ทริปเวียดนามเหนือ 3 วัน 2 คืน ลุยเที่ยวจุดเช็คอินสุดฮิตในฮานอย
3,314 ครั้ง
15 ม.ค. 2567
3,314 ครั้ง
15 ม.ค. 2567
เวียดนาม อีกหนึ่งประเทศใกล้บ้านที่ตอบโจทย์การเริ่มต้นท่องเที่ยวด้วยตัวเองในต่างประเทศ นอกจากจะเที่ยวง่าย มีรูปแบบทางวัฒนธรรมที่หลากหลายแล้ว ในเรื่องของเมืองท่องเที่ยวยังมีให้เลือกเยอะมาก ซึ่งกรุงฮานอย ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว ด้วยเพราะเมืองหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยความคึกคัก ชีวิตชีวา และสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทั้งความเก่าแก่และสถานที่สมัยใหม่มากมาย เราเลยจะพาทุกคนไปสนุกกับ ทริปเวียดนามเหนือ 3 วัน 2 คืน ลุยเที่ยวจุดเช็คอินสุดฮิตในฮานอย กัน
เราบินจากสนามบินดานังมาลงที่สนามบินโหน่ยบ่าย (Noi Bai International Airport) มาถึงฮานอยในช่วงบ่ายแก่ๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมงเท่านั้นเอง
พอมาถึงสนามบินแล้ว เรายังคงใช้การเดินทางผ่านการจองรถใน Klook ซึ่งคนขับรถจะยืนถือป้ายชื่อของเราอยู่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารเลย สะดวกสบายมากๆ ซึ่งจากสนามบินเข้ามาในตัวเมืองฮานอยจะใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมงเลย ด้วยสภาพการจราจรที่หนาแน่น (แอบให้ความรู้สึกเหมือนกรุงเทพฯ มากๆ )
ก่อนลุยเที่ยวกันต่อในฮานอย เราแวะเข้ามาเช็คอินและเก็บกระเป๋ากันที่ Galliot Central Hotel ที่พักในทริปฮานอยของเรา เป็นโรงแรมเล็กๆ ในซอยใจกลางเมืองหลวง พื้นที่ของโรงแรมเป็นตึกแถวที่มีความสูงถึง 9 ชั้น
เราเลือกพักห้อง Deluxe Double All Twin ที่เป็นห้องแบบมี 2 เตียง พร้อมกับขนาดห้องที่กำลังดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งตู้เย็น กาน้ำร้อน ทีวี ไดร์เป่าผม และอื่นๆ อีกหลากิย่าง ในส่วนของห้องน้ำก็แบ่งโซนไว้ได้อย่างดี มีพื้นที่หน้ากระจกให้พร้อม
Galliot Central Hotel
พักผ่อนและเก็บกระเป๋ากันแล้ว ได้เวลาช่วงบ่ายๆ เย็นๆ เราออกมาเดินเล่นกันที่ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ซึ่งสามารถเดินมาได้จากที่พักเลย โดยทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบใหญ่อีกแห่งหนึ่งกลางกรุงฮานอยที่ล้อมรอบไปด้วยสวนสาธารณะและพื้นที่กิจกรรมของชาวเมือง (บรรยากาศคล้ายๆ กับสวนลุมพินีบ้านเราเลย)
ด้านเกาะกลางของทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมเป็นที่ตั้งของหอคอยเต่า (Thap Rua) ที่มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์แบบจีนโบราณตั้งตระหง่านอยู่ ถือเป็นหนึ่งจุดไฮไลท์ของทะเลสาบแห่งนี้เลย สามารถเดินได้รอบๆ แล้วหามุมถ่ายรูปหอคอยเต่าเป็นฉากหลังได้เยอะมาก และตามตำนานทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมเชื่อกันว่าภายในทะเลสาบแห่งนี้มีเต่ายักษ์ศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ หากใครมาแล้วได้พบเจอเต่าที่ว่าจะได้รับโชคดีอีกด้วย
