โลวคอส มาสโลวไลฟ์ ในหลวงพระบาง ช่วงโลวซีซั่น
6,408 ครั้ง
13 ก.พ. 2560
6,408 ครั้ง
13 ก.พ. 2560
หลังจากเปิดทริปแรกของปีนี้ ประเดิมด้วยโฮจิมินห์-ดาลัดไปเมื่อตอนต้นปี ก็มาถึงทริปที่ 2 เป็นการกลับไปหลวงพระบางอีกครั้ง หลังจากที่เคยไปมาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน เหตุเกิดจากทางสายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้ออกโปรแลกคะแนน FlyerBonus ลด 70% ประจำปี โดยหลวงพระบางถ้าแลกตามปกติไป-กลับจะต้องใช้แต้มถึง 150+150 คะแนน แต่ในครั้งนี้ใช้คะแนนเพียงแค่ 45+45 คะแนน ฉันจึงไม่พลาดที่จะจับจองเอาไว้
ครั้งนี้เดินทางวันที่ 24-27 พฤษภาคม 2559 ซึ่งตรงกับช่วง Low Season ของหลวงพระบางพอดี นักท่องเที่ยวคงจะน้อยและบรรยากาศเงียบสงบ น่าจะได้บรรยากาศแตกต่างกับครั้งก่อนที่ไปช่วง High เดือนมกราคมอย่างแน่นอน จะเป็นอย่างไรบ้างลองติดตามกัน
(ขอเรียนให้ทราบว่า ความคิดเห็นทั้งหมดในรีวิวนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของคนทำรีวิวเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมรีวิวนี้)
เริ่มต้นกันที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกครั้ง ไม่ได้มาใช้บริการนานมากแล้ว
บางกอกแอร์เวย์สเช็คอินที่ RowF
แต่ทำเว็บเช็คอินมาจากบ้านแล้ว จึงเข้าไปโหลดกระเป๋าได้เลย
มีช่องสำหรับโหลดกระเป๋าโดยเฉพาะ สมาชิก FlyerBonus สามารถโหลดกระเป๋าได้ฟรีถึง 30 กก.
ได้ Boading pass พร้อมทั้งใบ ต.ม.มาแล้ว
กรอกข้อมูลเสร็จ ก็ต้องไปผ่านด่านต.ม.
ผ่านด่านออกมาก็จะเจอสิ่งนี้ก่อน นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันเพียบ
ไปหามื้อเช้ากินกันที่ Lougne ของบางกอกแอร์เวย์สกันก่อน
ไปทางนี้ Lougne จะอยู่ที่A แต่ต้องกลับมาขึ้นเครื่องที่C
ถึงแล้ว ต้องแสดง Boading pass พร้อมหนังสือเดินทางกันก่อน
ผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส มีสิทธิใช้บริการใน Lougne ได้ทุกคน
อาหารจะเป็นพวกของว่าง กินได้ไม่อั้น และไม่จำกัดเวลา
มุมเครื่องดื่มพร้อม Pop corn
ข้าวต้มมัดกลายเป็นสัญลักษณ์ของบางกอกแอร์เวย์สไปเสียแล้ว
แค่นี้ก็อิ่มแล้ว เพราะเดี๋ยวยังจะมีอาหารบนเครื่องอีก
ยังมีเวลาเหลือ ขออีกสักชุดแล้วกัน
อิ่มหนำสำราญแล้ว ได้เวลาเดินไป Gate ชอบมุมนี้จริงๆ
บินด้วยเครื่อง ATR ไม่สามารถเทียบงวงได้ จึงต้องเป็น Busgate ได้ Gate C1A
ถึงแล้ว
คงไม่ผิดแน่ๆ
ได้เวลาพนักงานเรียกไปขึ้นรถบัสที่มาจอดรออยู่แล้ว
