หลวงพระบาง แดด-ลม-ฝน | เมืองมรดกโลก เที่ยวง่าย สบ๊าย สบาย
11,793 ครั้ง
26 มี.ค. 2560
11,793 ครั้ง
26 มี.ค. 2560
“once a year go some place you are never been before”
“สักหนึ่งครั้งต่อปี จงไปสถานที่ที่คุณไม่เคยไปมาก่อน”
Cr. 18 Rules of Living by Dalai Lama
คติพจน์นี้ ผ่านสายตาผมขณะท่องโลกออนไลน์เมื่อหลายปีก่อน คนโพสบอกว่าเป็น1 ใน 18 กฎแห่งการใช้ชีวิตขององค์ดาไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณชาวทิเบต ท่านเขียนเองจริงรึป่าวก็ไม่รู้นะครับ แต่เป็นคติพจน์ที่ผูกโยงแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวให้กับตัวผมได้มากทีเดียว ถึงขั้นทำให้ผมตั้งเป้าหมายว่าในทุกๆปี จะต้องไปเที่ยวสถานที่ที่ไม่เคยไป ไม่ว่าจะใกล้จะไกล ในหรือนอกประเทศ ขอให้ได้ไปอย่างน้อยสักปีละ 1ครั้ง เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เป้าหมายนั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ผมเห็นโปรโมชั่นเปิดเส้นทางบินใหม่ของสายการบินแอร์เอเชีย จากกรุงเทพฯ ไปยัง”หลวงพระบาง” เมืองมรดกโลกที่ผมเคยแต่เห็นภาพหรือได้ยินคำบอกเล่าจากเพื่อนรุ่นพี่ที่เคยไปเยือน ว่าเป็นเมืองที่สวยคลาสสิก มีความสบายๆชิลๆ แบบนั่งจิบกาแฟยามเช้า ล่องเรือชมชีวิตชาวบ้าน และสัมผัสความเป็นชาวพุทธผ่านการตักบาตรข้าวเหนียว ด้วยราคาตั๋วโปรที่ดีงามเพียงสองพันกว่าบาท ทำให้แผนการเที่ยวหลวงพระบางผุดขึ้นมาทันที ทริปนี้มีญาติรุ่นน้องสนใจไปด้วย ไม่รีรอรีบจองตั๋วเสร็จสรรพ ก็นั่งหาอ่านรีวิวที่เพื่อนๆพันทิพคนอื่นเคยไปมา วาดฝันว่าจะได้ไปเที่ยวสบายๆ ถ่ายรูปเก๋ๆ นั่งจิบกาแฟเท่ๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายริมแม่น้ำโขง แต่เอาเข้าจริง ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกพ่อคูณ…
แนะนำเรื่องเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวกันก่อน ช่วงที่ผมจองตั๋วไปเป็นช่วง 24-27เม.ย.(ใจจริงอยากไปช่วงสงกรานต์ เพราะได้ยินว่าหลวงพระบางมีพิธีใหญ่ คือพิธีสรงน้ำพระบางที่เป็นพระคู่เมือง แต่ตั๋วโปรไม่มีในช่วงนั้น) ผมมีเวลาก่อนเดินทางราว 2 เดือน แต่ด้วยภารกิจการงานที่รัดตัวเกิ้นนนน เลยได้แต่อ่านรีวิวแต่ไม่ได้วางโปรแกรมเที่ยวเลย 555 สิ่งเดียวที่พอมีในหัวคือสถานที่เที่ยว ที่กินหลักๆ ที่อ่านจากรีวิว นอกนั้นก็พึ่งหนังสือคู่มือนำเที่ยว งบประมาณเที่ยวครั้งนี้ ผมวางแผนคร่าวๆไว้ที่ไม่เกิน 10,000 บาท พัก 2 คืนแรกที่สายน้ำคานริเวอร์วิวและอีกคืนพักหรูหน่อยที่ The Belle Rive Hotel (มีรีวิวตอนท้าย) เบ็ดเสร็จก็จะประมาณนี้
ค่าใช้จ่าย ทริปหลวงพระบาง เรต 1 บาท = 231 กีบ
ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ Airasia =2,240 บาท
