แม่ฮ่องสอน 4 วัน 3 คืน เส้นทางเที่ยวสายโรแมนติก ผ่าน 4,088 โค้ง เส้นทางเดียวเที่ยวได้ครบ
67,693 ครั้ง
17 ม.ค. 2562
67,693 ครั้ง
17 ม.ค. 2562
แม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย ที่เมื่อถึงหน้าหนาวทีไรใครๆ ก็เลือกจังหวัดนี้เป็นจุดหมายปลายทางในการมาเที่ยวมาพักผ่อน มาสัมผัสธรรมชาติแบบร้อยเปอร์เซ็นเต็ม เมื่อพูดถึงแม่ฮ่องสอนทีไรหลายคนก็คงคิดถึงเส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามภูเขาและธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ตลอดสองข้างทางที่มีทั้งต้นไม้และสายหมอกที่น่าหลงไหลและโรแมนติกสุดๆ ลองมาพิชิต 4,088 โค้งกับเส้นทางสายโรแมนติกแห่งนี้ดูสักครั้ง…
ช่วงเดือน พฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็นช่วงที่ใครๆ ก็อยากขึ้นเหนือมาสัมผัสอากาศหนาวๆ และแน่นอน ทริปเก็ทเตอร์ ก็ไม่พลาดที่จะไปเก็บบรรยากาศช่วงที่สวยที่สุดของแม่ฮ่องสอนมาฝากเพื่อนๆ วันนี้เราเดินทางออกจากเชียงใหม่กันตั้งแต่เช้ามืดและมุ่งหน้าเข้าสู่ อ.ปาย เป็นเส้นทางเริ่มต้นของทริปนี้
และจุดแรกที่เราเห็นแล้วถึงกับต้องร้องว้าว! เลยก็คือ จุดชมวิวโค้งงาม จุดชมวิวทะเลหมอกริมทางที่มีภูเขาเป็นฉากหลัง เราก็ไม่พลาดที่จะลงไปสูดโอโซนยามเช้าและถ่ายรูปเก็บไว้
และแล้วเราก็เข้าสู่ อ.ปาย ซึ่งมี สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย เป็นแลนด์มาร์คสำคัญ เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินยอดฮิตที่ใครๆ มาแล้วก็ต้องลงมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ แถมยังมีร้านขายของฝากมากมายอีกด้วย
ใกล้ๆ กันยังมีคาเฟ่บรรยากาศดีให้เราได้นั่งชิลล์และเป็นที่พักรถอย่าง Coffee Tea Sapan คาเฟ่สไตล์ไม้แบบล้านนาที่เต็มไปด้วยดอกไม้สวยๆ เราเลยจัดลาเต้ร้อนมาคลายความหนาวแบบฟินๆ พร้อมนั่งชมวิวสะพานแบบชิลล์ๆ ก่อนจะออกเดินทางกันต่อ
เราเดินทางมาต่อกันที่ บ่อน้ำพุร้อนไทรงาม บ่อน้ำร้อนธรรมชาติที่อยู่ระหว่างเส้นทางวงกลม สังเกตง่ายๆ ถ้าออกจากตัวเมืองปายมาแล้วทางเข้าจะอยู่ทางขวามือหรืออยากให้ชัวร์เปิด Google map มาได้เลย มาทั้งทีเราเลยไม่พลาดที่จะแวะเข้าไปแช่ตัวสักหน่อยเสียค่าเข้าอุทยานฯ คนละ 30 และเสียค่าเข้าบ่อน้ำร้อนอีกคนละ 20 ก็ได้เข้าไปแช่ตัวแบบฟินๆ
น้ำใสและอุ่นมากๆ และเชื่อกันว่าสามารถบำบัดและบรรเทาจากโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วยนะ
ขับรถมาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึง ดอยกิ่วลม จุดพักรถและจุดชมวิวที่มีชิงช้าชาวเขาเป็นไฮไลท์ที่ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะมาโล้ชิงช้าและถ่ายรูปเก็บไว้
และยังมีจุดชมวิวภูเขาสวยๆ ให้เราได้ถ่ายรูปอีกด้วย
พักรถและชมวิวที่ดอยกิ่วลมจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็มาต่อกันที่ บ้านจ่าโบ่ อ.ปางมะผ้า หมู่บ้านเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เรียบง่ายแบบชาวเขาลาหู่และยังเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ยังคงอนุรักษ์วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไว้ บรรยากาศของหมู่บ้านรายล้อมไปด้วยขุนเขาและธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่
