tripgether.com

เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก!! 5 วัน 4 คืน ตะลุย 3 เมืองแถบคันไซกับเส้นทางใหม่ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก PART2

7,623 ครั้ง
21 ก.พ. 2562

ถ้าเพื่อนๆ อ่านทริปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในภูมิภาคคันไซของผมใน Part 1 ไปแล้ว ก็คงพอจะนึกออกกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในภูมิภาคคันไซ ภูมิภาคที่เวลาใครหลายคนเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วมักจะมองข้ามหรือแทบจะไม่รู้จักที่เที่ยวอื่นๆ นอกจากเมืองใหญ่ๆ อย่างโอซาก้าเลย ถ้าจะให้ผมพูดอีกครั้งผมก็มั่นใจว่าผมคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่เลือกเที่ยวที่นี่เป็น First Trip ในญี่ปุ่นของผม ลองมาอ่านต่อกันที่ Part 2 ดูว่าภูมิภาคคันไซยังมีสถานที่สวยๆ ที่ไหนที่น่าเดินทางไปสัมผัสอีกบ้าง

Njapanpart2.900-01


Day3

วันนี้ผมตื่นนอนตั้งแต่เช้าเพื่อมาดูบรรยากาศของเมืองสงบๆ เลียบชายทะเลที่มีภูเขาเป็นฉากหลังและผู้คนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการกินมื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่นของทางโรงแรม

Ontheway-2

Hashidatebayhotel-20

ด้วยความที่โรงแรม Hashidate Bay Hotel ตั้งอยู่บนเนินเขาทำให้สามารถมองเห็นวิวของเมืองได้อย่างชัดเจน

Hashidatebayhotel-30

จุดเช็คอินแรกของวันนี้ที่ผมมาถึงก็คือ วัดชิอนจิ (Chionji) ในเมืองมิยาซุ วัดนี้มีความเชื่อเรื่องการมาขอพรเกี่ยวกับเรื่องการเรียน ทำให้วัดนี้มีนักเรียนจำนวนมากเดินทางมาขอพรให้สอบผ่าน และบรรยากาศรอบๆ วัดก็เต็มไปด้วยธรรมชาติและความสงบ ใครที่อยากขอพรให้สอบผ่านแนะนำให้มาที่วัดนี้เลย

Chionjitemple-14

Chionjitemple-5

ที่ผมเห็นแล้วสะดุดตาที่สุดก็คือเซียมซีพัดสีขาวอันเล็กๆ ที่มีคำทำนายเป็นตัวหนังสือญี่ปุ่นถูกห้อยอยู่บนต้นสนบริเวณหน้าวัดซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของวัดชิอนจิอีกอย่างหนึ่ง 

Chionjitemple-3

ใครที่อยากลองเสี่ยงเซียมซีที่วัดก็มีเซียมซีให้เสี่ยงในราคาเริ่มต้นที่ 100 เยน (ส่วนเซียมซีพัด ราคา 300 เยน) นอกจากนี้ยังมีเครื่องรางแบบญี่ปุ่นจำหน่ายอีกด้วย ถ้าเสี่ยงเซียมซีเสร็จแล้ว หากเสี่ยงได้ “โชคดี” ให้นำพัดกลับมาไทย แต่ถ้าเสี่ยงได้ผลไม่ค่อยดีก็ให้นำไปแขวนไว้ที่ต้นสนหน้าวัดนะ

Chionjitemple-16

Chionjitemple-15

อีกหนึ่งไฮไลท์ของเมืองมิยาซุที่ผมไม่พลาดก็คือการมาชม สะพานไคเซ็นเคียว สะพานสีแดงที่เชื่อมไปสู่สันทรายอามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate) และยังเป็นสะพานที่สามารถหมุนได้ 90 องศาเพื่อให้เรือแล่นผ่าน ซึ่งอย่างน้อย เรือท่องเที่ยวจะแล่นผ่านในเวลา 10.00 น. ของทุกวัน (วันอาทิตย์ สะพานจะหมุนทุกๆ ชั่วโมงตั้งแต่ เวลา 11.00-15.00 น.) เป็นอีกหนึ่งจุดที่สร้างความตื่นตาตื่นใจสุดๆ 