ค่าห้องพัก สายน้ำคานริเวอร์วิว 2 คืน =2,451.86 บาท / หาร 2 = 1,225 บาท
ค่าห้องพัก The Belle Rive 1 คืน =3,487.72 บาท / หาร 2 = 1,743 บาท
ค่าเที่ยว+ค่าอาหาร+ของฝาก = คนละประมาณ 4,500-4,800 บาท
รวมคร่าวๆ ไม่เกิน 10,000 บาท
สภาพอากาศช่วงเมษาที่ผ่านมา ไทยเราอย่างที่รู้กันคือร้อนตับแล่บ ใจผมก็หวังว่าทริปนี้จะได้หนีร้อนไปหาเย็น แต่หลังจากเช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางสองวัน เขร้ 38-39 องศา มันจะซันนี่ยูโฟร์อะไรขนาดนั้นขุ่นแม่ขาาา อากาศช่วงที่ไป ร้อนจริงไรจริง
วันเดินทาง 24 เม.ย. ผมขึ้นเครื่องออกจากดอนเมือง 14:10 ถึงสนามบินหลวงพระบาง 15:30 (เวลาที่หลวงพระบางและไทยตรงกัน จึงไม่ต้องปรับนาฬิกาใดๆ) สัมผัสแรกหลังออกจากเครื่องบิน ตอนแรกก็เผื่อใจไว้แล้วว่าคงร้อน แต่ออกจากเครื่องปั๊บ ก็รู้สึกถึงลมที่พัดเข้าหน้า ทำเอาหน้าสั่น หนาวหรอ?? … ร้อนจนหน้าสั่นมั้ยยยย กทม.ว่าร้อนแดดแล้ว เจอลมร้อนที่นี่พัดมาที ทำเอาขนลุกซู่ เดินเข้าไปด้านในอาคารผู้โดยสารกะว่ารอดตายแล้วตรู แต่สิ่งที่เจอเลวร้ายกว่าคือ …”สนามบินไม่มีแอร์” หืออออออ คือไรว่ะครับ นโยบายประหยัดไฟหรืออย่างไร มันช่างจ้าาาา ซะเหลือเกิน
หลังผ่าน ตม.มาได้ ผมรีบตระเวรหาร้านขายซิมมือถือ อ่านรีวิวเห็นคนแนะนำลาวเทเลคอม เดินหาจนเจอร้านขายตรงใกล้ๆจุดจ้างแท็กซี่เข้าเมือง เน้นใช้โปรเนตแบบวันละ 1GB 4 วัน ราคา 280 บาท แล้วให้เค้าเอาซิมใส่ในไอโฟนให้ด้วย พนักงานบริการดีงาม อันนี้ชื่นชม เสร็จแล้วก็จ้างรถแท็กซี่เข้าตัวเมืองตกคนละ 125 บาท การเดินทางเที่ยวในตัวเมืองหลวงพระบาง ทำได้หลายวิธีครับ ไม่ว่าจะเดิน เช่าจักรยาน มอเตอร์ไซค์ หรือเหมาตุ๊กตุ๊กหรือรถกะป๊อ
บอกเล่าสภาพภูมิประเทศของเมืองหลวงพระบางกันก่อน หลวงพระบางเป็นเมืองเอกของแขวงหลวงพระบาง อดีตเคยเป็นราชธานีสมัยอาณาจักรล้านช้าง ตัวเมืองจะแบ่งเป็นเขตตัวเมืองชั้นในและตัวเมืองชั้นนอก โอบล้มด้วยแม่น้ำ 2 สายสำคัญของ สปป.ลาว คือแม่น้ำโขงกับแม่น้ำคาน สถานที่เที่ยวหลักๆจะอยู่ในเขตตัวเมืองชั้นใน เขตตัวเมืองชั้นในหลวงพระบาง
ภาพแผนที่และจุดท่องเที่ยวในเขตตัวเมืองชั้นใน เครดิตเวบ luangprabang-tourism-laos.org
ส่วนการแลกเงินเที่ยวหลวงพระบาง ผมใช้วิธีแลกแบงค์ยี่สิบไป2พัน แบงค์ร้อยอีก 2พัน แล้วไปแลกเงินกีบที่สนามบินหลวงพระบางส่วนหนึ่ง ใช้ไม่พอค่อยไปแลกเพิ่มในตัวเมือง(มีจุดแลกหลายจุดแถวถนนคนเดิน) ภายในเมืองนอกจากเงินกีบก็ใช้เงินบาทได้ แต่แนะนำว่าใช้เงินกีบเป็นหลัก ไม่พอค่อยให้เค้าคิดราคาเงินบาท ถ้าใครมีสมาร์ทโฟน แนะนำใช้แอพ Currency Exchange (มีหลายแอพ ผมใช้แอพ XE ) เพื่อคำนวนเวลาเค้าคิดเงินกีบแปลงเป็นบาท บางร้านจะโก่งเพิ่มพอสมควร แต่ถ้าร้านอาหารหรือร้านกาแฟดีๆส่วนใหญ่จะราคาตรงกัน หน้าตาแอพ XE Currency Exchange ค่าเงินกีบในภาพ คือค่าเงิน ณ วันที่ 17-06-59 หนึ่งหมื่นกีบ = 43 บาท