สองข้างทางมีของแฮนด์เมดที่ทำโดยชาวบ้านมาให้เลือกซื้อกันอีกด้วย
และที่นี่ยังมีจุดเช็คอินที่เที่ยวในหมู่บ้านแบบที่เรียกได้ว่าถ้ามาบ้านจ่าโบ่แล้วต้องลองไปให้ได้สักครั้งคือ ถ้ำผีแมนบ้านจ่าโบ่ ที่เป็นสถานที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีและวัฒนธรรมตั้งแต่สมัยโบราณ
นอกจากนี้ยังมีคาเฟ่น่ารักๆ อย่าง Dekdoi Coffee คาเฟ่สไตล์ไม้บรรยากาศดีที่สามารถมานั่งชิลล์ๆ รับลมชมวิวพร้อมจิบเครื่องดื่มสักแก้วสองแก้ว
พอแสงแดดค่อยๆ จางหายไป อากาศเย็นๆ หนาวๆ ก็เข้ามาทันที วันนี้เราพักกันที่ ลานกางเต็นท์จ่าทอ&โฮมสเตย์บ้านจ่าโบ่ ที่พักบนเนินเขาที่มีบ้านพักน่ารักๆ หันหน้าออกสู่วิวและยังมีลานกางเต็นท์ให้ท้าทายความหนาวอีกด้วย
มุมชิลล์ๆ จากในเต็นท์ระเบียงไม้ไผ่
แถมยังมีมื้อเย็นเสิร์ฟถึงหน้าบ้านพัก ให้กินกันที่ระเบียงหน้าบ้าน
ยิ่งตกดึกอากาศก็ยิ่งหนาว เลยขอตัวมานั่งผิงไฟสักหน่อย สำหรับใครที่ชอบดูดาว รับรองเลยว่าที่บ้านจ่าโบ่ไม่ผิดหวังเพราะที่นี่ดาวเยอะซะจนคิดว่านอนดูดาวที่ท้องฟ้าจำลองอย่างไงอย่างงั้น
ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาวเราเลยต้องขอตัวไปนอนเก็บแรงไว้มาตะลุยต่อกันในวันพรุ่งนี้…
เช้านี้เราตื่นกันตั้งแต่ตี5 เพื่อที่จะไปพิชิต ยอดดอยภูผาหมอก โดยมีไกด์ของที่พักลานกางเต็นท์จ่าทอที่นำทางเราเดินไปพิชิตยอดดอยก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาน 500 เมตร ทางขึ้นสามารถขึ้นไปได้ไม่ลำบากแต่ค่อนข้างสูงชันและต้องปีนขึ้นทำให้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ใช้เวลาเดินขึ้นประมาน 20 นาทีเราก็ขึ้นมาถึงบนยอดดอยตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง เพื่อมารอดูไฮไลท์ที่สวยที่สุดคือตอนพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าโชคดีอาจได้เจอทะเลหมอกอีกด้วย
พอแสงจากพระอาทิตย์เริ่มสว่างภาพที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าคือภูเขาที่สลับซับซ้อนกันไกลจนสุดสายตา และพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ขึ้น คล้ายกับโผล่ขึ้นมาจากภูเขา
และยังมองเห็นวิวบ้านจ่าโบ่อีกด้วย
เมื่อลงมาถึงก็ต้องมาจัดของอร่อยๆ อย่าง ก๋วยเตี๋ยวทะเลหมอกบ้านจ่าโบ่ ร้านก๋วยเตี๋ยวสุดฮิตที่มาบ้านจ่าโบ่แล้วไม่ได้มาลิ้มลองรสชาติถือว่ามาไม่ถึง ในราคาถ้วยละ 40 บาท
มุมที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือระเบียงห้อยขา ที่มานั่งแล้วได้ฟีลสุดๆ ก๋วยเตี๋ยวหลักสิบแต่วิวหลักล้านสมกับคำล่ำลือจริงๆ