Kaisenkyo-12

Kaisenkyo-16

เมื่อเดินข้ามสะพานไคเซ็นเคียวมาแล้วก็จะเห็นหาดทรายและน้ำทะเลใสๆ ริมสันทรายอามาโนะฮาชิดาเตะ และยังสามารถมองเห็นวิวหมู่บ้านที่อยู่บนฝั่งชายหาดตรงข้ามได้อีกด้วย

Kaisenkyo-22

Kaisenkyo-36

เห็นวิวใกล้ๆ ของสันทรายอามาโนะฮาชิดาเตะกันไปแล้ว คราวนี้ลองขึ้นไปดูวิวจากมุมสูงที่ Amanohashidate View Land กันบ้าง ซึ่งถือได้ว่าเป็นสุดยอดไฮไลท์ที่มาถึงเมืองนี้แล้วไม่ควรพลาด การขึ้นไปด้านบนจุดชมวิวก็มีให้เลือก 2 แบบคือ กระเช้า Monorail และ เก้าอี้ Chairlift ราคา 850 เยน/คน ขาขึ้นผมเลยลองนั่งกระเช้า Monorail ขึ้นไปก่อนละกัน 

Amanohashidateviewland-9

เมื่อผมขึ้นมาถึง Amanohashidate View Land วิวที่ผมเห็นอยู่ข้างหน้าทำให้ผมได้รู้แล้วว่า..เพราะอะไรจุดชมวิวนี้ถึงเรียกได้ว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น และนี่คืออามาโนะฮาชิดาเตะหรือ สะพานสู่สรวงสวรรค์ ที่ตามจินตนาการของคนญี่ปุ่นบอกว่ามีลักษณะคล้ายกับตัวมังกรที่เชื่อมกันระหว่างสองแผ่นดินด้วยความยาวประมาน 3.6 กิโลเมตร

Amanohashidateviewland-16

Amanohashidateviewland-15

และผมก็ไม่พลาดที่จะมาทำท่าโก้งโค้งมองลอดใต้หว่างขา ซึ่งคนญี่ปุ่นบอกว่าจะทำให้เห็นอามาโนะฮาชิดาเตะในมุมมองที่แตกต่างไปอีกแบบ

Amanohashidateviewland-17

ด้านบน Amanohashidate View Land ก็ยังมีสวนสนุกและ Hiryukan-Kairo จุดชมวิวลอยฟ้าที่สามารถเห็นวิวอามาโนะฮาชิดาเตะได้ชัดยิ่งกว่าเดิม และยังเป็นมุมสวยๆ ที่เอาไว้ถ่ายรูปอีกด้วย 

Amanohashidateviewland-42

Amanohashidateviewland-72

ขากลับ ผมเลยเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งเก้าอี้ Chairlift ลงบ้าง ทำให้ได้สูดอากาศและสัมผัสความหนาวไปแบบเต็มๆ 

Amanohashidateviewland-79

มื้อเที่ยงวันนี้ผมไปที่ร้าน Hashidate Daimaru ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องเมนูพื้นเมืองมิยาซุ ที่มีทั้งข้าวอบปู เทมปุระ ซุปมิโซะ และเซตอาหารทะเลนึ่งที่เสิร์ฟคู่กับหมูนึ่งร้อนๆ 

Hashidatedaimaru-3

Hashidatedaimaru-10

กินอาหารกันอิ่มแล้วที่ชั้นล่างของร้านยังมีร้านขายขนมพื้นเมืองและของฝากอร่อยๆ ให้เราเลือกชิมและเลือกซื้อติดมือกลับไปอีกด้วย

Kanshichichaya-11

ก่อนกลับผมเลยแวะที่ร้าน Kanshichi Chaya ร้านโมจิเก่าแก่ที่ตั้งอยู่หน้าวัดชิอนจิ และยังเป็นร้านโมจิที่มีชื่อเสียงของย่านนี้ คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าไหว้พระที่วัดชิอนจิแล้วจะต้องมากินโมจิกันที่ร้านนี้แล้วจะฉลาดและประสบความสำเร็จ

