สิงคโปร์ 4 วัน 3 คืน เที่ยวแบบชิคๆ มันส์ๆ ฉีกสไตล์แบบเดิมๆ พาไปเช็คอินมุมใหม่ๆ ที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ในสิงคโปร์
18,248 ครั้ง
3 ต.ค. 2561
18,248 ครั้ง
3 ต.ค. 2561
สิงคโปร์ เมืองเศรษฐกิจระดับโลกที่เนรมิตรทุกอย่างได้ราวกับเทพนิยาย เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวสำคัญในเอเชียที่ไม่ว่าใครต่อใครก็อยากมาสัมผัสกับคุณภาพชีวิตที่ดีกันสักครั้ง แถมที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมของจุดเช็คอินและกิจกรรมเก๋ๆ ที่คุณไม่อาจหาได้จากที่ไหน และที่รอให้เราไปสนุกกันมากมาย ไม่ว่าคุณจะเป็นสายบู๊สไตล์ Action Seekers ที่รักการผจญภัย หรือสายชิครักปาร์ตี้แบบ Socialiser สิงคโปร์ในวันนี้ก็ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ
ทริปนี้เราได้ร่วมเดินทาง การท่องเที่ยวสิงคโปร์ (Singapore Tourism Board) ชวนมาสัมผัสกับความมันส์ ภายใต้แคมเปญ “Passion Made Possible : ทุกความชอบที่ใช่ เป็นไปได้ที่สิงคโปร์” กับทริป 4 วัน 3 คืน สุดอันซีนที่จะเปลี่ยนความคิดของคุณในการท่องเที่ยวสิงคโปร์แบบเดิมๆ ให้เป็นจุดหมายที่สนุกและสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ไปด้วยกัน
ทริปนี้เราเดินทางกันในช่วงเช้าของวันที่ฝนพรำโดยสายการบินไทยจาก สนามบินสุวรรณภูมิ(BKK) ไปยัง สนามบินชางงี(SIN) ใช้เวลาเดินทางราวๆ 2 ชั่วโมง มาถึงที่นี่ก็ช่วงเที่ยงวันพอดี ต้องบอกก่อนเลยว่าทริปนี้เราเดินทางกันโดยรถบัส ที่การท่องเที่ยวสิงคโปร์จัดเตรียมไว้ให้ เลยไม่มีประสบการณ์การเดินทางในรูปแบบต่างๆ มาแบ่งปันกันสักเท่าไหร่
จากสนามบินเราตรงมาที่คาเฟ่เล็กๆ บนถนน Telok Kurau อีกหนึ่งย่านที่มีตึกสวยสไตล์ชิโนโปรตุกีสอันเป็นเอกลักษณ์ และมีร้าน Penny University Coffee Roasters จุดหมายแรกของเรา โดยพี่ไกด์แอบกระซิบมาว่า ชาวสิงคโปร์ส่วนมากจะไม่นิยมทำอาหารเองที่บ้าน ส่วนมากจะชอบกินอาหารตามร้านกาแฟ ร้านคาเฟ่ต่างๆ เลยมีเมนูให้เลือกกันค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว
ตัวร้านเป็นตึกแถวเล็กๆ ภายในดีไซน์ให้ความรู้สึกเท่ๆ ด้วยสีดำ เปิดเข้าไปจะพบกับบาร์ และด้านในมีโต๊ะให้เลือกนั่งประมาณ 10 โต๊ะ ส่วนเมนูอาหารนั้นก็จะออกแนวอินเตอร์หน่อยๆ บรรยากาศค่อนข้างดีเลยทีเดียว จะแวะมาจิบกาแฟเบาๆ หรือเอางานมาทำด้วยก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี
เต็มอิ่มกับมื้อเที่ยงกันแล้ว จากคาเฟ่เราลุยต่อไปที่ Marina Bay Sand กันเลย เพื่อที่จะเข้าชม ArtScience Museum พิพิธภัณฑ์ศิลป์และศาสตร์ หรือตึกสีขาวทรงแปลกตาที่ตั้งเด่นริมอ่าวมาริน่าเบย์ ซึ่งโชว์ที่เราจะไปชมนั้นก็คือ Marvel Studios : Ten Years of Heroes