ออกจากสนามบินไม่ถึงยี่สิบนาที แท็กซี่ก็ขับมาส่งผมและน้อง หน้าโรงแรมที่พัก 2 คืนแรก ที่สายน้ำคาน ริเวอร์วิว อันนี้ขอบ่น Agoda หน่อยว่าไม่มีแจ้งชัดเจนในเว็บว่าที่พักมีแยกเป็น 2 จุด ภาพโปรโมทเป็นโรงแรมริมแม่น้ำคาน แต่พอจองห้องแพงสุด ได้พักโรงแรมสาขาอีกจุดที่อยู่ด้านใน ผมอาจจะผิดที่ไม่เช็คละเอียด แต่ทางเว็บไม่มีข้อมูลบอกชัดเจน ทำเอาเสียความรู้สึกเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าช่างมัน อย่างน้อยห้องพักก็ค่อนข้างดี แบบในรูปที่จองมา หน้าตา รร.สายน้ำคาน ริเวอร์วิว ที่โปรโมทในเวบ Agoda แต่ที่จองห้องดีสุดได้ไปพักด้านในเมือง ไม่เห็นวิวแม่น้ำ
ยังดีว่าห้องพักดูดีเหมือนที่จอง
วิวหน้าห้อง
เข้าห้องพักจัดแจงเก็บข้าวของเรียบร้อย เช็คเป้าหมายแรกที่อยากไปคือวัดเซียงทอง ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองและได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามที่สุดของหลวงพระบาง จากที่พักไประยะทางไม่ไกลมาก เลยตัดสินใจว่าจะเดินไป ขากลับค่อยเหมารถกะป๊อไปร้านอาหาร พอไปถึงที่วัด ก็เจอกับผู้คนมากมาย หนุ่มสาวลาว ห่มสะไบเดินกันขวักไขว่ เพราะวันนี้เป็นวันที่วัดจัดพิธีสรงน้ำพระม่าน ซึ่งเป็นพระที่คล้ายกับพระบาง แต่ประดิษฐานภายในวัดเซียงทอง โดยทางวัดได้อัญเชิญพระม่านออกมาให้ประชาชนกราบไหว้และสรงน้ำเพื่อเป็นสิริมงคล ถือเป็นโชคดีของผมและน้องที่มาตรงกับวันงานพิธีนี้พอดิบพอดี
บรรยากาศการสรงน้ำพระม่าน
ออกจากวัดเซียงทองช่วงหัวค่ำ ผมเหมารถกะตุ๊กตุ๊กไปส่งร้านอาหาร L elephant (อ่านว่า เลเลฟอง) เป็นร้านอาหารแนะนำของหลวงพระบางเลยทีเดียว อาหารอร่อยแต่ราคาค่อนข้างสูง(เฉลี่ยจานละ 4-500)
จริงๆอาหารหน้าตาดีนะครับ แต่ด้วยความหิวจัดเลยไม่ทันได้เอากล้อง Dslr ถ่าย ใช้มือถือถ่ายแทน
ทานเสร็จ ก็เดินต่อไปถนนคนเดิน ที่ถนนสักกะลิน เดินเข้าไปได้แปปเดียว เห็นพ่อค้าแม่ค้ากำลังรีบเก็บข้าวของ อาการแบบรีบมากกกกก รีบจริงจัง เลยเดินออก แล้วแวะถามพ่อค้าคนนึงว่าทำไมรีบเก็บกันจัง พ่อค้าบอกว่าฝนกำลังจะตก ผมกับน้องก็แปลกใจมาก เพราะตอนที่ไปถึงนี่ยังไม่มีแม้แต่ลมหรือฝนลงเม็ด แล้วเค้ารู้ได้อย่างไรว่าฝนกำลังจะตก แต่ระหว่างทางกลับที่พัก ฝนก็เริ่มตกลงมาจริงๆ สาเหตุที่เค้าต้องรีบเก็บร้านนี่เดาว่าน่าจะเพราะทุกร้านเป็นแบกะดิน น้ำฝนอาจทำข้าวของเสียหายได้ อีกอย่างที่รู้ทีหลังคือก่อนผมเดินทางไปถึง หลวงพระบางเผชิญกับพายุฤดูร้อนมาแล้วหลายวัน !! เอาแล้วไงตรู มาเที่ยวจังหวะดีจริงๆ หนีร้อนมาเจอร้อน แถมเจอพายุโด้ยยย