นอกจากนี้รอบๆ ทะเลสาบยังมีร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม คาเฟ่ รวมทั้งพื้นที่กิจกรรม และสถานที่ท่องเที่ยวให้เข้าชมเพียบ แถมบรรยากาศที่นี่ยิ่งเย็นยิ่งคึกคัก มีทั้งคนเล่นดนตรี ออกกำลังกาย เด็กๆ มานั่งเล่นอ่านหนังสือ ผู้สูงอายุมานั่งพูดคุยกัน ได้ซึมซับความคึกคักของเมืองหลวงเวียดนามแบบเต็มร้อย
ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม
นั่ง Grab Bike จากทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมมาเที่ยวกันที่โลเคชั่นสุดอันซีนอีกแห่งในกรุงฮานอย นั่นก็คือ ทางรถไฟฮานอย โดยความเก๋ของที่นี่คือทางรถไฟที่อยู่ติดกับคาเฟ่และร้านอาหารกันแบบเฉียดฉิว เลยทำให้ที่นี่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะมากๆ แต่แอบกระซิบว่าการจะเข้ามายังร้านต่างๆ ริมทางรถไฟ จะต้องมีคนที่เป็นคล้ายๆ กับนายหน้าที่คอยหาลูกค้าให้ร้านด้านใน พาเข้ามาและเลือกร้านให้เราเองเท่านั้น ไม่สามารถเดินเข้ามาเองและเลือกร้านนั่งเองได้ (ตอนเราไป เราเจอเหตุการณ์แบบนี้นะ)
พอเดินเข้ามาแล้ว บรรยากาศด้านในคึกคักมาก แต่ละร้านมีนักท่องเที่ยวนั่งกันแน่นแทบทุกร้าน ซึ่งเมนูที่มีขายส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องดื่มและมีอาหารบ้าง (มีเมนูไม่มาก) ระหว่างรอเมนูเครื่องดื่ม เราก็มาเดินเล่นหามุมถ่ายรูปกันก่อน
หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก็กลับมานั่งรอที่นั่ง ด้วยความหวังหลังจากค้นหาข้อมูลตารางรถไฟที่ว่ารถจะมาในช่วงเวลา 19.00 น. (เรามาถึงที่นี่ตอนประมาณ 17.30 น.) แต่พอถึงเวลาตามที่รอ รถก็ไม่มาสักที จนมีนัดท่องเที่ยวถามพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้น ก็ได้คำตอบว่าจะมาตอน 21.00 น. ซึ่งหมายความว่าจะต้องรออีก 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ทำให้นกท่องเที่ยวหลายคนถอดใจและกลับไปเยอะมาก แต่ด้วยความที่ไหนๆ ก็มาแล้ว เราเลยตั้งใจจะรอรถไฟต่อไป!
รอมาได้ชั่วโมงกว่าๆ จนเวลา 20.30 น. พ่อค้าแม่ค้าก็ตะโกนบอกนักท่องเที่ยวว่าให้เก็บของชิดกำแพงด้านใน เพราะรถไฟกำลังจะมาแล้ว หลังจากรอจนใจเหี่ยว พอได้ยินแบบนั้นความตื่นเต้นก็มาเยือน (ความรู้สึกเหมือนถูกหวย) ไม่นานรถไฟ (ที่มีแค่หัวรถจักร) ก็ขับผ่านเราไป ถือเป็นความประทับใจแบบแปลกๆ ที่ปิดท้ายวันได้แบบสร้างรอยยิ้มมากๆ
ทางรถไฟฮานอย
เช้าวันที่ 2 ของทริป เราเดินทางไปเข้าชมสุสานโฮจิมินห์ สถานที่สำคัญและถือเป็นอีกหนึ่งศูนย์รวมจิตใจของชาวเวียดนาม ด้วยสถานที่แห่งนี้เป็นที่เก็บรักษาร่างของโฮจิมินห์ รัฐบุรุษและประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม โดยในวันเสาร์ อาทิตย์สุสานโฮจิมินห์จะเปิดให้เข้าชมช่วงเวลา 07.30 – 11.00 น.เท่านั้น การเข้าไปด้านในมีกฎระเบียบเคร่งครัด คือต้องสวมกางเกงขายาวเท่านั้น ไม่สวมหมวกหรือมีเครื่องประดับใดๆ บนศีรษะ ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพและใช้อุปกรร์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ซึ่งถือเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด
