านักเดินทางต้องพากันมาสัมผัสให้ได้เลย สำหรับใครที่มองหาสถานที่พักผ่อนแบบสบายๆ ในวันหยุดอยู่ ลองชวนเพื่อนมาจัดทริปสังขละบุรีเที่ยวฟินๆ หน้าฝนใช้งบแค่ 1,000 นิดๆ ก็ได้มาปล่อยตัวปล่อยใจไปกับธรรมชาติแล้ว รับรองว่าจะต้องตกหลุมรักสังขละบุรีอย่างแน่นอน
สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป สังขละบุรี 2 วัน 1 คืน
ค่าเช่าชุดสาวมอญ = 100 บาท
ค่าเรือเที่ยวเมืองบาดาล 3 วัด = 300 บาท
ค่าที่พักบ้านห้วยอู่ล่อง = 2,400 บาท (แพ็คเกจห้องแอร์ รวมอาหาร 2 มื้อเช้า+เย็น ราคา 1,200 บาท/คน)
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม = 110 บาท (ค่าเข้า 40 บาท/คน, ค่ารถ 30 บาท/คัน)
รวมทั้งหมด 2,910 บาท/ไป 2 คนตกคนละ 1,455 บาท
(ราคาไม่รวมค่าเดินทาง และค่าน้ำมันรถ)