วันที่ 2 ผมตืนแต่เช้าตรู่ เพราะตั้งใจจะตักบาตรข้าวเหนียว ลงมาหน้าโรงแรมก็เจอนักท่องเที่ยวกำลังตักบาตรและมีแม่ค้าขายกะติ้บข้าวเหนียวพร้อมกับขนมให้ตักบาตร ผมกะน้องก็เลยซื้อมาคนละชุด พระเดินมาเร็ว+หลายรูปมาก ข้าวเหนียว และขนมถูกหยิบใส่บาตรพระอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็หมด แม่ค้ายังมีแอบมาวางขนมให้อีก ต้องบอกว่าบ่เอาแล้วจ้าววว
ใส่บาตรเสร็จแล้วก็เดินเล่นสัมผัสบรรยากาศยามเช้าและชมบ้านเมืองรอบๆเล็กน้อย ถ้าถามผมถึงเอกลักษณ์ของหลวงพระบาง ผมว่าคงเป็นสถาปัตยกรรมที่เห็นได้จากบ้านเรือนธรรมดาๆนี่แหละ มีความคลาสสิคไม่เหมือนที่ไหน เดินเล่นถ่ายภาพสักพัก ก็กลับเข้าที่พักเพื่อเตรียมของ วันนี้เราจะไปลุยนอกเมืองกัน
แผนเที่ยวที่พอนึกออกเนื่องจากไม่ได้วางโปรแกรมมา คือมีน้ำตก 2 ที่ ได้แก่น้ำตกตาดกวางสี กับน้ำตกตาดแส้ และก็มีล่องเรือไปชมถ้ำ ชื่อว่าถ้ำติ่ง แต่ถ้ำนี่ผมกะน้องตัดสินใจว่าไม่ไปเพราะคิดว่าร้อนมากแน่ๆ พอมีแผนแล้วก็เดินไปหารถกะป๊อเหมาพาเที่ยว จนไปเจอคันนึงจอดบริเวณถนนคนเดิน ถามดูว่าจะไปน้ำตก 2 ที่นี้ได้ไหม คนขับรถก็บอกว่าไปได้ แต่ราคาก็จะแพงกว่าที่เดียว แต่เค้าแนะนำว่าตาดแส้ไม่น่าไปเพราะช่วงนี้น้ำแห้ง เลยตัดสินใจไปแค่น้ำตกตาดกวางสีที่เดียว ก่อนถึงน้ำตกตาดกวางสี ผมขอแวะเที่ยวหมู่บ้านม้งก่อน ใช้เวลาเดินทางเกือบ 40 นาทีก็ไปถึงหมู่บ้านม้ง ปกติแล้ว ที่นี่จะมีร้านขายของนักท่องเที่ยวเรียงรายอยู่หลายร้าน แต่เนื่องจากเป็นเวลาเช้า ตอนที่ไปร้านต่างๆจึงยังเปิดไม่มากนัก
แก๊งนี้ฮามาก ถ่ายไปหัวเราะไป
สังคมก้มหน้าก็ลามมาถึงนี่
ออกจากหมู่บ้านม้ง ก็มุ่งหน้าต่อไปยังน้ำตก คนขับจะจอดรถที่ลานจอดก่อนทางเข้า ต้องเดินขึ้นไปอีกนิดถึงจุดซื้อตั๋ว ก่อนจะเดินขึ้นไปน้ำตก มีทั้งหมด 4 ชั้น (ถ้าใครไม่สะดวกเดิน แต่อยากชมน้ำตกสวยๆ ให้รถขับขึ้นไปได้เลย แต่ต้องจ่ายค่าตั๋วเข้าให้คนขับรถด้วย) ก่อนถึงน้ำตก จะมีศูนย์อนุรักษ์พันธุ์หมี ให้เราได้ชมบรรดาหมีควายหมีหมา แต่ด้วยอากาศที่ร้อน หมีหลายตัวเลยเอาแต่นอน
เห็นหมี เอ้ย ดูหมีกันสักพัก (อิอิ) ก็เดินขึ้นน้ำตก ทางเดินไม่ชันมากครับ พอได้เหงื่อ น้ำตกที่นี่เป็นน้ำตกหินปูน น้ำค่อนข้างใสเป็นสีเขียวมรกต เป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเห็นมาในชีวิตเลย(ในชีวิตเห็นมาไม่ถึงสิบน้ำตก 55) แต่สวยมากๆครับ น้ำใส+ฟอร์มน้ำตกที่สวย คิดว่าถ้าได้เล่นน้ำนี่คงจะฟินน่าดู แต่ชั้นนี้เค้าห้ามนักท่องเที่ยวเล่นน้ำนะครับ ให้เล่นได้ชั้นล่างๆ
ชั้นบนสวยสุดๆ