ภายในสุสานโฮจิมินห์เป็นโถงที่มี 2 ชั้น มีเจ้าหน้าที่ทหารยืนรักษาการอยู่ทุกมุมของสุสาน โดยร่างของโฮจิมินห์ จะอยู่ในโลงเปิดที่ตั้งอยู่ชั้นสอง ตรงกลางของสุสาน การเข้าชมคือทำได้เพียงแค่เดินผ่านแล้วมองเท่านั้น ไม่อนุญาตให้หยุดหรือยืนดู (เข้มมากๆ) และต้องบอกว่าทางเวียดนามเก็บรักาาร่างของผู้นำไว้ได้อย่างดีและสมบูรณ์มากๆ เหมือนกับว่าท่านนอนหลับไปเฉยๆ
เมื่ออกมาด้านนอกสุสานแล้ว จึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นและหามุมถ่ายรูปเล่นด้านหน้าของสุสานได้ (ซึ่งต้องเป็นเวลาหลังจาก 11.00 นง แล้วเท่านั้นนะ) พื้นที่ด้านหน้าจะสามารถมองเห็นอาคารเต็มๆ ของสุสานโฮจิมินห์มีต้นแบบมาจากรูปทรงอาคารแบบสุสานเลนินจากกรุงมอสโควผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบเวียดนาม
นอกจากจะเป็นลานกว้างแล้ว ยังสามารถมองเห็นกลุ่มอาคารหน่วยงานของรัฐที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้อีกด้วย
หลังจากเข้าไปชมสุสานโฮจิมินห์แล้ว เราก็เดินมาเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์กันต่อ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในรั้วเดียวกันกับสุสาน ค่าเข้าชมอยู่ที่คนละ 40,000 VND/คน
ด้านในของพิพิธภัณฑ์เป็นอาคาร 2 ชั้น จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติและเรื่องราวของโฮจิมินห์และสงครามเวียดนาม เมื่อเข้าไปด้านในจะพบกับอนุสาวรียืโฮจิมินห์ตั้งอยู่ตรงกลางของอาคาร ถือเป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมเลยก็ว่าได้
ภาพและสิ่งต่างๆ ที่จัดแสดงมีทั้งภาพถ่ายของโฮจิมินห์และคณะ จดหมายเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในสมัยสงครามให้ได้เดินชมกันแบบเพลินๆ อีกทั้งยังมีหุ่นขี้ผึ้งจำลองของโฮจิมินห์ที่นั่งทำงานอยู่ในบ้านพักอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์
ถัดจากด้านข้างของพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งอย่าง เจดีย์เสาเดียว ที่ตั้งอยู่กลางสระบัว ด้านในเป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์กวนอิม ที่ชาวเวียดนามเชื่อกันว่าขึ้นชื่อเรื่องของการขอพรเรื่องการมีบุตร ทำให้บรรยากาศรอบๆ เจดีย์เสาเดียวคึกคักและมีทั้งชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวต่อแถวกันขึ้นไปไหว้ขอพรกันแบบไม่ขาดสาย
เจดีย์เสาเดียว
เที่ยวแบบจัดเต็มกันในช่วงเช้าไปแล้ว เราก็นั่ง Grab มาเติมพลังกันด้วยของขึ้นชื่อของเวียดนามอย่าง บั๋ญหมี่ กันที่ร้าน Banh Mi 25 ร้านเด็ดร้านดังของฮานอยที่การันตีความอร่อยด้วยคิวที่ยืนรอออร์เดอร์กันแบบยาวเหยียด
