เรื่องเล่าจากการเดินทาง อินเดีย 23 วัน กับ Together 2 Ray in leh (เลห์ ลาดักห์)
7,450 ครั้ง
5 ธ.ค. 2559
7,450 ครั้ง
5 ธ.ค. 2559
” สิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลก มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่จะรู้สึกได้จากหัวใจ “
– Helen Keller กวีชาวอเมริกัน –
สวัสดีครับ หายไปนานในการท่องเที่ยวตามแบบฉบับของตนเอง ตามใจตัวเอง เส้นทางที่เราเลือกกันเองนะครับ ต้องขอบคุณจริงๆ จนทุกวันนี้ก็ยังมีคนติดตามกันอยู่เรื่อยๆ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้กลับมาอัพเดทเพิ่มเติม จนจะมีทริปยุโรป ครั้งที่ 2 แบบแบคแพค นาน 100 กว่าวัน ตอนนี้ได้วีซ่ามาเรียบร้อยแล้วครับ 19 กรกฎาคม นี้ก็บินแล้ว ยังไงฝากติดตามกัน ได้เรื่อยๆ ที่หน้าเพจได้เลยครับหรือไม่ก็ช่วงตะลุยยุโรป อาจจะมาอัพเดทเรื่อยๆ สำหรับทริป ตะลุยภาค 2 นะครับ https://www.facebook.com/TheSecretLifeofMars ไปติดตามกันได้เลยครับ
ชีวิตจริง คุณมีแค่เทคเดียว ถ้ามันแย่ คุณต้องยอมรับมัน
การยอมรับในโชคชะตาที่แสนเลวร้าย พอเราผ่านมันมาได้แล้ว มันกลายเป็น บทเรียนที่ดีที่สุด บทเรียนนี้มันจะสอนเราไปตลอดชีวิต และนานวันเข้ามันอาจจะ กลายเป็นเรื่องที่แสนจะตลก ในสายตาของเรา อีกเรื่องหนึ่งไปเลยก็ได้…ว่ามั้ยครับ
โดยเรื่องราวการเดินทางครั้งนี้ ผมจะมาแนวเล่าเรื่องที่ไปพบเจอมากกว่านะครับ ตลอดอินเดีย 23 วัน เราต้องเจอกับอะไรบ้าง เราทำอะไร เราลำบากขนาดไหน เราสนุกขนาดไหน เราป่วยยังไง เพราะใครๆ ก็ไปมาแล้ว เลห์ ลาดักห์ แต่แน่นอนเรื่องราวที่แต่ละคนเจอ แต่ละคนในช่วงเวลาการ ท่องเที่ยวมันแตกต่างออกไปครับ เรื่องเล่าจะประกอบภาพไปด้วยเรื่อยๆ ครับ ภาพถ่ายของผมหวังว่า จะพอดูได้นะครับ มือสมัครเล่นด้วย ฝึกหัดใส่ลายน้ำกันเลยเพราะงานนี้แหละ และผมเชื่ออยู่อย่าง ภาพถ่าย รูปถ่ายของเรา ไม่ว่าจะสวยงามหรือขี้เหร่ มันก็ยังเป็นเครื่องมือบอกช่วงเวลาดีๆ ของเรา สิ่งที่น่าจดจำได้เสมอครับ และผมเองก็เชื่อว่าการเดินทางของเราในทุกๆ ทริปนั้น มีความหมายที่ดี และเรื่องเล่าที่สนุกสนานไปด้วยกัน ระหว่างเพื่อนๆ หรือระหว่างทางที่เราได้ออกไปสัมผัสครับ
แน่นอนครับ การเดินทางทุกครั้งมีความหมาย การเริ่มต้นเดินทางแต่ละครั้งมันคือช่วงเวลา ที่ทำให้เราตื่นเต้นกันไปเรื่อยๆ ครับ แต่ทริปนี้มันตื่นเต้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยครับ ก็เพราะว่า…. เพราะว่าการเดินทางครั้งนี้ของเรา ไม่มีแบบแผน ไม่มีแพลนที่แน่นอนอะไรเลย เรารู้เพียงอย่างเดียวว่า เรากำลังกำตั๋วเครื่องบินไปกลับ อินเดียกันอยู่ และตะลอนเที่ยวถึง 23 วัน ในดินแดนอินเดียตอนเหนือนั้นเอง ขนาด ณ วันบินผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปที่ไหน พักที่ไหน มีคนมารับหรือไม่ เอาแหละครับท่านผู้ชม มันก็มีเรื่อง ให้ตื่นเต้นตลอดเวลาจริงๆ ฮ่าๆๆ และอีกอย่างก็คือเราก็ยังไม่รู้ว่า อินเดีย 23 วันครั้งนี้ จะได้เที่ยวอะไรบ้าง…..