ลงจากน้ำตก ก็แวะทานอาหารเที่ยงแถวนั้น ก่อนเดินทางกลับตัวเมือง และแวะไปเที่ยวหอพระบางตรงถนนคนเดิน ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์หลักและเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบาง พระคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง
ออกจากหอพระบาง จะเจอทางขึ้นภูสี ซึ่งเป็นจุดชมวิวเมืองหลวงพระบางที่สวยที่สุด อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน “ภูสี”เป็นภูเขาที่อยู่ใจกลางเมือง ด้านบนเป็นที่ตั้งของพระธาตุภูสี ทางขึ้นมี 2 ทาง คือฝั่งแม่น้ำคาน กับทางหอพระบาง มีบันไดทั้งหมด 328 ขั้น ทางไม่ชันมาก แต่ก็เหนื่อยเอาเรื่องสำหรับคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแบบผม 555 แถมเพิ่งจะขาตึงจากการเดินขึ้นน้ำตก มาขึ้นเขาอีก ขางี้สั่น หายใจหอบ นั่งพักจนอายคนแก่ทีเดียว เดินขึ้นไปถึงยอดภูสี พบว่ามีผู้คนไปรอชมพระอาทิตย์ตกกันเยอะมากกกก สำหรับคนชอบถ่ายภาพ คิดว่าอาจจะผิดหวังเล็กน้อย เพราะทิศตะวันตกอยู่ทางฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งวิวไม่สวยนัก และมีต้นไม้บังค่อนข้างเยอะ จุดที่วิวสวยกลับเป็นทิศตะวันออกที่เห็นวิวเมืองกับแม่น้ำคานมากกว่า ผมกับน้องชายชอบถ่ายภาพกันอยู่แล้ว จึงอยู่บนภูสีถึงทุ่มกว่า ค่อนข้างมืด แต่ก็ยังมีคนอยู่หลายคน
วิวจากทางทิศตะวันตก
ทิศตะวันออกสวยกว่าจริงๆ
ขากลับลงไปที่ถนนคนเดิน ก็แวะหาอะไรกิน วันนี้พ่อค้าแม่ค้าก็รีบเก็บของกันเช่นเคย แสดงว่าฝนกำลังจะมาอีกรอบ ผมกับน้องนั่งกินเฝอเสร็จก็รีบเดินไปร้านจักรยาน เพื่อเช่าจักรยานไว้ปั่นเที่ยวรอบเมืองวันพรุ่งนี้ แต่ยังเช่าจักรยานไม่ทันเสร็จ ฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาพอดี แต่รอบนี้ดูจะหนักเป็นพิเศษ ทำเอาผมติดฝนอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง พอฝนเริ่มเบา ผมกับน้องตัดสินใจปั่นจักรยานฝ่าฝนกลับที่พัก ถึงที่พักสภาพแบบเปียกปอนทีเดียว เข้าห้องพักได้ไม่นาน ฝนก็ยิ่งตกหนักแถมลมแรงขึ้นเรื่อยๆจนน่ากลัว ทันใดนั้น จู่ๆไฟฟ้าในห้องก็ดับพรึ่บ แหม่ๆๆๆ เสริมบรรยากาศความหลอนเข้าไปอีกกกก ห้องพักไม่เก่า แต่เมืองเก่า มันคงไม่มีสุกี้น้ำมั้ง 5555 โชคดีว่าน้องผมเอาไฟฉายมา ก็เลยเปิดไฟฉาย เดินลงไปถามประชาสัมพันธ์ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าไฟดับเพราะอะไร กลับขึ้นมาที่ห้องก็เปิดไฟฉายไว้ คิดว่าคงแค่ไฟตกมั้ง ไม่นานเดี๋ยวไฟก็มา นั่งรอเล่นมือถือ รอไป รอไป รอไป
เช้ามืดวันที่ 3 ตื่นมาสะลึมสะลือ ไมร้อนจังว่ะ เอ้า ไฟยังไม่มาอีกกกกกก แล้วแบตมือถือแบตกล้องจะหมดทำไงเนี่ย แล้วตรูจะเที่ยวยังไง เห้ออออ ตัดสินใจกับน้องว่าออกไปปั่นจักรยานเที่ยวดีกว่า อยู่ในห้องก็ร้อนชิหัย ค่อยกลับมากินข้าวเช้าแล้วเก็บของย้ายโรงแรมตอน 9 โมง แต่พอออกมานอกโรงแรม สภาพที่เจอก็คือ ….