รถบัสพามาส่งถึงเครื่องที่หลุมจอด ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติแทบทั้งสิ้น
วันนี้บินกับคุณหัวหิน HS-PGF
ต้องขึ้นทางประตูหลังเท่านั้น
กระจกไม่ค่อยใสนัก และเต็มไปด้วยริ้วรอย แต่กล้องก็ช่วยได้เยอะ ทำให้ถ่ายออกมาไม่ค่อยเห็นริ้วรอยต่างๆ
ออกเดินทางตามกำหนดเวลา
ผู้โดยสารค่อนข้างน้อย น่าจะประมาณ 50%
ไปแล้วนะ
เครื่องบินลงไปทางใต้ก่อน
แล้วตีโค้งซ้ายวกกลับขึ้นเหนือ
เครื่องไต่ระดับเพิ่มความสูงไปเรื่อยๆ
เนื่องจากเป็นเครื่องใบพัด จึงบินไม่สูงมากนัก
นิตยสารฟ้าไทย วารสารประจำเครื่อง
พอเครื่องได้ระดับ พนักงานก็เดินแจกใบ ต.ม. ของลาว
ได้มาแล้ว
จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ขาเข้าและขาออกแบบนี้ อย่าลืมเตรียมปากกาไปด้วย
ได้อาหารมาก่อนคนอื่น
เพราะตอนจองรีเควสไปว่าไม่ทานเนื้อ พนักงานเลยเลือกให้เป็น Special Meal
เปิดออกมาแล้ว
อร่อยหรือเปล่าไม่รู้ แต่ก็หมดเกลี้ยงเลย
อิ่มแล้วก็นั่งชมท้องฟ้าสวยๆระหว่างทาง
พนักงานเข็นเครื่องดื่มมาบริการอีกรอบแล้ว
สั่งน้ำแอปเปิ้ลมากิน เห็นฝรั่งหลายๆคนขอไวน์กัน
ผู้โดยสารน้อย บรรยากาศเลยดูสบายๆ เงียบสงบ
ใกล้จะถึงหลวงพระบาง เครื่องเริ่มลดระดับลงแล้ว
ทิวทัศน์ข้างนอกสวยงามแปลกตา
เครื่องลดระดับต่ำลงทุกที
มองเห็นแม่น้ำคาน สาขาของแม่น้ำโขงคดเคี้ยวอยู่เบื้องล่าง
แม่น้ำโขงเส้นเลือดใหญ่ของเมืองหลวงพระบาง
เครื่องบินเกาะแนวแม่น้ำโขงตลอด เพื่อให้หลีกพ้นจาเทือกเขาสูงโดยรอบ
กำลังจะ Landing แล้ว
เครื่องลดระดับจนเห็นอาคารบ้านเรือนด้านล่างชัดเจน
กำลังจะเข้าสู่เขตสนามบิน
พื้นรันเวย์แล้ว
อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เมื่อ 3 ปีที่แล้วยังใช้หลังเก่าอยู่เลย
เลี้ยวเข้าไปจอดหน้าอาคารผู้โดยสาร
ได้เวลาลงจากเครื่อง
ขอบคุณที่มาส่งโดยสวัสดิภาพนะ
จอดเคียงข้างเจ้าถิ่นที่เป็นเครื่องรุ่นเดียวกัน
มีงวงด้วย 2 งวง แต่คงใช้ได้กับA320 เท่านั้น
ครั้งแรกเมื่อ 3 ปีก่อนเคยบินโดยสายการบินลาวด้วยเครื่องA320จากเวียงจันทน์มายังสนามบินแห่งนี้
ผ่านต.ม. รับกระเป๋าแล้วก็มาแลกเงินกันก่อน ที่สนามบินจะเรทดีกว่าร้านรับแลกเงินในตัวเมือง
ค่าเงินไทยตกต่ำไปมาก จำได้ว่าเมื่อก่อน 1 บาทเคยแรกได้ถึง 250-260 กีบ แต่เดียวนี้ได้แค่ 228 กีบเท่านั้น
แลกไปทั้งหมด 4,500 บาท ได้มา 1,026,675 กีบ แลกไปเผื่อๆไว้ก่อน ถ้าเหลือก่อนกลับก็เอามาแลกคืนที่นี่ได้
ติดต่อรถเข้าเมืองกันที่ตรงนี้ ในราคาคันละ 50,000 กีบ นั่งได้ 3 คน