โดยปกติแล้ว ผมมักเป็นนักเดินทางคนเดียวครับ ชอบไปไหนคนเดียว เที่ยวคนเดียว เพราะมันสะดวกไปหมดทุกอย่าง เพราะทริปใหญ่ครั้งก่อน ยุโรป 58 วัน ผมก็ลุยเดียวมาแล้ว มันมีทุกอารมณ์ครับ สนุกสนาน มันส์ เหงา เบื่อ เศร้า มีเพื่อนใหม่ๆ จากฝั่งยุโรปอีกหลายคนเลย ใครๆ ก็ชอบเมืองไทยครับ ยังไงทริปนั้นและทริปต่อไปก็ติดตามกันได้ที่เพจ หรือที่นี่นะครับ ต่อไป จะทำตัวขยันๆ มาอัพเดทกันให้เรื่อยๆ ครับบบบบ จะไม่ดองเค็มอีกแล้ว แต่ทริปเลห์ครั้งนี้ ผมไปทั้งหมดจากไทย 3 คนครับ รวมผม 4 คน และรอที่อินเดียอีก 1 มาจากรัสเซีย เป็นเพื่อนพี่ ในทริปครับ กลายเป็นทั้งหมด 5 ชีวิต (แต่มีตามไปทีหลังอีก 4 ครับ เที่ยวรถ 2 คัน) ส่วนผมผมมาในฐานะอะไรเหรอ จริงๆ พี่ๆ ในทริปอาจจะตั้งความหวังไว้กับผมมากว่า ทั้งช่วยดูแลพี่ๆ เรื่องกระเป๋า ดูแลการยกกระเป๋า ช่วยถ่ายรูปด้วย เพราะชอบถ่ายรูปมากที่สุด แต่พอไปจริงๆแล้ว ทั้งทริปผมป่วยหนักสุดเลยครับ ป่วยต่อเนื่อง ป่วยยันวันกลับ ป่วยทุกวันไอ หวัด ปวดขา ปวดหัว กินยากลำบาก ผมว่าจริงๆ ผมกลายเป็นภาระของพี่ๆ ไปแล้วก็ว่าได้ครับ ผมก็อดสงสารๆ พี่ๆ ไม่ได้เลย แต่หวังว่าพี่ๆเค้าจะเต็มใจ ใช่ไหม ฮ่าๆ
เอ่อ ผมชื่อ เร นะครับ ผมเลยตั้งลายน้ำว่า Ray in Leh ผมยังคงอินมากๆ กับทริปที่พึ่งจบไปครับ เพราะผมไม่เคยคิดว่า ที่นี่ประเทศอินเดียมันจะสวยอลังการได้ขนาดนั้นจริงๆ ถ้าผมไม่ได้ไปด้วยตัวเอง ก็คงไม่รู้ คิดถึงเธอจัง เลยต้องหันกลับมาทำกระทู้อีกครั้งครับ ผมอยากจะเล่าเรื่องราว จะได้เหมือนไปเที่ยว ไปด้วยกัน ในทริปนี้ เนื่องจากผมก็ยังคงทำงานเป็น หัวหน้าทัวร์ฟรีแลนซ์ (TOUR LEADER ) นั้นเองครับ จึงทำให้ก่อนหน้า ไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่มีเวลาหาข้อมูลการท่องเที่ยวอะไรเลย อีกอย่างก็พึ่งกลับมาจาก ทริปญี่ปุ่น 10 กว่าวันครับ นำเพื่อน เที่ยวฮอกไกโด เพื่อนเค้าจ้างพาเที่ยว สนุกสนานสุดๆเลยครับ เลยได้เงินค่าจ้างมาเที่ยวอินเดียพอดีเลย