ด้านในมีทั้งหมด 4 ชั้น มีทั้งร้านคาเฟ่และมุมต่างๆ ให้เวิร์คชอป ส่วนจุดซื้อบัตรจะอยู่ชั้นใต้ดินชั้นเดียวกับ Marvel Studio บรรยากาศด้านในจำลองหุ่นและมีจุดเช็คอินให้สนุกมากมาย เรียกว่าถ้าหากเป็นสาวกมาเวล รับรองว่าต้องได้รูปจากที่นี่จนเมมเต็มอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายโชว์นี้จัดแสดงถึงแค่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมาเท่านั้น
แอบกระซิบกันก่อนว่าทริปนี้เราเดินทางมากับ คุณเวย์ ไทเทเนียม และ คุณนานา ไรบีนา brand Ambassador ที่ตอบโจทย์ทั้งความเป็น Action Seeker และ Socialiser ได้เป็นอย่างดี แถมยังพ่วงด้วยคู่แฝดบีน่าและบรู๊คลิน ที่ช่วยสร้างสีสันให้กับทริปนี้ได้อย่างน่ารัก
และถัดมาอีกโซนในชั้นเดียวกัน จะเหมือนเป็นห้องที่ช่วยสร้างจินตนาการสำหรับเด็ก โดยห้องนี้จะมีไฟที่เคลื่อนไหวสัมพันธ์กับร่างกายของเราเรียกว่าถูกใจเด็กสุดๆ และสำหรับวัยรุ่นอย่างเราๆ ก็ได้มุมถ่ายรูปใหม่ๆ เก๋ๆ กลับไปกันอย่างแน่นอน
ช่วงเย็นเราไปเช็คอิน เข้าที่พักกันที่ Mercure Singapore on Stevens โรงแรมหรูบนถนนสตีเวน ที่ห่างจากถนน Ochard เพียง 1 กิโล ภายในห้องพักขนาดกระทัดรัดสไตล์ Shoe Box Hotel ที่จะเน้นการพักผ่อน แต่ก็ยังครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งตู้เซฟ มินิบาร์ รวมถึงเตารีดก็มีให้ด้วย ที่สำคัญยังมีเต้าเสียบแบบไทย ไม่ต้องหาซื้อหัวแปลงให้วุ่นวาย
ส่วนสระว่ายน้ำจะอยู่บนชั้น 2 มีให้เลือกทั้งแบบครอบครัวและสไตล์โรแมนติกวิวพาโนรามา
เก็บของกันเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาอาหารเย็น มื้อนี้เราจะไปกันที่ร้านสไตล์จือชา หรือร้านอาหารตามสั่งในแบบสิงคโปร์ แต่ความไม่ธรรมดาก็คือ ร้านนี้ได้รับรางวัล Michelin Bib Gourmand ด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นอร่อยในราคาสมเหตุสมผลนั่นเอง ร้านนี้มีชื่อว่า New Ubin Seafood @Hillview ซึ่งในแฝงตัวอยู่ในตึกที่มีโรงงาน ถือว่าโลเคชั่นค่อนข้างลึกลับเลยทีเดียว ภายในร้านก็ในอารมณ์เหมือนร้านอาหารจีน เป็นโต๊ะกลมๆ มีทั้งแบบโอเพ่นและห้องแอร์ เมื่อมาถึงพนักงานก็จะมาเสริฟน้ำมะนาวให้จิบกันไปพลางๆ ระหว่างรออาหาร
มื้อนี้ทางร้านเสริฟมากว่า 10 เมนู มีทั้งฟัวการส์ เนื้อแกะนิวซีแลนด์ และอาหารพื้นบ้านสิงคโปร์ ส่วนเมนูเด็ดเลยต้องยกให้อาหารทะล Freshly Shucked Oyster หอยนางรมตัวใหญ่ และ Salted Egg Squid หมึกผัดไข่เค็ม ส่วนมากทุกเมนูรสชาติจะออกเค็มและมัน แต่ก็ถือว่าอร่อยถูกปากไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่
อิ่มท้องกันแล้วถึงเวลาเดินย่อย ช่วงค่ำเรามาชมแสงสียามค่ำคืนกันที่ Rain Forest Lumina ซึ่งจัดโชว์อยู่ที่สวนสัตว์สิงคโปร์ และจะจัดแสดงถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าเท่านั้น เข้ามาภายในอากาศเย็นสบาย มากมายด้วยสีสันจากแสงไฟ และเลเซอร์ให้ถ่ายรูปเล่นกันจนเพลิน
สำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายรูป มาที่นี่อาจต้องเผื่อเวลาไว้สักนิด เพราะใช้เวลาเดินชมก็ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดแล้วล่ะ
