ทริป 2 วัน 1 คืน ยกพวกไปเหมาความสุขกลางป่า นอนแพริมน้ำ ตื่นเช้าห่มสไบกันที่เมืองกาญจน์
66,829 ครั้ง
1 ธ.ค. 2559
66,829 ครั้ง
1 ธ.ค. 2559
สำหรับเราๆ วัยทำงาน ช่วงเวลาที่ทำให้ยิ้มได้นั่นคงหนี้ไม่พ้นการได้พบปะเพือนฝูง ชวนกันไปเที่ยวพักผ่อน พูดคุยเรื่องราวเก่าๆ และทริปนี้เราจะพาคุณออกเดินทางไปเก็บความสุข กับที่พักสวยๆ กิจกรรมสนุกๆ ที่เหมาะสำหรับการแท็กชวนเพื่อนออกไปพักผ่อนด้วยกันสักทริป กับที่พักสุดส่วนตัวที่รับนักท่องเที่ยวแบบกลุ่มกันที่ไทรโยค โฟลทเทล รีสอร์ท กับ “ทริป 2 วัน 1 คืน ยกพวกไปเหมาความสุขกลางป่า นอนแพริมน้ำ ตื่นเช้าห่มสไบกันที่เมืองกาญจน์”
Day: 1 เราออกเดินทางกันแต่เช้า เพราะว่าจุดหมายปลายทางของเราวันนี้จะอยู่ที่ไทรโยค ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ โดยวางแผนไว้จะแวะกินข้าวเที่ยวกันในตัวเมือง แวะเดินเล่นที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว แล้วก็มุ่งหน้าเข้าที่พักกันเลยฮะ…
ทริปนี้เราเดินทางด้วยรถส่วนตัว เวลาเดินทางกันประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว เลยเดินเล่น ถ่ายรูปกันสักหน่อย ว่ามาเรา “มาถึงแล้วจ้า!!” สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำแคว สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งชาวญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยทั้งอังกฤษ ออลันดา ฯลฯ มาสร้างสะพานแห่งนี้ อีกทั้งสะพานข้ามแม่น้ำแควยังเป็นช่วงหนึ่งในสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะที่ยากจะลำบากที่สุด จนมีเชลยเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ประวัติคร่าวๆ ก็ประมาณนี้นะฮะ
ซึ่งปัจจุบันสะพานข้ามแม่น้ำแควก็กลายเป็นที่เที่ยวไฮไลท์ที่หลายๆ คนนิยมเช็คอิน เพราะด้วยชื่อเสียง และความสวยงาม ที่ต้องมาสัมผัสด้วยตาตนเอง อีกทั้งในย่านนี้ยังมีตลาดช้อปปิ้งให้เลือก ของฝากซื้อติดไม้ติดมือกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตลาดพลอยที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ สะพานข้ามแม่น้ำแคว
จากสะพานข้ามแม่น้ำแคว เราเดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ เพื่ออาหารร้านอาหารสำหรับมื้อกลางวัน ซึ่งก็มีร้านอาหารเรียงกันอยู่หลายร้านทีเดียว แต่เรามาสะดุดกนที่ร้าน คีรีธารา เลยนั่งแวะรับประทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านนี้ สำหรับราคาอาหารร้านนี้ถือว่าไม่แพง เพราะเราไปกัน 12 คน ค่าอาหารประมาณ 4,000 บาท ส่วนรสชาติอาหารจะติดหวานนิดๆ แต่ก็อร่อยดีนะจ๊ะ