แต่ก่อนที่ผมจะเล่าว่าไปเจอกับอะไรมาบ้าง ผมอยากจะพูดถึงเรื่องนี้ก่อนครับ เรื่องราวความประทับใจ ที่ผมได้ยินมาจากพี่ในทริปที่ไปด้วยกัน พี่เค้าชอบอินเดียมาก มาอินเดียบ่อยมากๆ ครับ นั้นก็เลยเป็นกุศล ผลพวงที่ผมขอพวงติดท้ายลำมาด้วย หวังว่าพี่เค้าจะไม่ลำบากใจ ถ้ามาเจอผมเพ้อในนี้ จากที่พี่เค้าเคยมาเที่ยวเลห์ ลาดักห์ แล้วหลายครั้ง ตอนที่เราไปพันกองกัน ทะเลสาบแห่งนี้ใครๆ ก็ต้องไป มันเป็นสุดยอดไฮไลท์ที่ใครๆก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เล่นเอาผมเกือบตายเลย กับถนนที่สุงที่สุดในโลกครับ พี่เค้าได้เล่าเรื่องราว ที่ได้พบเจอในทะเลสาบครับ มันคือเรื่องราวที่ผมฟังแล้ว ประทับใจจนซึ้งกันเลยแหละ ยังไงผมจะเล่าให้ฟังพร้อมภาพถ่าย บรรยายกาศนะครับ ถึงภาพจะไม่สวยเท่าไหร่ ทนๆ ไปก่อน
เรื่องเล่าจาก “ทะเลสาบพันกอง” ทุกการเดินทาง มักจะมีเรื่องเล่า ทุกการเดินทาง มักจะมีเรื่องราวไว้ ทุกการเดินทาง มักจะมีความหมาย ทุกการเดินทาง มักจะมีความทรงจำ ทุกๆ การเดินทาง จะมีความสำคัญ
กับใครซักคนหนึ่ง แต่ในวันที่คนคนนั้น ไม่ได้เดินอยู่เคียงข้างเราอีกต่อไป การจากไปอย่างไม่มีวันกลับ มักเจ็บปวด แต่การกลับมา ในสถานที่ที่เราสองคน เคยเดินเคียงคู่กันแล้ว มันทำให้หัวใจ อีกคนหนึ่งที่ยังอยู่ กลับมาพองโตอีกครั้ง มันก็สมควร สำหรับคนที่ยังอยู่ที่จะกลับมา
ทะเลสาบพันกอง เมื่อสอง ตา ยาย เดินทางมาถึงทะเลสาบแสนสวยแห่งนี้ ความกว้างใหญ่ไพศาล ที่มีภูเขาสูงเป็น ฉากหลัง ทอดตัวยาวโอบล้อมทะเลสาบ สีน้ำเงินเข้ม ที่มีสีสันลงตัวดั่งภาพวาดไว้ เมื่อแรกเจอ จึงเกิดความหลงรักและความ ประทับใจของทั้งคู่ เค้าจึงได้สัญญากันว่า เราจะกลับมาทะเลสาบแห่งนี้ในทุกๆ ปี
เรื่องจะจบอย่างบริบูรณ์และมีความสุข ถ้าไม่ใช่ความตาย ที่มาพรากชีวิตคุณตา ก่อนเวลาอันควร แล้วสัญญาที่ได้ว่ากันไว้ จะเกิดขึ้นได้เช่นไรกันล่ะ แต่เมื่อคุณยาย ไม่อยากจะละทิ้งความสิ้นหวัง และสัญญา ที่ได้ให้กันเอาไว้ ยามได้เดินทางมาที่แห่งนี้ คุณยายเลยออกเดินทาง มาที่นี่แทนคุณตา ในทุกๆ ปี เมื่อความตาย ไม่อาจสามารถ ทำลายความทรงจำดีๆ ที่ได้ให้กันเอาไว้
เมื่อคุณยาย จะทำตามสัญญา จึงหอบความทรงจำสองเรากลับมา หอบความหวัง และหอบหิ้วเถ้ากระดูก เดินทางมาพร้อมๆ กันในครั้งนี้ เพื่อที่ ไปโปรยเถ้ากระดูกของคุณตาเอาไว้ ให้สายลมได้นำพาคุณตา ได้อยู่ใน สถานที่แห่งสุดท้าย ท่ามกลางขุนเขา สายน้ำ ที่เราสองคนได้เดินทางมาที่นี่ แห่งนี้ไปพร้อมกัน และคงจะอยู่ด้วยกัน ตลอดไปและในทุกๆ ปี จนกว่าอีกหนึ่ง ชีวิตที่ยังอยู่ จะตามไปอยู่กับคุณตา ณ ทะเลสาบพันกองแห่งนี้
