ม่อนแจ่ม-เชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน เที่ยวแบบสองขั้ว ทั้งชิคและชิลล์ เช็คอิน กิน ถ่ายรูปจนเม็มเต็ม!!
130,531 ครั้ง
18 ต.ค. 2561
130,531 ครั้ง
18 ต.ค. 2561
เชียงใหม่ อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่ไม่เคยหลับไหล นับว่าเป็นจังหวัดแรกๆ ที่ใครหลายคนก็จะนึกถึงอยู่เสมอ ที่ไม่ว่าจะสายโซเชียลรักความสนุก หรือสายชิลล์อยากอยู่กับธรรมชาติ เชียงใหม่ก็มีครบตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ แถมยังไม่ได้อยู่ไกลกัน สามารถเก็บครบได้ภายในทริปเดียว ได้โอกาสเข้าช่วงปลายฝนต้นหนาวพอดี ทริปเก็ทเตอร์เลยขอเซอร์เวย์จัดทริปมาฝากเพื่อนๆ กับ ทริปเชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน ทั้งแบบเก๋ในตัวเมือง และชวนสโลว์ไลฟ์กันที่ม่อนแจ่ม ที่เรียกว่าได้ทั้งชิคและชิลล์ 2 ขั้ว ราวกับเป็นไบโพล่ากันเลย…
ทริปนี้เราเดินโดยเครื่องบินโลวคอสราคาประหยัด ในช่วงบ่ายของวันศุกร์ ใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งชั่วโมงเต็ม ถึงเชียงใหม่ก็ 5 โมงเย็นพอดี จากสนามบินก็มีตัวเลือกมากมายที่จะพาไปยังที่พัก ทั้งแท็กซี่ รถแดง แต่ครั้งนี้เราเลือกนั่งรถเมลล์โดยสารประจำทาง ที่เพิ่งเปิดใช้ได้ไม่นาน ขอบอกว่าแอร์เย็น คนยังไม่เยอะ แถมราคายังเบาๆ เพียง 20 บาทตลอดสาย จุดหมายปลายทางคือถนนนิมมานเหมินท์ และสำหรับคืนนี้เราพักกันที่ บ้านเส-ลา เกสต์เฮ้าส์ บนนิมมานเหมินทร์ ถนนสุดฮิปที่ไม่เคยหลับไหล มากมายด้วยแหล่งช้อปปิ้งและร้านแฮงค์เอาท์มากมาย
มาเมืองเหนือทั้งทีก็ขอเสพความเป็นล้านนากันสักหน่อย ที่นี่ตกแต่งได้อย่างคลาสสิกแฝงความตะต่อนยอนได้อย่างสนุกสนาน แต่ขอบอกว่าสงบมากไม่เหมือนกับอยู่นิมมานเลย ภายในห้องก็สะอาดสะอ้าน ขนาดกว้างขวางกำลังดี ถือว่าค่อนข้างประทับใจ
เนื่องด้วยทริปนี้เราไม่ได้มาโดยรถส่วนตัว มันเลยค่อนข้างจะทุลักทุเลเอาสักหน่อย เราเลยใช้บริการเช่ารถมอเตอร์ไซต์จะได้เดินทางได้อย่างสะดวก ซึ่งแถวนิมมานก็มีร้านให้เลือกมากมาย โดยส่วนมากทางร้านจะนำรถมาส่งให้ถึงที่พักเราเลย ไม่ต้องเดินไปเช่าให้เสียแรง ส่วนค่าเช่าก็จะแล้วแต่รุ่น ราคาเริ่มต้น 300 – 700 บาท รวมน้ำให้แบบเต็มถัง พร้อมบิด!