แต่นั่งคนเดียวอย่างฉันก็เสีย 50,000 กีบเหมือนกัน
ออกเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองแล้ว
ไม่นานก็เข้าเขตเมืองเก่า มองเห็นพระธาตุพูสีอยู่บนยอดเขากลางเมือง
รถมาส่งถึงหน้าที่พัก ได้นัดหมายเวลาวันกลับให้รถมารับที่โรงแรมด้วย
แม่โขงมูนอินน์ เคยมาพักเมื่อครั้งที่แล้ว ค่อนข้างประทับใจ เลยกลับมาพักอีกครั้ง
เป็นโรงแรมเล็กๆระดับ 2 ดาว มีห้องพักอาคารหน้าที่เห็นนี้แค่ 5 ห้อง และยังมีอีกส่วนที่อยู่ในซอยด้านข้างอีก 8 ห้องรวม 13 ห้องเท่านั้น
ห้องพักก็คงจะเหมือนโรงแรมทั่วๆไป แต่ทำเลชนะเลิศ อยู่ใจกลางเมือง ไปไหนสะดวกมาก
เข้าไปเช็คอินกันเลย อาคารหลังนี้มีเพียง 5 ห้องเท่านั้น ชั้นบน 4 ห้องและชั้นล่าง 1 ห้อง
ภายใน Lobby ที่ติดต่อเช็คอิน
ได้ห้องพักหมายเลข 5 ที่อยู่ชั้นบน
พนักงานสาวช่วยหิ้วกระเป๋าขึ้นมาส่งถึงห้องพัก
จองผ่าน Expedia มา 3 คืนรวมอาหารเช้าในราคา 2,501.07 บาท เฉลี่ยแล้วตกคืนละ 833.69 บาท
ห้องพักของเราเมื่อแรกเห็น
ถือว่าดีเกินคาด นอนคนเดียวมีหมอนให้ตั้ง 4 ใบ
มีตู้เย็น ทีวี ไดร์เป่าผม และน้ำให้วันละ 2 ขวด
ที่ชอบมากคือมีระเบียงด้วย เหมาะแก่การนั่งจิบเบียร์ยามค่ำ
8
เข้าไปดูในห้องน้ำกันบ้าง
มีแค่สบู่ก้อนเล็กๆให้ 2 ก้อน ไม่มีแชมพู แต่ได้เตรียมไปเองทั้งสบู่และแชมพูแล้ว
โถสุขภัณฑ์พร้อมสายชำระ
เครื่องทำน้ำอุ่น ร้อนเร็วทันใจ
ได้เวลาชมเมืองแล้ว ออกจากโรงแรมเดินไปทางขวามือนิดเดียวก็ถึงสี่แยกไปรษณีย์ เราจะเริ่มต้นกันที่ตรงนี้
จะเดินไปทางพิพิธภัณฑ์ก่อน โดยตั้งใจจะเดินเป็นวงกลม ไป-กลับไม่ให้ซ้ำเส้นทางกัน ไม่ต้องใช้แผนที่เพราะจำเส้นทางได้จากครั้งที่แล้ว
เดินผ่านหน้าห้องสมุดเมืองหลวงพระบาง
ตัวอาคารมองดูคลาสสิกมาก แต่เข้าไปดูภายในแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไร ดูธรรมดาๆ
วัดใหม่สุวันนะพูมาราม วัดสวยกลางเมืองหลวงพระบาง ใกล้ทั้งตลาดเช้าและไนท์มาร์เก็ต
เดินมาถึงพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบางที่อดีตก็คือพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์ลาว พรุ่งนี้เราจะมาแวะชมกัน
หอพระบาง พระคู่บ้านคู่เมือง ตั้งอู่ด้านหน้าริมถนน
ฝั่งตรงข้ามจะเป็นทางขึ้นสู่พระธาตุพูสีกับบันได 328 ขั้น เคยขึ้นมาแล้ว ครั้งนี้จึงขอผ่านไปก่อน
สุดรั้วพิพิธภัณฑ์จะเป็นแยกบ้านจูมค้อง
ฉันเลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายเล็กๆที่ผ่านด้านหลังหอพระบาง