ระหว่างรอคิว เราสามารถเลือกดูเมนูก่อนได้ว่าจะเลือกแบบไหน โดยเมนูของทางร้านมีให้เลือกเยอะมากๆ แถมราคายังเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวแบบเราๆ สุดๆ
สั่งแล้วรอคิวไม่นานก็ได้ของมาแล้ว ซึ่งปกติสามารถนั่งกินที่ร้านได้นะ แต่ด้วยความที่คนเยอะมากๆ เราเลยสั่งเป็นแบบกลับบ้านแล้วเอามายืนกินข้างๆ ร้านแทน ซึ่งเมนูที่เราสั่งเป็น บั๋ญหมี่ไส้หมูบาร์บีคิวกับไส้กรอกรมควัน ราคาอยู่ที่ชิ้นละ 40,000 VND เท่านั้นเอง ชิ้นใหญ่สะใจ แถมราคาน่ารักมากๆ
Banh Mi 25
อิ่มท้องกันแล้วนั่งรถมาเที่ยวกันต่อยาวๆ ที่วิหารกวานแถ่งห์ (Den quan thanh) วิหารแบบจีนในลัทธิเต๋าที่มีความสวยงามและนับว่าเป็นอีกหนึ่งวัดที่ควรค่ากับการแวะมาเยี่ยมชมมากๆ ด้านหน้าวัดจะมีซุ้มประตูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ใช้เป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ได้เลย ซึ่งการเข้าชมภายในวัดเราจะต้องซท้อตั๋วก่อนที่ด้านข้างของซุ้มประตู ราคาอยู่ที่คนละ 10,000 VND
วิหารของวัดภายในเป็นงานไม้แกะสลัก เน้นโทนสีแดงและสีทองซึ่งเป็นสีมงคลแบบจีน มีแท่นไหว้บูชา พร้อมเครื่องศาสตราวุธและนกกระเรียนคู่ ด้านในสุดเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าเสินหวู่ เทพศักดิ์สิทธิ์ในลัทธิเต๋าที่เป็นเทพประจำทิศเหนือ ซึ่งคอยคุ้มครองมนุษย์จากสิ่งชั่วร้าย ด้านข้างของเทพเสินหวู่ยังมีเทพองค์อื่นๆ ให้ไหว้ขอพรกันอีกด้วย
วิหารกวานแถ่งห์
ออกจากวิหารกวานแถ่งห์ เลาะตามถนนกลางทะเลสาบมาเรื่อยๆ เพื่อมาเที่ยวกันต่อที่เจดีย์เตริ่นกว็อก เจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในเวียดนาม มีความสูงกว่า 10 ชั้น ตั้งตระหง่านอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบเวสต์เลค
ภายในเจดีย์แต่ละชั้นจะมีซุ้มที่ภายในประดิษฐานยพระพุทธรูปสีขาวอยู่ตลอดทั้ง 10 ชั้น รอบๆ ฐานของเจดีย์ยังมีไม้ดัดแบบจีนวางประดับอยู่ให้ชมความสวยงามอีกด้วย ถ่ายรูปกับมุมเจดีย์คือที่สุด ภาพออกมาสวยอลังการยิ่งใหญ่มากๆ
นอกจากเจดีย์แล้ว ภายในพื้นที่ของเจดีย์ยังมีวิหารพระพุทธรูปและพระอรหันต์ของเวียดนามให้ไหว้ขอพรกันแบบเน้นๆ อีกด้วย
เจดีย์เตริ่นกว็อก
นั่งรถกลับมาเที่ยวแถวๆ ที่พักกันต่อด้วยการเดินสายไหว้พระรัวๆ ที่วิหารหง็อกเซิน วัดที่อยู่ติดริมทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ซึ่งในพื้นที่ของวัดมีจุดให้เที่ยวชมอยู่หลักๆ 2 จุดด้วยกัน แต่ก่อนเข้าไปเราต้องซื้อตั๋วก่อน ราคาอยู่ที่คนละ 30,000 VND ที่ประตูด้านหน้าทางเข้าวัดเลย
ด้านหน้าทางเข้าวัดมีภาพประติมากรรมเป็นภาพสัตว์มงคลตามความเชื่อที่มีทั้งเสือและมังกร เป็นอีกมุมที่น่าถ่ายรูปมากๆ