หลังจากอิ่มหน่ำกับเมนูอาหารไทยที่ร้านคีรีธารา เราก็ออกเดินทางกันต่อ มาถึงไทรโยคก็ประมาณบ่ายโมงเกือบบ่ายสอง ก็ได้เวลาเช็คอินเข้าที่พักกันพอดี โดยที่พักเราในคืนนี้จะเป็นที่พักแบบไฮท์ อะเวย์ ที่ต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำกันไปนอนกันเลยทีเดียว
สำหรับที่พักของเราในคืนนี้มีชื่อว่า “ไทรโยค โฟลท เทล รีสอร์ท” ที่สอร์ทที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแคว ในเขตอุทยานฯน้ำตกไทรโยคใหญ่ บรรยากาศที่นี่จึงเงียบสงบ และเป็นส่วนตัวสุดๆ เพราะที่พักของที่จะรับเฉพาะกลุ่ม 10 คนขึ้นไปเท่านั้น แต่ราคาจะจ่ายเป็นหัวคนละ 1200 บาท ซึ่งจะรวมอาหาร 2 มื้อ เช้า+เย็น และยังมีกิจกรรมล่องแพ พาชมน้ำตกอีกด้วย ราคานี้ถือว่าคุ้มสุดๆ (สนใจที่พักคลิ๊กที่นี่)
หลังจากเช็คอินเข้าที่พัก เก็บกระเป๋ากันเรียบร้อย เราก็เปลี่ยนเสื้อผ้ามาเล่นกัน พายเรือคายัค (เรือฟรี) กันสักหน่อย เพื่อรอเวลาล่องแพกับทางรีสอร์ทในช่วง 4 โมงเย็น สำหรับกิจกรรมฟรีในที่พักก็จะมีพายเรือคายัค มีล่องแพ มีสระว่ายน้ำกกลางแจ้งแบบลอยน้ำ
และเมื่อถึงเวลาที่นัดหมายทางรีสอร์ทจะพาเราล่องแพ ชมธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำ ที่ผ่านบริเวณภุเขาหินปูนรูปร่างแปลกตา เพื่อไปยังน้ำตกไทรโยคใหญ่
ซึ่งเราจะได้เล่นน้ำ กันที่บริเวณใต้น้ำตก ไม่ได้เดินเข้าไปในอุทยานฯ หากใครที่อยากขึ้นไปชมความสวยงามในอุทยานฯ จะต้องเสียค่าเข้าเอง และควรเพื่อเวลาให้มากขึ้นอีกสัก 1-2 ชั่วโมง แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทล่วงหน้า
เราใช้เวลาอยู่ที่น้ำตกกันประมาณชั่วโมงกว่าๆ สนุกไปกับการกระโดดน้ำ ว่ายน้ำ และนั่งแช่น้ำตก เล่นวนไปแบบนี้จนถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทมาลากแพกลับไปยังที่พัก
หลังจากกิจกรรมแพจบลงเราก็เดินทางกลับที่พัก ใครอยากจะว่ายน้ำกันต่อ หรือ อาบน้ำแต่งตัวรอรับประทานอาหารเย็นก็ตามสไตล์แต่ละคน ซึ่งอาหารเย็นของที่รีสอร์ทจะเริ่มตั้งแต่ 1 ทุ่มเป็นต้นไป อาหารจะเป็นแบบบุฟเฟ่อาหารไทย มีกับข้าว 6-7 อย่าง อาหารที่นี่รสชาติดีทีเดียว และหลังจากกินอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ใครอากจะปาร์ตี้ล้อมวงเฮฮาแบบไหน ก็สามารถจัดได้โล้ด!! เพราะเราเหมา!! ที่นี่ไว้แล้ว… แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องช่วยกันดูแลเพื่อนฝูงที่ชอบดื่มกันด้วยนะฮะ เพราะที่พักเป็นแพริมน้ำ เดินเซไปเซมาอาจจะมีตกน้ำตกท่ากันได้