อื้อหือ พายุจริงไรจริง พัดซะเสาไฟฟ้าโค่น แล้วโค่นหน้าโรงแรมตรูซะด้วย
อากาศช่วงที่ไป เช้าๆจะเย็นๆครับ จะร้อนช่วงประมาณหลังเที่ยง ส่วนการปั่นจักรยานเที่ยวในหลวงพระบาง ก็ต้องระวังรถนิดนึงครับ เพราะระบบจราจรในหลวงพระบาง เลนขาไปจะอยู่ด้านขวา ขามาจะอยู่ด้านซ้าย สวนทางกับบ้านเรา อาจจะงงได้ครับ ระวังไว้ก่อน ออกจากโรงแรม ปั่นไปชมบรรยากาศตักบาตรข้าวเหนียว แต่รอบนี้ไม่ได้ใส่บาตร กะว่าใส่วันพรุ่งนี้วันสุดท้ายก่อนกลับ ผลจากการไม่ได้ชาร์จแบตกล้อง Dslr ถือกล้องไปกำลังจะถ่าย … ดับเฉย
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปร้านกาแฟประชานิยม ร้านกาแฟยอดนิยมของนักท่องเที่ยว(ไทย) อยู่ริมแม่น้ำโขง ที่ร้านก็มีกาแฟ ไข่ลวก ไข่กระทะ ปาท่องโก๋ รสชาติก็ดีครับ แต่ที่ฟินกว่าคือการนั่งจิบกาแฟริมโขง อากาศกำลังเย็น อาาาห์ ในที่สุด ก็ได้สัมผัสกับสิ่งที่ตามหา
จิบกาแฟเสร็จก็แวะไปที่ตลาดเช้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน เป็นซอยเล็กๆ ถ้าปั่นจักรยานไปจอดเค้าจะเก็บค่าที่จอด น่าจะคนละสิบบาทมั้ง ตลาดก็คล้ายตลาดสดบ้านเรา แต่ของวางแบกะดินซะเยอะ คนที่เดินจับจ่ายซื้อของส่วนมากก็เป็นคนท้องถิ่นมากกว่า
ออกจากตลาด ปั่นกลับไปที่โรงแรมเพื่อเก็บของย้ายออก กลับไปถึงโรงแรม แหม่ไฟยังไม่มาเลยคะคุณกิตติ งั้นเอาที่สบายใจเลย ตรูปล่อยวางละ เช็คเอาท์ ย้ายโรงแรมด่วนๆ ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า สำหรับคืนสุดท้าย ผมย้ายไปพักที่โรงแรม The Belle Rive ความดีงามสิ่งแรกที่เห็นคือที่นี่ไฟไม่ดับ 555 ดับอีกมีเคืองง คนไทยหลายคนอาจจะเคยมาพักที่นี่แล้ว ยังไงผมขอรีวิวนิดนึงเผื่อใครสนใจ สาเหตุแรกที่ทำให้สนใจพักที่นี่ คือคะแนนใน Agoda และ Booking.com ระดับ 9.0 แถมได้รางวัล Trip Advisor ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ใช่แค่คะแนนคุย
จุดเด่นของโรงแรม The Belle Rive ที่เห็นได้ชัดคือตัวอาคารโรงแรมที่เป็นสไตล์โคโลเนียล ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง สะท้อนความเป็นหลวงพระบางสุดๆ ส่วนต้อนรับของทีนี่ จะเป็นอาคารแยก พนักงานประชาสัมพันธ์ที่นี่ใจดีมากๆ ขอเข้าพักก่อนเวลาปกติ เพราะประสบภัยไฟดับมาเมื่อคืน เค้าก็รีบจัดแจงให้คนไปทำความสะอาดห้องให้ (ที่อื่น ส่วนมากให้เข้าพักได้ตอนบ่าย) แล้วให้นั่งรอตรงล็อบบี้ พร้อมน้ำส้มเป็น welcome drink ก่อนที่จะพาไปห้องพัก และให้รหัส WIFIไว้ใช้งาน ความเร็วอินเทอร์เน็ตถือว่าโอเคเลยครับ ภาพตัวโรงแรม ถ่ายตอนเช้า
ส่วนต้อนรับ
ห้องพักที่จองเป็นแบบ Terrace Room ไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่ตกแต่งแสดงถึงศิลปะวัฒนธรรมลาวได้สวยงามทีเดียว ภายในห้องยังแฝงความน่ารักด้วยตระกร้าผลไม้และกล้วยฉาบ ที่ให้แขกรับประทาน พร้อมมินิบาร์ที่ให้บริการฟรีทั้งน้ำเปล่าและน้ำอัดลม