Kanshichichaya-14

โมจิถั่วแดงเหนียวนุ่มแบบต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ กินคู่กับชาร้อนๆ 

Kanshichichaya-5

Kanshichichaya-3

อีกหนึ่งสถานที่ที่ผมจะเดินทางไปต่อ เป็นสถานที่ที่พอผมบอกว่าเป็นหมู่บ้านชาวประมง หลายๆ คนคงเกิดความสงสัยว่าไปญี่ปุ่นจะไปทำไมที่หมู่บ้านชาวประมง แต่หมู่บ้านชาวประมง อิเนะ (Ine no Funaya) ทางตอนเหนือของเกียวโต เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ และยังขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น บ้านแต่ละหลังที่ตั้งเรียงรายติดชายฝั่งของอ่าวจะมีโรงจอดเรือไว้ที่ชั้นล่างของบ้านทำให้เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร และเรียกบ้านสไตล์นี้ว่า ฟุนายะ และใช้เวลาเดินทางจากอามาโนะฮาชิดาเตะประมาน 1 ชั่วโมง

Thefunayaofine-3

Boataroundinebay-25

Thefunayaofine-12

ผมเดินมาเจอบรรยากาศภายในหมู่บ้านอิเนะ ซึ่งมีทั้งร้านสาเกญี่ปุ่นและบ้านเรือนเก่าๆ เป็นมุมที่สวยแปลกตาไปอีกแบบ

Thefunayaofine-29

Thefunayaofine-27

อีกหนึ่งไฮไลท์ของหมู่บ้านอิเนะที่ผมไม่พลาดก็คือการ ล่องเรือทัวร์ในอ่าวอิเนะ ชมบรรยากาศของบ้านเรือนรอบๆ อ่าว ราคา 680 เยน/คน

Boataroundinebay-16

Boataroundinebay-16

Boataroundinebay-16

บนเรือยังมีกิจกรรมให้อาหารนกแบบใกล้ชิดสุดๆ เมื่อเรือแล่นออกไปกลางอ่าวก็จะมีนกนางนวลและเหยี่ยวมารับอาหารไปจากมือเรา

Boataroundinebay-21

Boataroundinebay-21

สำหรับการเดินทางมาที่หมู่บ้านอิเนะก็สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ โดยรถสาธารณะ สามารถนั่งรถไฟ JR มาลงที่สถานี Amanohashidate และนั่งรถบัสต่อมาที่หมู่บ้านอิเนะได้ จาก Amanohashidate ใช้เวลาเดินทางประมาน 1 ชั่วโมง 

Onthewayine-2

อยู่ชมบรรยากาศของหมู่บ้านอิเนะนานพอสมควรก่อนที่ผมจะเดินทางไปต่อที่โรงแรม Hotel MARE Takata ซึ่งเป็นที่พักของผมสำหรับคืนนี้ ใช้เวลาเดินทางจากอิเนะประมาน 1 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงโรงแรมก็เป็นช่วงเย็นพอดี ซึ่งในวันนี้ทางโรงแรมก็ได้จัดเซ็ตบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นแบบฟิวชั่นและแบบดั้งเดิมไว้ให้ซึ่งมีทั้งเนื้อย่างแบบ Medium Rare เนื้อปลาแซลมอนสดๆ และข้าวปั้นสไตล์ญี่ปุ่น

Maretakata-4

Maretakata-8

กินมื้อเย็นอิ่มแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องขึ้นห้องพัก ภายในห้องพักของโรงแรม Hotel MARE Takata มีพื้นที่ขนาดกระทัดรัดพร้อมหน้าต่างบานใหญ่สำหรับมองวิวทะเลได้แบบเพลินๆ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน

Maretakata-1

สำหรับวันนี้ผมต้องขอตัวไปนอนก่อนนะครับ เพราะวันพรุ่งนี้ผมจะต้องเดินทางไปเที่ยวถึงจังหวัดชิกะ จังหวัดที่มีทะเลสาบบิวะซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นเมืองที่ซ่อนไปด้วยความเป็นกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นแท้ๆ อีกแห่งหนึ่งของภูมิภาคคันไซ


Day4 

เช้าวันที่ 4 ของทริป วันนี้ผมจะไปเที่ยวที่จังหวัดชิกะ (Shiga) ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการเดินทางไปประมาน 2 ชั่วโมง แต่ถึงอย่างไรก็ตามกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง เช้านี้ที่โรงแรม Hotel MARE Takata ก็มีบุฟเฟ่ต์สำหรับมื้อเช้าให้เราได้กินแบบจัดเต็มอีกครั้ง

Maretakata-14

บรรยากาศยามเช้ารอบๆ โรงแรมและมุมถ่ายรูปสวยๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม มีทั้งวิวริมอ่าวและคลองสวยๆ ที่มีเรือจอดเทียบท่าอยู่มากมาย

Maretakata-21

Maretakata-22

เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแล้ว เดินทางอีกประมาน 2 ชั่วโมง ผมก็มาถึง ย่านคุโรคาเบะสแควร์ (Kurokabe Square) จังหวัดชิกะ ซึ่งเป็นย่านที่มีชื่อเสียงเรื่องศิลปะการทำเครื่องแก้ว และยังเป็นแหล่งช็อปปิ้งสไตล์ย้อนยุคที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบบิวะ (Lake Biwa) ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น บรรยากาศรอบๆ ย่านคุโรคาเบะสแควร์มีทั้งคาเฟ่และร้านอาหารอร่อยๆ อยู่มากมาย 

Kurokabesquare-2

มาถึงถิ่นที่มีชื่อเสียงเรื่องศิลปะการทำเครื่องแก้วทั้งที ผมก็ไม่พลาดที่จะลองเวิร์คช็อปทำศิลปะจากเครื่องแก้วสักหน่อยที่ Kurokabe Taiken Kyoshitsu สถานที่เวิร์คช็อปเกี่ยวกับศิลปะเครื่องแก้วซึ่งมีอยู่มากมายหลายแบบหลายเทคนิคในการทำ แต่วันนี้ผมลองมาเวิร์คช็อปเทคนิคการทำแบบ Sandblast หรือการพ่นทรายลงบนพื้นผิวของแก้ว ราคา 1,620 เยน/คน ใช้เวลาในการทำประมาน 45 นาที วิธีการทำก็ไม่ยากเพียงแค่ตัดสติ๊กเกอร์ให้เป็นรูปตามที่เราต้องการและแปะลงบนแก้ว แล้วนำไปเข้าเครื่องพ่นทรายซึ่งจะมีสตาฟคอยดูแลตลอดในการทำเวิร์คช็อป

Taikenkyoshitsu-3

ก็จะได้แก้วลายน่ารักๆ ตามความต้องการของเรา ซึ่งเป็นแก้วที่มีเพียงใบเดียวในโลก

Taikenkyoshitsu-8

มื้อเที่ยงวันนี้ผมมาต่อที่คาเฟ่ชื่อดังที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านคุโรคาเบะสแควร์ ที่มีชื่อร้านว่า 96 Cafe และเมนูซิกเนอเจอร์ของทางร้านก็คือ Hamburg of Omi Pork ราคา 980 เยน และ Maple butter toast ราคา 550 เยน และปิดท้ายด้วยของหวานที่เป็นเมนูเด็ดจากทางร้าน ที่มีชื่อว่า Kurokabe Roll ราคา 450 เยน กินเค้กพร้อมจิบชาอังกฤษร้อนๆ เป็นอะไรที่เข้ากันสุดๆ

Kurokabesquarecafe-1

Kurokabesquarecafe-1

Kurokabesquarecafe-1

มุมสวยๆ ของย่านคุโรคาเบะสแควร์ที่มีทั้งร้านขายของฝากและร้านขนม และมีป้ายเด็กผู้ชายกำลังข้ามถนนเป็นสัญลักษณ์ที่คอยเตือนว่าถนนตรงนี้จะมีเด็กเดินข้ามอยู่บ่อยๆ ซึ่งมีจุดกำเนิดที่ย่านคุโรคาเบะสแควร์ ที่ต่อมานำไปใช้ทั่วทั้งจังหวัดชิกะ