ถนนสายนี้ตัดตรงไปถึงริมฝั่งโขง
ช่วงนี้เป็นหน้าร้อน ดอกคูนกำลังบานสะพรั่งมองดูสวยงาม
ก่อนถึงแม่น้ำโขง เลี้ยวขวาอีกทีผ่านวัดจูมค้องสุรินทาราม
เป็นวัดเล็กๆทีสวยงามอีกวัดหนึ่ง และไม่เสียค่าเข้าชมเหมือนวัดใหญ่ๆที่โด่งดังมีชื่อเสียง
บรรยากาศในวัดสดชื่นสบายตา ช่วยให้คลายความร้อนจากอากาศไปได้เยอะ
ถือเป็นวัดที่น่าแวะชมอีกวัดหนึ่งเลยทีเดียว
ติดๆกันจะเป็นวัดเซียงม่วนวชิรมังคลาราม
ผนังด้านหน้าและด้านข้างของสิมวัดนี้สวยงามมาก
กล่าวกันว่ายังอยู่ในสภาพเดิมเหมือนเมื่อครั้งอดีต
เป็นอีกหนึ่งวัดที่ควรค่าแก่การแวะชม
ชม 2 วัดพอหอมปากหอคอ ออกจากวัดเดินมาถึงสี่แยก ฉันจึงเลี้ยวซ้ายตัดออกสู่ถนนเลียบริมโขง
แม่น้ำโขงช่วงนี้ยังไม่ขุ่นแดงเหมือนช่วงหน้าฝน
เดินไปตามถนนเลียบริมโขงไปเรื่อย ดอกไม้บานสะพรั่งทำให้บรรยากาศดูสวยงาม
ดอกไม้สวยๆระหว่างทาง
เดินผ่านวัดเชียงทอง วัดสำคัญที่สุดของหลวงพระบาง แต่ฉันได้เข้าไปชมและเก็บภาพอย่างละเอียดไว้เมื่อครั้งที่แล้ว ครั้งนี้จึงขอผ่าน
เลยวัดเชียงทองมานิดเดียว ก็จะเป็นจุดที่แม่น้ำคานไหลมาลงสู่แม่น้ำโขง
เดินมาเมื่อยพอสมควร เจอร้านอาหารอยู่ตรงนี้พอดี ถึงจะอยู่ไกลจากตัวเมืองไปหน่อยแต่ก็ถือว่าทำเลสุดยอด สวยงาม
ขอแวะพักขา และกินอาหารมื้อแรกของหลวงพระบางที่ร้าน Viewpoint Café ก็แล้วกัน
บริเวณที่นั่งทานอาหารบรรยากาศดีสุดๆ
เข้ามาในร้านแล้ว
มาคนเดียวนั่งโต๊ะนี้ก็แล้วกัน
มองเห็นทั้งแม่น้ำคานและแม่น้ำโขง สวยงามจริงๆ
เมนูมีรูปภาพประกอบชัดเจน พนักงานพูดไทยได้ชัดเจนทุกคน
ประเดิมด้วยเครื่องดื่มประจำชาติ รสนุ่มละมุมลิ้น
จิบเบียร์ในบรรยากาศดีๆอย่างนี้ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
ไคแผ่นทอด อาหารประจำถิ่นที่นี่ ทำมาจากสาหร่ายน้ำจืดจากแม่น้ำโขง กินกับแจ่วบองสูตรหลวงพระบาง พร้อมเบียร์ รับรองว่าฟินสุดๆ
ดูสิ มันน่ากินจริงๆ
สั่งไส้อั่วมาเพิ่มอีกอย่าง เอาให้อิ่มไปเลย จะได้มีแรงเดินกลับ
นั่งจิบเบียร์ไป พร้อมด้วยไคแผ่นและไส้อั่ว แกล้มด้วยวิวสวยๆ ความสุขอย่างนี้ บอกตรงๆไม่ได้เจอมานานมากแล้ว
ประเดิมมื้อแรกไปแสนสาม บิลร้านนี้บอกราคามา 4 สกุลเงิน ทั้งลาว ไทย ยูโร และดอลล่าร์ เลือกจ่ายได้ตามอัธยาศัย
ติดกับร้านจะเป็นสวนสาธารณะ
เด็กนักเรียนมานั่งเล่นโทรศัพท์กัน
มองไปตรงปากแม่น้ำคาน จะมีสะพานไม้ไผ่ทอดข้ามไปยังฝั่งตรงกันข้าม แต่ต้องเสียเงินค่าผ่านด้วย
สวนสาธารณะจะอยู่ตรงสามแยกของถนนสายหลักที่ตรงมาจากสี่แยกไปรษณีย์
เอ๊ะ มีป้ายอะไรเล็กๆด้วย ไปดูกันหน่อยสิ