ตัวห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วน ระหว่างโถชักโครกกับส่วนอาบน้ำ ที่ขัดใจคนเมืองอาจจะแค่ไม่มีทีวี แต่สำหรับผมถือว่าโอเคนะ เพราะเปิดมาก็เจอช่องทีวีไทย ดูมาตลอดชีวิตแล้ว พักบ้างไรบ้าง ประตูห้องน้ำเก๋ไก๋
เปิดมาเจออ่างล้างหน้าเป็นกระเบื้องเคลือบลายสวยงาม ด้านล่างมีผ้าขนหนูและเสื้อคลุมเตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ
มีหนังสือให้อ่านระหว่างทำธุระด้วย
ส่วนอาบน้ำ
นอกจากนี้ ทางโรงแรมยังมีจักรยานให้บริการฟรีแถมล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกพร้อมไวน์ฟรีให้บริการด้วย (แต่ผมไม่ได้ใช้บริการ ออกไปเที่ยวเพลิน)
ภาพตัวโรงแรมเพิ่มเติมครับ เป็นเสน่ห์ของที่นี่จริงๆ
ต่อกันที่แพลนเที่ยววันนี้ คือการปั่นจักรยานเที่ยวรอบเมืองในเขตตัวเมืองชั้นใน เจอวัดไหนตรูจะแวะให้หมด หึหึ แต่ปั่นไปแดดเลียหน้าไป เรียกได้ว่ามีความเพลียไม่น้อย 555 แต่ก็สนุกไปอีกแบบครับ ผมว่าเสน่ห์ของการไปเที่ยวที่ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ จะมีเหนื่อยบ้าง หลงทางบ้าง มันก็เพิ่มสีสันให้ชีวิตดี แต่มากไปก็ไม่ดีนะ
วัดแรกที่แวะคือวัด อาฮาม อยู่ติดกับวัดวิซุนนะราช มีสิม(ภาษาลาว)หรือพระอุโบสถค่อนข้างเก่า ภายในมีเซียมซีให้เสี่ยงทายกันด้วย กระป๋องได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ … สปอนเซอร์จริงๆนั่นแหละ 555 เสี่ยงทายออกมา เจอปัญหาคือ ใบเซียมซีภาษาลาว ฮ่วยยย อ่านบ่ออก ซอยข่อยแน
ใครอ่านออกบอกด้วยนะ
เสร็จแล้วก็เดินทะลุประตูรั้วไปในวัดวิซุนนะราช สภาพก็ค่อนข้างเก่าเหมือนกัน วัดนี้มีจุดเด่นคือพระธาตุหมากโมที่อยู่หน้าวัด แต่ความที่ไม่ค่อยมีการบูรณะ ทำให้องค์พระธาตุสภาพค่อนข้างทรุดโทรม ส่วนตัวอุโบสถ เก็บค่าธรรมเนียมเข้า 2 หมื่นกีบ ก็เลยไม่ได้เข้าไปครับ ไหว้อยู่ด้านนอกพอ ประหยัด อิอิ
พระธาตุหมากโม
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่วัดธาตุหลวง วัดนี้ จริงๆแล้วมีพระอุโบสถที่สวยงามทีเดียว แต่น่าเสียดายว่าการดูแลรักษาที่ไม่ค่อยดี ทำให้สภาพภายในวัดไม่น่าเที่ยวเท่าไหร่
ปั่นไปต่อที่วัดป่าไผ่มีไซยาราม เป็นวัดเล็กๆ แต่พระอุโบสถสวยดีครับ (ภาพแสงสวยๆนี่กว่าจะถ่ายได้ หน้าแทบไหม้ครับ แดดแรงมาก 555)
ออกจากวัด ก็ปั่นจักยานเที่ยวชมบ้านเรือน ต้นไม้ ริมแม่น้ำโขง ก่อนกลับไปที่พัก ทานอาหารเที่ยงในโรงแรม
นั่งๆนอนๆเล่นในห้องสักพัก ก็ออกไปลุยต่อช่วงเย็น ไหนๆก็พักริมแม่น้ำโขง เลยตัดสินใจหาจุดถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำโขงละกัน บรรยากาศพระอาทิตย์ตกยามเย็นก็สวยดี ยกเว้นว่าร้อนไปหน่อยนะ
เสร็จแล้วก็ไปถ่ายภาพยามค่ำบริเวณถนนคนเดินกันต่อ ภาพที่สวยงามของบริเวณนี้คงเป็นหอพระบางกับเต็นท์ขายของหลากสีนี่แหละครับ
เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับไปเผชิญโลกความเป็นจริง ผมและน้องปั่นจักรยานออกไปตักบาตรข้าวเหนียวที่หน้าวัดแสนสุขาราม จุดนี้จะเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวมาตักบาตรข้าวเหนียวกันเยอะ น่าจะเยอะที่สุดในเมืองแล้วล่ะ ปั่นไปถึงหน้าวัดก็เจอกล้อง ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอกำลังรุมถ่ายคนกลุ่มนึงอยู่ ใครอะ ดารารึเปล่า หรือว่านักร้องเกาหลี หรือดีเจโซดาาา อย่ากระนั้นเลย งัดวิชาไทยมุงเดินไปถ่ายภาพใกล้ๆกะเค้าด้วย แล้วก็พบว่ากลุ่มคนที่เจอ คือซุปตาร์เมืองไทยเรา แก๊งเทยเที่ยวไทยนี่เอง
นักท่องเที่ยวตักบาตรเป็นหมู่คณะ
คุณยายรอตักบาตรอย่างใจจดใจจ่อ
พระประธานภายในอุโบสถวัดแสนสุขาราม
ถ่ายภาพอยู่หน้าวัดสักพัก ก็ซื้อข้าวเหนียวตักบาตรคนละกะติ๊บ ก่อนจะแวะไปทานกาแฟกับขนมปังที่ร้าน Le Banetton ขนมปังโอเคครับอร่อยดี บรรยากาศร้านมีความคลาสสิก ถ่ายรูปสวย
ออกจากร้านก็กลับไปที่โรงแรมเพื่อทานอาหารเช้าครับ หนึ่งในจุดเด่นของโรงแรม The Belle Rive คงเป็นส่วนรับประทานอาหารเช้าที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง อาหารเช้าจะเป็นแบบเมนูให้เลือกสั่งได้ เมนูอาจจะไม่หลากหลายมาก ผมสั่งข้าวต้ม ส่วนน้องสั่งแซนด์วิช รสชาติอร่อยดีครับ นั่งทานไปชมสายน้ำโขงยามเช้าไป มันสุขแท้ๆ อะฮืมมม
ทานอาหารเช้าเสร็จก็กลับไปเก็บของเตรียมเช็คเอาท์ ก่อนจะออกไปทานอาหารเที่ยงใกล้ๆแล้วกลับมารอรถตุ๊กตุ๊กที่ให้ประชาสัมพันธ์เรียกให้ พาไปส่งที่สนามบินเพื่อเดินทางกลับ อ่อ เกือบลืม แผนที่โรงแรม The Belle Rive ครับ หาไม่เจอก็กดกูเกิ้ลแมพครับ มีชัวร์ อิอิ
ส่วนเรื่องของฝาก อยากแนะนำเพื่อนๆว่าในสนามบินนี่ร้านขายของฝากส่วนใหญ่จะแพงกว่าข้างนอก แล้วแต่ละร้านราคาไม่เท่ากันด้วย งงดี ถ้าใครจะดูของฝาก ก็หาซื้อจากในเมืองก่อนได้เลยครับ แต่จะซื้ออะไรนี่แนะนำยากครับ เพราะผมยังหาแทบไม่ได้ เห็นหลายคนบอกว่าผ้าหรือเครื่องเงินโอเค สุดท้ายผมก็ซื้อแต่ขนมผลไม้อบของ Dao กลับไป (แต่จริงๆซื้อใน กทม ก็มีนะ) สรุปเรื่องราวการผจญภัยแบบผู้ประสบภัยเล็กๆครั้งนี้ ก็ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ครับ แม้จะมีปัญหาบ้าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำดี ใครที่สนใจจะไปเที่ยวหลวงพระบาง ช่วงนี้ถือเป็นโอกาสดีแล้วครับ ค่าตั๋วเครื่องบินไม่แพง ค่าใช้จ่ายทั้งค่ากิน,เดินทาง หรือที่พักในเมืองก็ไม่สูงมาก งบหมื่นเดียวเที่ยวสบายๆ หรือถ้าประหยัดนี่ห้าหกพันก็เอาอยู่ ไปเที่ยวถ่ายรูปเกร๋ๆ อิอิ นอกจากนี้ผู้คนหลวงพระบางส่วนใหญ่ ดูหนังฟังเพลงของไทย ทำให้ฟังภาษาไทยรู้เรื่อง การสื่อสารจึงไม่เป็นปัญหาเลย สงสัยอะไรถามไถ่เค้าก็พร้อมจะช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ใครที่สนใจอยู่ก็อย่ารีรอครับ จองตั๋วโล้ด
สุดท้ายนี้ฝากเพจน่ารักๆ ไปกดไลค์ติดตามพูดคุยสอบถามเรื่องเที่ยวหรือถ่ายภาพกันได้ TripTarget