เรื่องจริง อันแสนเศร้า จากคุณยายฝรั่งคนหนึ่ง ที่เดินเพียงลำพัง คนเดียว
ทุกๆ การเดินทาง มันมีเรื่องราวที่ซ่อนตัวอยู่มากมายไปหมดครับ รอบตัวเราครับ บางเรื่องก็น่าจดจำ บางเรื่องก็ไม่น่าจำกลับมา แต่เราก็เลือกจำมาในสิ่งที่ดีๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้วใช่มั้ยครับ แล้วมุ่งไปกับการเดินทาง ครั้งถัดไป ถึงมันจะมาช้ามาเร็ว อย่างน้อยเราก็ยังมีเรื่องให้ระลึกถึงอีกไม่มีวันจบสิ้น…ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกาลเวลา
ใช้ชีวิตให้เสมือนว่า พรุ่งนี้ ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เรียนรู้ ให้เสมือนว่าท่าน จะอยู่ใน… โลกนี้ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด – มหาตมะคานธี –
เพราะการเดินทาง คงไม่ใช่แค่เพื่อให้เรา ไปให้ถึงจุดหมายที่เรา จะไปให้ถึง แต่ระหว่าง การเดินทางคุณได้อะไรไปบ้าง แต่สำหรับเราแล้ว มันคือ รอยยิ้ม, คำทักทายโบกมือบ๊ายบาย ที่มอบให้ ระหว่างการเดินทางเสมอๆ
สำหรับเมืองที่น่าค้นหาในทุกๆวัน เพราะเช้าวันถัดไปเรื่อยๆ เราก็จะ ได้ไปเจอกับสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ วิวใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ พร้อมเรื่องราว ที่สนุกสนาน ระหว่างการเดินทางกับวิวสุดอลังการ รอบ 360 องศา คือความแปลกใหม่ ที่ไม่สามารถทำให้เรานั่งนิ่งๆ หรือหยุดดูเฉยๆ ต้องคว้ามือถือ กล้องมาตลอดเวลา
มาต่อเรื่องเที่ยวของเรากัน ต่อเลยจากสนามบินมาแล้ว โดยการท่องเที่ยวตลอด 23 วัน ของเรา มันก็ไม่ได้มีแบบแผนตายตัวเท่าไหร่ และตามแพลนขนาดเรามาสนามบิน เรายังต้องมาลุ้นชื่อลุ้นป้ายรับ ที่สนามบินอยู่เลยว่าจะมีมั้ยนะ แต่ในที่สุดเราก็มีคนมารับจริงๆด้วย ดีใจ เนื่องจากคณะเรา ก็คือมีพี่ที่เค้ามีเพื่อนเป็นคนอินเดียที่เลห์นั้นแหละ ค่อยดูแลจัดการสิ่งต่างๆ ให้เรา แต่คณะเรากับเค้าก็ ติดต่อกันลำบากอยู่แล้ว จึงทำให้การเดินทางในวันเริ่มต้นก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอีก นั้นก็คือ เราหวังไว้ว่าเราจะเดินทางโดยรถยนต์ไป เมืองเลห์ ลาดักห์ เมืองที่ใครๆ บอกว่าสวยราวกับสวรรค์บนดิน กันเลยทีเดียว แต่การเดินทางของเราก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า เส้นทางที่เราจะไป มีปัญหาทางขาด น้ำแข็ง ถล่มก็ว่าไปจึงทำให้เรา