อ๋อ ตรงนี้เป็นป้ายจอดรถคันเล็กๆที่วิ่งประจำทางนั่นเอง มีเวลาและราคาบอกไว้ชัดเจน
รถจะเป็นคันเล็กๆแบบนี้ ไม่ใช้น้ำมันวิ่งด้วยไฟฟ้าแทน
นั่นไงมาแล้ว แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงจะไม่ทราบ เพราะป้ายเล็กนิดเดียว
ขามามาทางด้านแม่น้ำโขง ขากลับกลับทางด้านแม่น้ำคาน เดินโค้งไปตามถนนเรื่อยๆ
บางช่วงน้ำค่อนข้างน้อย มีเนินทรายโผล่ขึ้นมากลางแม่น้ำด้วย
โรงแรมบุราสารี เฮอริเทจโรงแรมดังอีกโรงแรมหนึ่ง
มองข้ามไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำคาน น่าจะเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนหลวงพระบาง
ร้าน Tamarind ร้านอาหารยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก และยังเป็นโรงเรียนสอนทำอาหารด้วย
สะพานไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำคานอีกแห่งหนึ่ง
สะพานไม้ไผ่ในหลวงพระบาง ใช้เป็นทางลัดข้ามแม่น้ำคาน ชาวบ้านต้องสร้างกันใหม่ทุกปี เพราะหน้าฝนจะถูกกระแสน้ำพัดพังทะลาย จึงต้องเก็บเงินค่าผ่านสะพาน เพื่อเอาไว้เป็นทุนสำหรับสร้างสะพานในครั้งต่อไป
มีคนใช้สะพานเดินข้ามไปข้ามมาตลอดเวลา
เรือนพักสายน้ำคาน ที่พักยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของคนไทยในแถบนี้
ทางขึ้นสู่พระธาตุพูสีด้านหลัง ทางด้านนี้จะชันกว่าทางด้านหน้าฝั่งพิพิธภัณฑ์
เดินไปตามถนนเรื่อยๆ สีสันของดอกไม้ทำให้เพลิดเพลินไม่น่าเบื่อ
ถนนสายนี้พาเรากลับเข้าสู่เขตใจกลางเมืองอีกครั้ง
เดินมาถึงสี่แยกตลาดดาลา เลี้ยวขวาเพื่อจะเดินผ่านสี่แยกไปรษณีย์กลับสู่ที่พักของเรา
ขนมปังบาแก็ตหรือข้าวจี่ มาครั้งนี้ไม่มีโอกาสได้ลองชิมเลย
ผลไม้วางขายกันริมถนน
แล้วเราก็กลับมาถึงสี่แยกไปรษณีย์จุดเริ่มต้นของเรา วันนี้เดินไม่ซ้ำเส้นทางกันเลย
กลับมาถึงที่พักเวลาประมาณ 17.30 น.
วันนี้คงจะไม่ออกไปไหนอีกแล้ว เพราะอยากจะพักผ่อนเนื่องจากวันนี้ตื่นแต่เช้ามาก
อาหารเช้าเริ่มเวลา 7.30 น. มีห้องพักอยู่แค่ 5 ห้อง อาหารจะเป็นแบบไหนพรุ่งนี้เช้ามาดูกัน
เพิ่งเห็นว่ามีกาแฟและชาให้กินฟรีด้วย
ได้เวลาเข้าสู่โลกโซเชียลแล้ว โดยใช้ WiFi ของโรงแรม ครั้งนี้ถือว่ามาพักผ่อนเสียมากกว่า ไม่ได้มีแผนอะไรเลย พรุ่งนี้เราจะมาวางแผนเที่ยวกันต่อ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาติดตามชม
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นและกดให้กำลังใจกัน
ขอบคุณรีวิวจากสมาชิกพันทิปคุณ Memories pink