วันที่สองมื้อแรกเราประเดิมกันที่ร้านภายในโรงแรม ที่นี่ถือว่ามีอาหารให้เลือกค่อนข้างมากและหลากหลาย ทั้งแบบอินเตอร์ รวมถึงอาหารอินเดียก็มีบริการ แถมคุณภาพและรสชาติยังดีสุดๆ
ประมาณ 10.00 น. เราลุยกันต่อไปมันส์กันที่ เกาะเซนโตซ่า ซึ่งเกาะนี้เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด และตั้งอยู่ทางภาคใต้ของสิงคโปร์ เมื่อก่อนหากจะข้ามมายังเซนโตซ่าจะต้องนั่งเรือหรือกระเช้าเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้สามารถขับรถมาได้เลย โดยภายในเกาะนี้จะมีทั้ง คาสิโน สวนสนุก รวมถึงชายหาด เรียกว่าเป็นเกาะสวรรค์แห่งการพักผ่อนกันเลย
ช่วงที่เรามามีการจัดแสดงรูปปั้นแกะสลักทรายในธีมฮีโร่มาเวล ที่สำคัญยังเปิดให้เข้าชมกันได้แบบฟรีๆ ไม่เสียค่าเข้า
ถัดเข้ามาด้านในจุดหมายของเรา Aj Hackett ที่นี่เป็นเหมือนจุดเช็คอินสไตล์แอดเวนเจอร์ ที่มีทั้งสะพานกระจกให้ชมวิวบนความสูง 47 เมตร กระโดดบันจี้จั๊ม และ Giant Swing ที่เป็นเครื่องเล่นที่ปล่อยให้เราบินเหมือนซูปเปอร์แมน
มุมนี้อาจจะเล็กไปหน่อย แตก็ทำหลายคนขาสั่นได้เลยทีเดียว
และมื้อเที่ยงนี้เราลุยกันที่ร้าน Ola Beach Club ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่แล้ว สามารถเดินมาได้ชิลล์ๆ ร้านนี้เป็นร้านค่อนข้างใหญ่และโลเคชั่นดีสุดๆ มีทั้งสระว่ายน้ำและยังติดทะเลที่สำคัญมีมุมให้เลือกนั่งเยอะสุดๆ
ตัวร้านจะมีสองชั้นแบ่งเป็นโซน Indoor และ Outdoor ให้เลือกนั่งริมชายหาดอาบแดด หรือจะนั่งริมระเบียงชมวิวจากด้านบนก็สวยไปอีกแบบ อาหารก็มีให้เลือกมากมาย ส่วนมากจะเป็นเมนูสไตล์ยุโรป ทั้งสเต็ก สปาเก็ตตี้ที่ดีไซน์ออกมาได้อย่างแปลกใหม่
หลังจากอิ่มอร่อยกับเมนูอาหาร ก็ไปสนุกกันต่อ Action Seeker ต้องไม่พลาดมาบินกันที่ iFLY อุโมงค์ลมขนาดใหญ่และเป็นแห่งแรกในโลก ในความเร็วลมกว่า 100 กม.ต่อชั่วโมง โดยก่อนเล่นก็จะมีเจ้าหน้าที่มาสอนและให้คำแนะนำกันก่อน ขอบอกว่าไม่ยากอย่างที่คิด แถมเล่นเสร็จยังได้ใบประกาศมาติดฝาบ้านเก๋ๆ ด้วยนะ
ลุยกันเพลินๆ ก็หมดแรงไปเยอะเหมือนกัน ช่วงเย็นเราไปลุยร้านอาหารสุดพิเศษที่ Quentien’s Eurasian Restuarant ร้านนี้ที่ตั้งอยู่ในชุมชนกลุ่มคนบาบ๋า-ย่าหยา ตัวร้านเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ ด้านในถือว่ามีโต๊ะค่อนข้างเยอะ แถมยังมีดนตรีสดบรรเลงให้ฟังอีกด้วย
อิ่มท้องกันไปแล้ว วัยรุ่นสาย Socialiser อย่างเราๆ ก็ต้องแฮงค์เอาส์กันสักหน่อย คืนนี้เราออกตามล่าบาร์บรรยากาศดี ที่เรียกว่าเป็นอันดับต้นๆ ของสิงคโปร์กันเลย พาไปลุยกันถึง 2 ร้าน 2 สไตล์ ขอบอกว่าเดี๋ยวนี้การเที่ยวกลางคืนในสิงค์โปร์สนุกกว่าเดิมมาก เรียกว่าครึกครื้นไม่แพ้แถบฮ่องกงเลย… ร้านแรก Potato Head ร้านนี้ตั้งอยู่ชั้นบนสุดเก๋สไตล์นีโอคลาสสิก ที่เป็นทรงสามเหลี่ยม ส่วนตัวร้านก็มีหลากหลายชั้น จะมาเป็นแบบกลุ่มเพื่อน คู่รัก หรือมุมเหงาชมวิวเพลินบนดาดฟ้าก็ชิลล์สุดๆ เพลงที่ร้านนี้จะเปิดเป็นสไตล์ฮิปฮอป บีทสนุกๆ ถึงจะไม่ใช่สายฮิปฮอป แต่รับรองว่าโยกตามได้ง่ายๆ