ต้องบินตรงเท่านั้น นั่นไง จาก เดลี ต้องบินไปลง เมืองเลห์โดยตรงเลยเหรอ สิ่งที่กลัวๆ กังวลๆ กันไว้นั้นก็คือ เรื่องอาการแพ้ความสูงนั้นเอง เพราะเลห์มีพื้นที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล ก็ตั้งแต่ 3,500 เมตรเป็นต้นไป เอาแล้วสิ งานเข้าแล้ว ยาก็ไม่ได้กิน ยาพวกระงับอาการแพ้คาวมสูงนั้นเอง
โดยที่ได้ยินมาว่า มี 2 โปรแกรมที่เที่ยว ยังไงก็ต้องไป เพราะถือเป็นไฮไลท์กันเลยทีเดียวครับ นั้นก็คืออออ
1. “หุบเขานูบร้าวัลเลย์” หมู่บ้านที่สวยงาม ไฮไลท์อยู่ที่การเดินทาง เพราะเราต้องไต่ ระดับความสูง ณ บนถนนที่สูงเป็น อันดับ 1 ของบนโลกใบนี้กัน ความสูงที่ 5,602 เมตร จากระดับน้ำทะเลในเส้น Kardungla Pass และยังเจอกับ อันดับ 3 ของโลกอีกด้วยที่ Changla Pass แค่ข้อมูลก็สามารถทำให้เรารอค่อยวันที่จะได้เดินทางกันแล้วล่ะ
2. “ทะเลสาบพันกอง” หรือ เรียกใน ภาษาถิ่นว่า Pangong Tso ถือว่าเป็น “ทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุดในโลก” เรามาเจอแต่ที่สุดในโลกกันเลยน่ะ ฮ่าๆ น้ำทะเลสาบสีฟ้าของ ทะเลสาบพันกอง ซึ่งมีความยาวถึง 40 ไมล์ กว้าง 2-4 ไมล์ คือมีความสูงถึง 14,256 ฟุต จากระดับ น้ำทะเล ใครๆ มาเยือนก็ต้องตกตะลึงกับความสวยงามของทะเลสาบแห่งนี้ เพราะตัวทะเลสาบที่มีภูเขาสูง เป็นฉากหลัง แถมถ้าเราไปเยือนช่วงเย็นน้ำจะมีสีน้ำเงินเข้มส่วนในช่วงเช้าจะมีสีที่อ่อนกว่านิดหน่อยแต่ไฮไลท์ของเราคือ เราไปนอนค้างด้วย เรียกว่า จัดเต็มกันไปเลย
และแน่นอน เรายังคงมีเรื่องให้ประทับใจอีกมากมายเลยครับ โดยยเฉพาะ “หุบเขานูบร้าวัลเลย์” หมู่บ้านที่สวยงามตามแบบธรรมชาติจริงๆ เป็นธรรมชาติ ที่ยังไม่มีอะไรมาแทรกแซงได้เลย คุณจะสัมผัสกับความเป็นธรรมชาติของหมู่บ้าน ภูเขา ลำธาร ทุ่งนาการเกษตร อากาศ วิวสวยๆ ความเป็นโคตรมิตรของคนที่นั้น แม้แต่เด็กๆ ก็น่ารักแสนน่ารักจริงๆ ยังไงติดตามกันไปเรื่อยๆ นะครับ เรื่องถัดไป ที่จะมาเล่าคือ ความประทับใจของหมู่บ้านที่เต้มไปด้วยรอยยิ้มของนูบร้าวัลเลย์
การเดินทางมันสอนเราได้หลายสิ่งจริงๆ ความอดทน ความกล้า การเอาตัวรอดต่างๆ นั้นแหละครับ เป็นรสชาติของการเดินทางออกไปสู่โลกกว้างกว่าเดิม…. คืนนี้จะกลับมาอัพเดทครับ
ขอบคุณรีวิวจากสมาชิกพันทิปกับเรื่องเล่าการเดินทางสนุกๆ และภาพสวยๆ