ผ่านประตูไปด้านในจะเป็นพื้นที่ของสะพานเทฮุก หรือสะพานพระอาทิตย์ สะพานไม้สีแดงที่ทอดยาวข้ามน้ำและเชื่อมเราไปยังพื้นที่ของวัดที่เป็นเกาะ ซึ่งมุมสะพานเทฮุกนี้เป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมมากๆ เพราะมีนักท่องเที่ยวและชาวเวียดนามต่อคิวถ่ายรูปกันแน่นมากๆ
วิหารของวัดหง็อกเซินเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบจีนที่มีความสวยงาม เป็นวิหารหลังเล็กเปิดโล่งด้านหน้า ส่วนด้านในวิหารมีเทพเจ้าให้ไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย (ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะ)
ส่วนด้านหน้าวิหารเป็นศาลหลังเล็กๆ ที่เรียกว่าศาลาชมจันทร์ สามารถมานั่งพักผ่อนหลังจากเดินเที่ยว พร้อมจะใช้เป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ก็ดีไม่แพ้กัน
ศาลาด้านข้างของวิหารเป็นที่เก็บรักษาตะพาบยักษ์ 2 ตัวที่เชื่อกันว่าเป็นตะพาบศักดิ์สิทธิ์ในตำนานของทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมแห่งนี้
วัดหง็อกเซิน – สะพานเทฮุก
เดินเล่นชมวิวทะเลสาบแล้ว เราก็ออกมาเดินเล่นกันต่อในย่าน Old Quarter ย่านไฮไลท์สุดคึกคักที่อยู่ติดกับทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ซึ่งหนึ่งในมุมแลนด์มาร์กเลยก็คือตึก Aldo (เขาเรียกกันแบบนั้นนะ) ตั้งอยู่ตรงกลางถนนบนจัตุรัส Dong Kinh Nghia Thuc Square แบบพอดี เป็นอีกหนึ่งภาพจำของกรุงฮานอยเลยก็ว่าได้
ย่าน Old quarter นับว่าเป็นย่านเมืองเก่าอายุกว่า 600 ปีที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและสีสัน มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ที่พัก ไปจนถึงร้านขายของต่างๆ ให้ได้เลือกเดิน เลือกกินกันแบบเน้นๆ แถมบางมุมยังถ่ายรูปสวยด้วยนะ ให้กลิ่นอายแบบความเป็นยุโรปผสมผสานกับเวียดนามได้ลงตัวมากๆ
ย่าน Old Quarter
หลังจากเดินเตร็ดเตร่ชมบรรยากาศทั่วย่านเมืองเก่าแล้ว เราก็มาสะดุดตากับร้าน Mỳ Phố ร้านอาหารสไตล์เวียดนาม (ที่เลือกร้านนี้เพราะอาหารดูหน้าตาเป็นมิตร สะอาด และมีเมนูให้เลือกหลากหลาย) ตัวร้านเป็นบรรยากาศแบบร้านอาหารทั่วๆ ไป เป็นร้านเปิดโล่ง
เมนูอาหารของทางร้านเน้นเป็นเมนูเส้นแบบสไตล์เวียดนาม ซึ่งเราสั่งเป็น บะหมี่แห้ง (Dry Egg Noodle) บะหมี่หอมๆ หมูแดง ผัก (ที่นี่ใส่แตงกวาและใบสะระแหน่ด้วย) และโรยถั่วด้านบน ราคาชามละ 40,000 VND
อีกชามเป็นเมนู บะหมี่เกี๊ยวน้ำ (Wonton Noodle Soup) รสชาติคล้ายๆ กับบะหมี่เกี๊ยวน้ำบ้านเรา แต่ที่นี่จะเพิ่มต้นหอมใส่ลงไปในชามด้วย ราคาอยู่ที่ 40,000 VND
Mỳ Phố
เช้าวันสุดท้ายของทริป เราตั้งใจออกกันตั้งแต่เช้าเพื่อมาหามุมถ่ายรูปกันที่ โบสถ์เซนต์โยเซฟ (St. Joseph Cathedral) จุดแลนด์มาร์กของฮานอยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งเลย จริงๆ ต้องบอกว่าบรรยากาศรอบๆ โบสถ์คึกคักอยู่ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ยาวไปจนถึงช่วงกลางคืน เพราะรอบๆ เต็มไปด้วยคาเฟ่และร้านอาหารให้เช็คอินเยอะมากๆ