ตื่นเช้ามาในเดือนกันยาอากาศเริ่มเย็น เราวางแผนไว้ว่าจะไปหาอะไรร้อนกิน จากนิมมานเราตรงไปที่ร้าน โกเผือกโกดำ ใช้เวลาเดินทางราว 15 นาที(รวมหลงทางแล้ว) ตัวร้านเป็นเพิงเล็กๆ ใต้ต้นไม้ที่ดีไซน์ได้อย่างน่ารัก ภายในมีโต๊ะให้นั่งประมาณ 20 โต๊ะ ส่วนมุมเก๋ต้องนั่งบาร์ชมนกชมไม้
ที่นี่มีเมนูให้เลือกทั้งของคาว ของหวาน เครื่องดื่ม และนอกจากเมนูซิกเนเจอร์ขนมปังสังขยาที่เสริฟพร้อมครีมสีพาสเทล 4 สีแล้วนั้น ยังมีอีกเมนูเด็ดคือ ขนมปังชาโคล ที่ราดด้วยน้ำตาลอ้อย ส่วนเมนูอาหารเช้าอิ่มๆ หน่อยก็ต้อง ก๋วยจั๊บญวณ เส้นหนึบๆ ที่มาพร้อมเครื่องฉ่ำ กินคู่กับไข่ลวกร้อนๆ พร้อมลุยเชียงใหม่ได้แบบสบายๆ
เช็คอินชิคๆ กันไปแล้ว ขอไปพักผ่อนแบบสโลว์ไลฟ์ให้ร่างกายได้รีบูสกันสักหน่อย จากนิมมานเราแว้นไปขึ้นดอยกันบ้าง Next Station! ม่อนแจ่ม ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ริม ช่วงกึ่งกลางของจังหวัดเชียงใหม่ ติดกับอำเภอเมืองใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมง ก็เหมือนได้หลุดเข้ามาอีกความรู้สึกหนึ่งกันแล้ว ขับมาเรื่อยๆ แดดเริ่มแรง ขอแวะจิบกาแฟแก้ง่วงอีกสักหน่อยที่ โปงแยง เบอร์รี่ วินดี้ฮิลล์ ร้านกาแฟเล็กๆ บนหน้าผาที่บริการทั้งกาแฟ น้ำผลไม้ รวมถึงอาหารตามสั่ง แถมยังมี Free WIFI ให้เช็คอินประเดิมกันก่อนได้เลย
ตัวร้านมาในรูปแบบโอเพ่นรับลม มีมุมนั่งน่ารักๆ ให้ชิลล์ถ่ายรูปและชมวิวได้แบบ 180 องศา
ส่วนเมนูเด็ดต้องยกให้ อะโวคาโดปั่น และ กาแฟลาเต้ รสชาติสดชื่นแถมราคายังเป็นมิตร เริ่มต้นเพียง 50 บาทเท่านั้น
จากคาเฟ่เราตะเวนรถต่ออีกไม่เกิน 5 นาที จะพบกับแหล่งท่องเที่ยวสไตล์แอดเวนเจอร์ Pongyang Zipline & Jungle Coaster ที่มีเครื่องเล่นชวนหวาดเสียวให้หัวใจได้เต้นแรงมากมาย ที่สำคัญยังมีคาเฟ่และรีสอร์ทอีกให้บริการ เป็นอีกจุดที่น่าสนใจครบแบบวันสตอปเซอร์วิส
เราเลยจัดเจ้า Jungle Coaster กันสักรอบ เดี๋ยวจะโดนหาว่ามาไม่ถึง เจ้านี้ให้ฟีลคล้ายรถไฟเหาะ สามารถนั่งได้ทั้ง 1 และ 2 คน โดยระยะทางจะประมาณ 800 เมตร ในความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความหวาดเสียวเล็กๆ แต่ปลอดภัยมากเด็กก็สามารถเล่นได้
อีกหนึ่งชิ้นที่เราลุยกันจะเป็นการปั่นจักรยานบนอากาศ อาจดูตลกๆ แต่ก็เรียกความหวาดเสียได้ไม่เบา
ตามสไตล์เหนื่อยกันแล้ว ก็ต้องมีอะไรมาเติมเหงือที่เสียไปหน่อย เราแว๊บมาชิลล์กันที่ Cafe de Jungle ร้านคาเฟ่สุดชิคที่อยู่ในโป่งแยงจังเกิ้ลนี่แหละ ตัวร้านบรรยากาศร่มรื่น มีมุมให้นั่งทั้งในห้องแอร์และมุมเอาท์ดอร์