Day: 2 ถึงเมื่อคืนถึงจะจัดหนักยังไง เช้านี่เราก็ไม่พลาดมารับประทานอาหารเช้ากันซึ่ง อาหารเช้าจะให้บริการตั้งแต่ 7 โมงเช้าไปจนถึง 9 โมงด้วยกัน อาหารก็จะข้าวผัด ข้าวต้ม ไส้กรอก แฮม น้ำผลไม้ แพนเค้ก ประมาณนี้ค่ะ แถมช่วงเช้าอากาศยังเย็นสบาย ได้เห็นสายหมอกบนยอดเขา หรือถ้าใครมาช่วงหน้าหนาวก็มาลุ้นชมหมอกเหนือสายนน้ำได้แบบฟินๆ
และแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเช็คเอ้าท์กันแล้ว สำหรับการเดินทางกลับวันนี้เราวางแพลนว่าจะแวะกันไปเที่ยวที่เมืองมัลลิกา ซึ่งเป็นที่เที่ยวเปิดใหม่ล่าสุดของกาญจนบุรีกัน แล้วก็แวะซื้อของฝากติดไม้ติดมือสักหน่อย ค่อยมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ และจากที่พักมายังเมืองมัลลิกา เราใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงนิดๆ เมืองมัลลิกาจะตั้งอยู่ริมถนนใกล้ๆ กับทางไปปราสาทเมืองสิงค์ จุดสังเกตุคือกำแพงสีขาวขนาดใหญ่ริมถนน
บรรยากาศของเมืองมัลลิกา คือการให้นักท่องเที่ยวได้ย้อนยุคไปสัมผัสความเป็นมาของ ร.ศ. 124 ด้วยการนุ่งกระโจง ห่มสไบ แต่งชุดไทยเดินเที่ยวในเมือง อ๋อ!! ถ้าอยากซื้อของในนั้นก็ต้องแลกเงินพดด้วงติดกระเป๋าไปด้วยนะจ๊ะ
ด้านหน้าข้างเข้าเมืองจะเป็นกำแพงสูง มีประตูบานใหญ่มาก ให้เราได้รู้สึกเหมือนเดินผ่านเข้าเมืองหลวงตามในหนังที่เราเคยเห็น บรรยากาศภายในเมืองก็มีทั้งตลาด ของกิน ของฝาก สไตล์ไทยๆ ให้เราได้ชิมกันตลอดทาง
และไฮไลท์เก๋ๆ ของเมืองนี้อีกอย่างคือ ทุกคนในเมืองจะพูดเจ้าค่ะ หันไปทางไหนก็ได้ยินแต่เสียงเจ้าค่ะ เอาเป็นว่าเมืองมัลลิกา มีความน่ารักแบบไทยๆ ให้เราได้สัมผัสกันตั้งแต่เดินเข้าประตูกันเลยทีเดียว
ด้วยความเพลิดเพลินที่เมืองมัลลิกา เราเลยใช้เวลากันนานทีเดียว แถมท้องก็เริ่มหิวเลยแวะหาร้านอาหารใกล้ๆ ระหว่างทางกลับเข้าเมือง กันสักหน่อยที่ร้าน คีรีมันตรา บรรยากาศร้านนี้จะตกแต่งได้หรูหรามาก แต่ราคาไม่ถึงกับแพงมากจนเอื้อมไม่ได้ เมนูอาหารของร้านนี้จะเป็นเมนูอาหารไทยๆ สำหรับมื้อนี้ 14 คน จัดไปที่ 5,000 นิดๆ กับอาหาร 7 อย่าง รวมขนมหวานกันอีกคนละถ้วย
จากร้านอาหารที่คีรีมันตรา เรามาแวะซื้อของฝากกันที่ร้านศรีฟ้า แถวๆ บริเวณถนนเลี่ยงเมือง (ท่าเรือ-ท่าม่วง) แล้วก็มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ กันโดยสวัสดิภาพ…. สำหรับใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยวพักผ่อนกับกลุ่มเพื่อน ทริปไทรโยคเป็นอีกหนึ่งทริปที่ได้ทั้งความบ้า ความฮา และความสนุกๆ แถมยังจบปิดท้ายในแบบไทยๆ ด้วยการนุ่งผ้าสไบเดินเที่ยวเมืองมัลลิกา เอาเป็นว่าทริปนี้เรามีรูปเก็บไว้ในความทรงจำกับเพื่อนได้แบบเมมเต็มอย่างแน่นอน
บทความและภาพโดย: ทริปเก็ทเตอร์