โบสถ์เซนต์โยเซฟ เป็นโบสถ์แบบนิกายโรมันคาทอลิกที่สร้างในยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส ช่วงศตวรรษที่ 19 และโบสถ์แห่งนี้มีรูปแบบความสวยงามแบบโคโลเนียลที่จำลองมาจากวิหารนอร์ทเทอร์ดามในกรุงปารีส ฝรั่งเศส
บอกเลยว่าที่นี่แอบถ่ายรูปยากอยู่เหมือนกัน เพราะคนเยอะมากๆ เราเลยหลบเข้ามาดูความสวยงามด้านในโบสถ์กันก่อน ด้านในเป็นโถงกว้าง มีแท่นเคารพที่สวยอลังการ พร้อมกับภาพหน้าต่างที่มีกระจกโมเสกประดับไว้อย่างสวยงาม แถมบรรยากาศด้านในเงียบสงบมากๆ และยังมีชาวคริสต์แวะเวียนเข้ามาอธิษฐานและสวดภาวนากันเยอะมาก
ออกมาจากด้านใน ข้างๆ โบสถ์ยังใช้เป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ฟีลยุโรปได้ด้วยนะ
โบสถ์เซนต์โยเซฟ (St. Joseph Cathedral)
เดินเล่นถ่ายรูปกันที่โบสถ์จนถึงช่วงสาย ร่างกายก็ต้องการกาแฟ เราเลยนั่งรถมาเช็คอิน นั่งชิลล์ๆ กันที่ All Day Coffee คาเฟ่สุดชิคที่มาพร้อมกับการตกแต่งแบบวินเทจ ให้ฟีลความเป็นยุโรปแบบสุดๆ ตัวร้านเป็นตึกมี 3 ชั้น แต่ละชั้นมีที่นั่งให้เลือกเยอะมากจริงๆ
ที่เป็นไฮไลท์เลยคือชั้น 3 เพราะเป็นดาดฟ้าที่มีที่นั่งแบบเอาท์ดอร์ มองเห็นฝั่งตรงข้ามที่เป็นอาคารทรงยุโรป (โชคดีมากๆ เพราะช่วงที่เรามามีคนลุกดพอดี เราเลยได้ที่นั่งแบบติดริมระเบียงเลย) ถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนอยู่แถบยุโรปมากๆ
นอกจากมุมถ่ายรูปแล้ว ความโดดเด่นของร้านนี้ก็คือเมนูกาแฟที่ใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพดีจากแหล่งปลูกขึ้นชื่อ และเมนูยังมีให้เลือกหลากหลาย ครบทั้งเครื่องดื่ม ขนม และอาหาร ซึ่งในช่วงเช้านี้เราจัดเป็นเมนูเบาๆ อย่างเครื่องดื่ม Cold Brew Sau เครื่องดืีมกาแฟสกัดเย็นที่เติมคงามสดชื่นด้วยผลไม้ที่มีรสชาติคล้ายๆ กับบ๊วย ราคาแก้วละ 85,000 VND และเมนูไฮไลท์ของทางร้านอย่าง All Day Cream Espresso ราคา 79,000 VND ตามด้วยขนมรองท้องอย่าง แพนเค้กผลไม้ ที่เสิร์ฟมาแบบเน้นๆ แพนเค้ก 3 ชั้น มีผลไม้เติมความสดชื่น เพิ่มความอร่อยด้วยธัญพืชและครีม ราคาอยู่ที่ 95,000 VND
All Day Coffee
เดินออกจากร้าน All Day Coffee แล้ว ก็มาสะดุดกับกลิ่นหอมของร้านอาหารเล็กๆ ด้านข้าง ไม่ลังเลที่จะแวะเข้าไปลอง ด้วยความที่เป็นร้านแบบเวียดนามแท้ๆ เลยไม่มีเมนู เราเลยสั่งด้วยการชี้ว่าเอาแบบคนโต๊ะข้างๆ แทน ซึ่งเมนูหลักของร้านนี้คือบุ๋นเรียว (Bún riêu) เป็นเมนูอาหารเวียดนามจากเมืองดาลัดที่มีรสชาติและหน้าตาคล้ายกับน้ำเงี้ยวของภาคเหนือบ้านเรา เส้นเป็นขนมจีน น้ำซุปมีรสเปี้ยวจากมะเขือเทศและจัดจ้าน (กว่าเมนูอื่นๆ ที่ลองชิมมา) แต่ไม่มาก และที่ว้าวสุดๆ เลยก็คือนอกจากเส้น เมนูนี้ยังใส่ทั้งหมู หมูย ของทะเล เต้าหู้ เสิร์ฟมาพร้อมกับผักเป็นตะกร้า ราคาอยู่ที่จานละ 45,000 VND