มุมไฮไลท์ทีเด็ดก็ต้องเปลตาข่ายริมน้ำตก ที่ทางร้านจัดไว้ให้เพื่อถ่ายรูปเท่านั้น จะมาเวลาไหนก็รับรองว่าได้มุมแจ๋วมุมนี้แน่
ส่วนเมนูเด็ดต้องยกให้กับ เซตลูกชิ้นทอด น้ำจิ้มรสเด็ด และเครื่องดื่มสไตล์โซดาที่ชงได้อย่างเข้มข้น ชวนหายเหนื่อยได้แบบปลิดทิ้ง
ตบท้ายด้วยของหวานเมนูซิกเนเจอร์ เค้กช็อคโกแลต ที่เสริฟพร้อมไอติมวานิลลา ตกแต่งจานได้อย่างน่ารัก อ่านรีวิวเพิ่มเติม คลิ๊ก(ยังไม่ได้ใส่ลิงค์)
จากโปงแยงจังเกิ้ลเราจะลุยเข้าที่พัก ถึงเวลาสโลว์ไลฟ์อย่างแท้จริงกันแล้ว สำหรับคืนนี้เราพักกันที่ ม่อนม้งโฮมสเตย์ การเดินทางเราแว๊นตามจีพีเอสมาที่ สถานีม่อนม้ง ซึ่งเป็นจุดจอดรถ และทุกคนต้องต่อรถไปยังโฮสเตย์ เพราะว่าเส้นทางค่อนข้างแคบ และต้องการความสงบไร้เสียงรบกวน
ตัวสถานีเป็นตึก 2 ชั้น ด้านในมีโซฟาให้นั่งพักเหนื่อย ซึ่งโซนนี้กำลังจะพัฒนาเป็นคาเฟ่ ส่วนชั้นบนเป็นดาดฟ้า
เข้ามาภายใน ม่อนม้ง เหมือนหลุดเข้ามาในเกาะที่เงียบสงบ บรรยากาศหนาวเย็น แวดล้อมด้วยต้นไม้สูงๆ และสวนส้ม เรียกว่าคงมีไม่กี่ครั้งหรอกที่เราจะได้นอนท่ามกลางโลเคชั่นดีดีแบบนี้
ส่วนบ้านพักนั้น เจ้าของที่นี่ก็ดีไซน์กันเองในแบบโมเดิร์น แต่ก็ไม่ลืมวิถีมิ้งโดยเลือกใช้ไม่ไผ่เป็นวัสดุ มีให้เลือกพักกัน 4 แบบ คือ บ้านรังนก, บ้านรังนกคู่, บ้านมาตรฐาน และ หลังสุดท้ายที่เราจะนอนกันในคืนนี้ บ้านต้นไม้
บ้านต้นไม้ จะอยู่ลึกด้านในสุด เป็นบ้านหลังใหญ่ตั้งอยู่ริมเขาใต้ต้นไม้สูง ด้านในจะถูกแบ่งเป็นห้องนอน 2 ห้องที่มาพร้อมห้องน้ำในตัว และตรงกลางเป็นระเบียงกว้าง เหมือนห้องรับแขก
ภายในห้องเรียบง่าย มีเครื่องนอน มุ้ง และกาน้ำร้อนพร้อมเซตกาแฟเตรียมไว้ให้ เรียกว่าเป็นเวลาที่ให้ได้คิดทบทวนอยู่กับตัวเองและธรรมชาติได้เป็นอย่างดี
สำหรับมื้อเย็นที่ม่อนม้ง จะมีอาหารพื้นบ้านม้งให้เลือกลิ้มล้องกัน เมนูจะเป็นสไตล์รักสุขภาพเน้นผักและสมุนไพร แต่หากว่าใครอยากฟินกับหมูกระทะก็จัดได้เลย
เมนูเด็ด ไก่กระดูกดำต้มไก่สมุนไพรพันปี เป็นเมนูสำหรับต้อนรับแขกของชาวม้ง หากมีแขกมาวัฒนธรรมที่นี่จะเชือดไก่ และแขกจะได้ทานเนื้อที่ดีที่สุดก็คือส่วนอกและน่อง มีสรรพคุณในการบำรุงสุขภาพ และอีกเมนู ลาบไก่ จานนี้ขอบอกว่าเด็ด ทำจากเนื้ออกไก่และเครื่องใน สับรวมกับเครื่องสมุรไพรอีก 7 ชนิด ทานไม่ยากอย่างที่คิด
แต่มาเมืองหนาวทั้งทีก็ต้องจัดหมูกระทะสักหน่อย เพื่อบรรเทาความหนาว จากมุมนี้มีพระอาทิตย์ตกให้ดูด้วย โรแมนติกสุดๆ
ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองออกมาเดินเล่นรับอากาศหนาวๆ มองดาวบนท้องฟ้าอย่างตั้งใจ จู่ๆ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เราพบทางช้างเผือก ซึ่งจากจากหน้าห้องเราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากันเลย ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เจอ คืนนี้เราได้นอนเคียงข้างทางช้างเผือกด้วยแหละ คาดว่าน่าจะฝันดีแน่นอน
ฝันดีกันไปแล้วก็ถึงเวลาตื่นมารับทะเลหมอกกันบ้าง แต่น่าเสียดายค่ำคืนที่เรามาลมแรง(อีกแล้ว) เลยอดได้วิวหมอกสวยๆ กับเขาบ้าง แต่ก็พอมีวิวกระอาทิตย์ขึ้นในนั่งจิบกาแฟชิลล์ แทนกันได้อยู่ และอีกสักพักพนักงานก็มาเสริฟข้าวต้มให้เราถึงห้องพัก และเช็คเอาท์จากม่อนม้งช่วง 10 โมง (สามารถอ่านรีวิวที่พักฉบับเต็มได้ที่ คลิ๊ก)
แล้วก็ไม่พลาดกับจุดเช็คอินที่เรียกว่า ม่อนแจ่ม ที่แท้จริงจากม่อนม้งใช้เวลาเดินทางราวๆ 10 นาที โดยที่นี่จะเป็นลานกว้าง มีมุมดอกสวยให้เก็บภาพกระจายทั่วบริเวณ แถมยังมีร้านกาแฟให้นั่งจิบชมวิวในกระท่อมด้วย
ก่อนกลับเข้าเมือง ควรต้องแวะคาเฟ่อีกสักร้านเพิ่มเป็นการส่งท้าย เราขี่รถกันมาชิลล์จากม่อนแจ่มมาตามทางคุ้มเสือแม่ริม จะมีคาเฟ่น่ารักซ่อนตัวอยู่ ชื่อว่า The Iron Wood ร้านน่าจะถูกใจสาวที่รักการเซลฟี่เป็นพิเศษ เพราะตั้งอยู่ท่างกลางป่ากรีนๆ แถมยังมีมุมน่ารักสไตล์วินเทจให้ถ่ายรูปกัน
ส่วนมุมไฮไลท์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องตกหลุมรักก็คือ บ้านเรือนกระจกสีดำสุดเท่ ที่ด้านในเป็นโรงเรือนต้นไม้สุดคิวท์
ส่วนเมนูก็ครบทั้งหวาน คาว และเครื่องดื่ม โดดเด่นด้วยการตกแต่งดีไซน์เมนุได้อย่างมีศิลปะ จะสายฮิปหรือฟีลผู้ดีอังกฤษก็ต้องแวะมาจิบชายามบ่ายกันสักหน่อย นับว่าเป็นร้านเด็ดโซนแม่ริมที่แนะนำว่าไม่ควรปล่อย
อิ่มหนำทั้งท้องและบรรยากาศกันไปแล้ว ถึงเวลากลับไปใช้กรรมลุยงานกันต่อ หากยังมีเวลาเหลือจแนะนำให้แวะไปช้อปที่ตลาดต้นพยอม แคปหมู ไส้อั่ว น้ำพริกอ่อง แล้วค่อยขี่ไปสนามบิน ขอบอกว่าน้ำมันยังเหลือๆ ปล.ส่วนการคืนรถสามารถบอกเขาว่าเราจะเอารถไปคืนที่สนามบิน มีบวกเพิ่มค่าบริการนิดหน่อย
เป็นยังไงกันบ้างกับทริปเชียงใหม่ เรียกว่ามีทุกอารมณ์เหมาะแก่การมาสนุกกันแบบเพื่อนฟูง จะสายชิคหรือสายชิลล์ก็ไปด้วยกันได้ เช็คอินเก๋ๆ กันก่อนแล้วค่อยไปสโลว์ไลฟ์วางโทรศัพท์ สนุกกับเพื่อน อยู่กับตัวเองและธรรมชาติ คิดว่าทริปนี้น่าจะเป็นตัวช่วยวางแพลนให้ทุกคนกันได้บ้าง หากยังไม่จุใจก็สามารถหาข้อมูลที่เที่ยวเพิ่มเติมกันที่ www.tripgether.com เพิ่มเติมกันได้เลย