ส่วนร้านที่สองจะชิลล์หน่อย Maison Ikkoku ร้านนี้จะโดดเด่นด้วยเครื่องดื่มที่เราสามารถบอกความชอบของเรา และบาร์เทนเดอร์จะเป็นคนดีไซน์ให้เราเอง ภายในร้านดูหรูหรา มีทั้งโต๊ะนั่ง มุมบาร์ และดาดฟ้าให้เลือก บรรยากาศดูชิคๆ ไม่วุ่นว่าย นอกจากนี้ยังโดดเด่นด่วยเมนูซูชิและซาชิมิ ที่ปรุงกันแบบสดๆ ตรงบาร์เลย
ชิลล์กันยังไงไม่รู้….เผลออีกทีก็ตื่นเข้าสู่เช้าของอีกวัน ยังไม่หมดกับการเอาใจสายโซเชียล เช้านี้เริ่มต้นด้วยการไปเวิร์คชอปกันที่ Native ร้านบาร์สุดฮิปที่ติด 1 ใน 50 บาร์ที่ดีที่สุดในเอเชีย ร้านนี้โดดเด่นด้วยเครื่องดื่มที่ผสมกับสมุนไพร และการนำมาทดลองมากมายเหมือนห้องแลป เรียกว่าได้ทั้งการสังสรรค์แถมยังสุขภาพดี
ที่สำคัญบาร์นี้ยังตั้งอยู่ใกล้ China Town จึงมีศาลเจ้า ป่อเปกง ที่คนสิงคโปร์ชอบมาขอเลขเด็ดกันทุกอาทิตย์
และสำหรับมื้อเที่ยงนี้เราตะลุยไปกินแบบบ้านๆ ในแถบชานเมืองของสิงคโปร์กันที่ร้าน Zai Shun Curry Fish Head เมนูจะออกสไตล์จีนๆ สักหน่อย เมนูเด็ดนอกจากเมนูหัวปลาตามชื่อร้าน ก็คือ ขาหมู
และปิดท้ายด้วยทริปนี้กับกับชม Fomula 1 ในยามค่ำคืนท่ามกลางบรรยากาศแสงสีที่หาได้เฉพาะที่สิงคโปร์เท่านั้น ซึ่งนอกจากจะมีการแข่งรถแล้ว ยังมีคอนเสิร์ตจากศิลปินระดับโลกอย่าง Dua lipa,Jay Chou และ Martin Garrix ให้มันส์กันอีกด้วย จากปากทางเข้าเดินค่อนข้างไกลพอสมควร สำหรับใครที่จะมาชมคอนเสริตควรมาก่อนเวลาจะได้ไม่พลาดประสบการณ์ดีๆ
ด้านในบรรยากาศดีมาก วิวสวยสุดๆ ขนาดว่าเราไม่ได้แฟนทางนี้ ก็ยังรู้สึกสนุกและอินไปกับมัน ถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้กันเลย
ปิดท้ายทริปด้วยการกินมื้อเที่ยงบนภูเขาที่มีความสูงเป็นอันดับ 2 ของสิงคโปร์ Faber Peak ร้านนี้บรรยากาศดีมากชมวิวกันได้แบบ 180 องศากันเลย ปิดท้ายทริปได้อย่างแฮปปี้สุดๆ และเดินทางกลับกรุงเทพโดยสวัสดิ์ภาพ
เป็นยังไงกันบ้างกับทริปสิงค์โปร์ 4 วัน 3 คืน ที่มาเอาใจสายลุย สไตล์ Action Seeker และคนชิครักความสนุกสนาน Socialiser ที่เรียกว่าไม่ว่าแก๊งคุณจะมีเพื่อนมากมายต่างสไตล์ขนาดไหน ทริปนี้ก็จะพาคุณมาลุยเป็นหนึ่งเดียวกันได้ และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ใช่ทั้งสองสายที่ว่ามาเลยก็ตาม ทริปนี้ก็ยังมีร้านอาหารเด็ดๆ มาแนะนำอีกตั้งหลายร้าน ยังไงหวังว่าทริปนี้น่าจะเป็น ประโยชน์และช่วยวางแพลนสำหรับทริปสิงค์โปร์ของคุณได้ แอบกระซิบกันก่อนว่ายังไม่หมดกับแคมเปญ Made it Possible สำหรับทริปหน้า การท่องเที่ยวสิงคโปร์จะพาไปลุยเที่ยวสไตล์ไหน สามารถติดตามข่าวเพิ่มเติมได้ที่ www.stb.gov.sg และ www.visitsingapore.com หรือติดตามผ่านทวิตเตอร์ได้ที่ @STB_sg (https://twitter.com/stb_sg)