เติมพลังด้วยอาหารที่อร่อยกันไปแล้ว เราก็กลับมาแถวๆ ที่พักเพื่อหาคาเฟ่นั่งกันอีกสักร้านก่อนกลับ ความตั้งใจแรกคืออยากเข้าไปที่ตึก Aldo เพื่อเลือกร้านนั่ง แต่พอขึ้นไปแล้ว ที่นั่งเต็มทุกร้านเลย เชื่อแล้วว่าย่านนี้เป็นย่านคึกคักมากจริงๆ
ลงมาจากตึก Aldo เพื่อมาขึ้นอีกตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้าน Coffee Club Cafe Restaurant ซึ่งตอนขึ้นเราสามารถแจ้งกับพนักงานด้านล่างได้เลยว่าต้องการไปที่ร้าน coffee club จากนั้นพนักงานก็จะกดลิฟต์และขึ้นไปส่งเราที่ด้านบน
Coffee Club Cafe Restaurant เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่อยู่ในย่าน Old Quarter มีโซนที่นั่งให้เลือกทั้งแบบอินดอร์ด้านในและโซนเอาท์ดอร์ด้านนอก (แน่นอนว่าโซนเอาท์ดอร์เป็นที่นิยมมากกว่า)
วิวด้านนอกสวยมากๆ แถมยังมองเห็นตึก Aldo ได้แบบชัดแจ๋ว (นับว่าเป็นข้อดีที่เราได้มาฝั่งนี้) นอกจากนี้ยังมองเห็นฝั่งของทะเลสาบฮวน่าเกี๋ยมและความคึกคักของท้องถนนด้านล่างด้วย
เมนูที่เราสั่งมาเป็นเมนู Iced Mocha กาแฟเข้มๆ ตัดด้วยความกลมกล่อมของช็อคโกแลต ลงตัวมากๆ แถมด้านบนยังท็อปด้วยฟองนมนุ่มๆ ราคาอยู่ที่ 79,000 VND และเซ็ต Espresso ที่เสิร์ฟมาแบบร้อน พร้อมแก้วน้ำแข็งและคุกกี้ ราคา 49,000 VND
Coffee Club Cafe Restaurant
ระหว่างเดินจากย่าน Old Quarter เราก็สะดุดตากับร้านหาบเร่เล็กๆ ที่มีชาวเวียดนามต่อคิวซื้อกันเยอะมากๆ พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็สังเกตได้ว่ามันคือข้าวเม่านึ่งที่คลุกกับมะพร้าวขูด ห่อด้วยใบไม้และผูกห่อด้วยยอดรวงข้าว ราคาห่อละ 15,000 VND เท่านั้นเอง รสชาติจะค่อนข้างจืดเพราะไม่ได้ใส่น้ำตาลหรือเพิ่มรสชาติอื่นๆ นอกเหนือจากรสชาติของข้าวเม่าและมะพร้าวเท่านั้น
หลังจากกลับมารอที่โรงแรมไม่นาน รถที่เราจองไว้กับ Klook ก็มารับไปที่สนามบิน Noi Bai International Airport ใช้เวลาเดินทางราวๆ 40 นาทีเท่านั้นเอง ถือเป็นการจบทริปเวียดนามแบบฉบับสมบูรณ์แล้ว
ทั้งหมดนี้ก็คือ ทริปเวียดนามเหนือ 3 วัน 2 คืน ลุยเที่ยวจุดเช็คอินสุดฮิตในฮานอย ที่เต็มอิ่มไปด้วยการท่องเที่ยวเช็คอินสถานที่สำคัญในฮานอย รวมทั้งยังได้เรียนรู้และสัมผัสถึงวิถีชีวิต ผ่านการเดินทาง กินอาหาร และสถานที่ต่างๆ ถ้าใครลังเลที่จะมาเที่ยวฮานอย บอกเลยว่าตามมาด่วนๆ ดีงามและเที่ยวเองได้แบบง่ายมากๆ
ค่าใช้จ่ายตลอดทริปเวียดนามเหนือ 3 วัน 2 คืน ลุยเที่ยวจุดเช็คอินสุดฮิตในฮานอย
DAY: 1
DAY: 2
DAY: 3
รวมค่าใช้จ่ายต่อคน = 1,390 บาท **(ค่าใช้จ่ายยังไม่รวมค่าอาหารบางมื้อ ค่ารถในระหว่างทริปและค่าตั๋วเครื่องบิน)
ทริปเวียดนามเหนือ 3 วัน 2 คืน ลุยเที่ยวจุดเช็คอินสุดฮิตในฮานอย เป็นทริปที่เต็มอิ่มแบบสุดๆ ถ้าใครอยากไปเวียดนามก็ตามไปกันโลด หรือถ้าใครอยากไปเมืองอื่นๆ เรายังมี ทริปเวียดนามกลาง 5 วัน 4 คืน เก็บโลเคชั่นสวยดานัง เช็คอินฮอยอันเมืองมรดกโลก มาให้ไปตามกันด้วยนะ