Kurokabesquare-1

Kurokabesquare-4

เดินชมย่านคุโรคาเบะสแควร์จนเต็มที่แล้ว ผมไปต่อกันที่ โอมิฮาชิมัง (Omihachiman) เมืองประวัติศาสตร์ริมทะเลสาบบิวะ ในจังหงัดชิกะ ที่มีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ต้องห้ามพลาดคือการล่องเรือไปตามบึงที่รายล้อมไปด้วยทุ่งต้นกกที่ทะเลสาบ Lake Nishinoko ของหมู่บ้าน มารุยามะ (Maruyama) ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากคุโรคาเบะสแควร์ประมาน 1 ชั่วโมง มาถึงแล้วผมก็ไม่รอช้ารีบไปล่องเรือทันที

Omihachimanboat-4

Omihachimanboat-14

ผมใช้เวลาในการล่องเรือประมาน 50 นาที และระหว่างเวลาที่อยู่บนเรือเป็นเวลาที่ผมไม่รู้สึกเบื่อเลย เพราะผมได้เห็นธรรมชาติที่แปลกตา ได้สัมผัสความหนาวเคล้ากับเสียงเพลงญี่ปุ่นโบราณที่เปิดตลอดการล่องเรือ นอกจากนี้บนเรือยังมีผ้าห่มและหมอนอุ่นหรือคนญี่ปุ่นเรียกกันว่า ยุทัมโปะ อีกด้วย

Omihachimanboat-22

Omihachimanboat-26

ผมมาที่นี่ช่วงหน้าหนาวก็เลยได้เจอกับต้นกกสีเหลือง แต่ถ้าใครที่อยากมาเจอต้นกกสีเขียวแนะนำให้มาช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม ค่าเรือราคา 2,160 เยน/คน (ราคาอาจเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและเส้นทาง)

Omihachimanboat-36

ล่องเรือชมธรรมชาติเสร็จก็ไม่รอช้าเดินทางต่อไปอีกประมาน 10 นาที ก็มาถึงย่านประวัติศาสตร์ของเมือง โอมิฮาชิมัง (Omihachiman) เมืองแห่งสายน้ำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และในอดีตเคยเป็นเมืองแห่งการค้าที่มีความเจริญมากว่า 500 ปี 

Omihachimanwalkaround-5

Omihachimanwalkaround-6

เดินไปอีกไม่ไกลก็จะเจอ ถนนชินมาจิ ย่านที่ยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนเก่าแก่ของบรรดาพ่อค้าที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะจนถึงสมัยเมจิ ทำให้ได้สัมผัสถึงบรรยากาศญี่ปุ่นแบบเก่าๆ อย่างแท้จริง

Omihachimanwalkaround-21

Omihachimanwalkaround-20

ระหว่างทางที่ผมเดินไปที่ศาลเจ้าฮิมุเระฮาจิมังกู ก็เจอจุดถ่ายรูปสวยๆ ตลอดทาง อย่างจุดนี้คือชุมชนริมน้ำมีสองฝั่งคลองเรียงรายไปด้วยต้นซากุระ 

Omihachimanwalkaround-35

Omihachimanwalkaround-34

Omihachimanwalkaround-28

เดินชมบรรยากาศมาเรื่อยๆ ก็มาถึง ศาลเจ้าฮิมุเระฮาจิมังกู (Himure Hachiman-Gu Shrine) ศาลเจ้าที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอมิฮาชิมังและเป็นสถานที่ที่คนในท้องถิ่นให้ความเคารพมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังมีความเชื่อเรื่องการค้าขายกิจการรุ่งเรืองอีกด้วย ยิ่งใหญ่และสวยงามตั้งแต่ประตูทางเข้าวัดกันเลยทีเดียว

Omihachimanwalkaround-33

Omihachimanwalkaround-36

ก่อนเข้าไปที่ศาลเจ้าก็ต้องมาชำระล้างร่างกายตามธรรมเนียมแบบญี่ปุ่นกันสักหน่อย โดยมีวิธีการชำระล้างร่างกายง่ายๆ คือ 1.ตักน้ำขึ้นมาด้วยมือขวาและเทใส่มือซ้าย 2.นำน้ำที่อยู่ในมือซ้ายมาบ้วนปาก และ 3.ยกที่ตักน้ำขึ้นให้น้ำที่เหลือค่อยๆ ไหลลงไปที่พื้น

Omihachimanwalkaround-37

Omihachimanwalkaround-38

เมื่อผมชำระล้างร่างกายตามธรรมเนียมของศาลเจ้าแห่งนี้เสร็จแล้วก็เดินเข้ามาที่ด้านในก็จะเจอศาลเจ้าชินโตเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี และยังมีวิธีการขอพรคือ ให้โยนเหรียญลงไปในกล่องทำบุญและสั่นกระดิ่งที่แขวนอยู่ด้านหน้า จากนั้นโค้งคำนับ 2 ครั้ง ปรบมือ 2 ครั้ง และโค้งคำนับอีก 1 ครั้ง และอธิษฐานขอพร ใครที่อยากค้าขายร่ำรวยแนะนำให้มาขอพรที่นี่เลย

Omihachimanwalkaround-41

Omihachimanwalkaround-39

สำหรับวิธีการเดินทางมายัง คุโรคาเบะสแควร์ ด้วยรถสาธารณะสามารถนั่งรถไฟ JR มาลงได้ที่สถานีนางาฮามะ (Nagahama) และเดินเท้าอีกประมาน 5 นาที ส่วนวิธีการเดินทางด้วยรถสาธารณะมายัง โอมิฮาจิมัง ต้องนั่งรถไฟ JR จากสถานีเกียวโต (Kyoto) มายังสถานีโอมิฮาจิมัง (Omihachiman) ใช้เวลาประมาน 35 นาที สำหรับวันนี้ผมเดินเที่ยวมาทั้งวันแล้ว ก่อนกลับโรงแรมก็เลยมาแวะที่ร้าน Shijimi Chaya Koshu ร้านข้าวอบหม้อดินสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ตัวร้านตกแต่งด้วยไม้แบบสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม

Shijimicurry-11

เพียงแค่เดินเข้ามาในร้านก็ได้กลิ่นหอมๆ ของแกงกะหรี่ ยิ่งทำให้ผมไม่รอช้าสั่งข้าวอบหอยชิจิมิราดแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่นแท้ๆ มากินเป็นการปิดท้ายทริป 5 วัน 4 คืน เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกของผม

Shijimicurry-6

Shijimicurry-10

สำหรับคืนนี้ผมพักที่ Nikko Kansai Hotel Airport โรงแรมใกล้สนามบินคันไซ ที่สะดวกต่อการไปเช็คอินไฟล์ทบินกลับเมืองไทยเช้าๆ แบบผม และที่สำคัญห้องพักของโรงแรมก็หรูหราและสามารถนอนได้ห้องละ 2 คน

Nikkokansai-2

Nikkokansai-5

สำหรับทริปนี้ผมต้องขอขอบคุณองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ที่จัดงาน FAM Trip ในการไปตะลุยเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกของผมในแถบคันไซและที่สำคัญยังเป็นรูทใหม่ๆ ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักอีกด้วย และหวังว่าเพื่อนๆ ชาวทริปเก็ทเตอร์จะใช้ทริปนี้เป็นทริปตัวอย่างในการไปตะลุยญี่ปุ่นในแถบคันไซ รับรองเลยว่าประทับใจจนอยากจะกลับไปอีกครั้งอย่างแน่นอน…


อ่านต่อรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก!!
ทริป 5 วัน 4 คืน ตะลุย 3 เมืองในแถบคันไซกับเส้นทางใหม่ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก Part 1

 


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