พออิ่มท้องแล้ว เราก็พร้อมออกเดินทางไปต่อที่ ปางอุ๋ง เราต้องไปถึงปางอุ๋งก่อนเที่ยงเพื่อที่จะไปจองที่กางเต็นท์ทำเลดีๆ เพราะเนื่องจากเราไม่ได้จองล่วงหน้าเอาไว้ สำหรับใครที่จองล่วงหน้าไว้จะต้องเข้าไปติดต่อที่อุทยานฯถ้ำปลา-ผาเสือก่อน จากบ้านจ่าโบ่ถึงปางอุ๋งใช้เวลาเดินทางประมาน 2 ชั่วโมง เมื่อมาถึงสามารถขับรถเข้าไปในส่วนของกรมป่าไม้ปางอุ๋งได้เลย และเสียค่าเข้า+ค่าพื้นที่กางเต็นท์ ตกคนละ 50 บาท (นำเต็นท์มาเอง)
เราเลือกที่กางเต็นท์ใกล้ๆ ทะเลสาบเพราะจุดเด่นของปางอุ๋งคือทะเลสาบและป่าสน แบบที่เปิดเต็นท์มาแล้วเจอหมอกลอยบนผิวน้ำพร้อมอากาศหนาวๆ
เมื่อเรากางเต็นท์เสร็จเราเลยวางแพลนไปต่อกันที่ หมู่บ้านรักไทย หมู่บ้านจีนยูนนานสุดอันซีนที่อยู่ไม่ไกลจากปางอุ๋ง ใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งชั่วโมง สำหรับใครที่จะออกไปเที่ยวข้างนอกต้องกลับเข้ามาที่ปางอุ๋งก่อนเวลา 18.00 น. เพราะเป็นเวลาปิดทำการของส่วนกรมป่าไม้
หมู่บ้านรักไทย เป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนนานที่โดนเด่นด้วยบ้านเรือนที่สร้างริมทะเลสาบ และยังมีที่พักบรรยากาศดีๆ อยู่มากมาย ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือวิวทะเลสาบกลางหมู่บ้าน
ขับรถมาจากปางอุ๋งประมานครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงหมู่บ้านรักไทย เราเลยมาฝากความหิวกันที่ร้านอาหารขึ้นชื่อของที่นี่อย่างร้าน ลีไวน์รักไทย อาหารจีนยูนาน และยังมี ลีไวน์รักไทยรีสอร์ท ที่พักสวยๆ ที่มีไร่ชาให้เราได้เข้าไปชมอีกด้วย
เที่ยวชมบรรยากาศบ้านรักไทยจนเพลินก็ได้เวลากลับมาปางอุ๋งก่อนที่จะหมดเวลาเข้า ก่อนกลับเราเลยมาแวะที่ร้าน Coffee Camp คาเฟ่สไตล์ยุโรปที่ตั้งอยู่ระหว่างทางกลับปางอุ๋ง
บรรยากาศยามเย็นของปางอุ๋งถึงอากาศจะเริ่มหนาวแต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นทั้งครอบครัวและคู่รักที่พากันมาเที่ยว เราเลยไปเดินเล่นรับลมเย็นๆ แบบชิลล์ๆ
และกิจกรรมที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการปิ้งย่างหมู่กระทะกินหน้าเต็นท์ ที่นี่จะมีร้านค้าที่บริการหมูกระทะพร้อมเตา ชุดละ 300 บาท หรือใครที่อยากเตรียมของมาปิ้งย่างเองก็ได้นะ หมูกระทะร้อนๆ กับอากาศหนาวๆ ที่หน้าเต็นท์เป็นอะไรที่ฟินสุดๆ
ใครที่อยากเห็นดาวชัดๆ บอกเลยว่าปางอุ๋งไม่ทำให้ผิดหวังเพราะบรรยากาศของปางอุ๋งยามค่ำคืนจะมืดและเงียบมากๆ สามารถมองเห็นดาวเต็มท้องฟ้าได้ด้วยตาเปล่าเลยทีเดียว
เช้าวันที่3 ของทริป เรารีบตื่นแต่เช้าในอากาศ 10 องศา และเราก็รีบมาทำกิจกรรมซึ่งอีกหนึ่งไฮไลท์ของปางอุ๋งคือการมาล่องแพไม้ไผ่ยามเช้าท่ามกลางสายหมอกที่ลอยขึ้นบนผิวน้ำ ล่องแพไม้ไผ่ราคา 150 บาทสามารถนั่งได้ 2 คน
สายหมอกที่ลอยบนผิวน้ำที่มาปะทะกับร่างกายทำให้เป็นเช้าที่สดชื่นสุดๆ ถ้าโชคดีอาจจะได้เห็นหงส์ขาว หงส์ดำ ตัวเป็นๆ ที่จะออกมาโชว์ตัวให้เห็นอีกด้วย
หรือใครที่อยากทำบุญ ที่ปางอุ๋งก็มีพระที่จะมาเดินบิณฑบาตรในตอนเช้า และยังมีเซ็ตสำหรับตักบาตรขายอีกด้วย
มุมสะพานนี้ก็ถ่ายรูปสวยไปอีกแบบ
ก่อนเดินทางต่อเราเลยแวะเดินเล่นในหมู่บ้านรวมไทย หมู่บ้านที่อยู่ทางเข้าปางอุ๋ง หมู่บ้านรวมไทย เป็นหมู่บ้านที่ยังคงรักษาวิธีชีวิตแบบดั่งเดิมเอาไว้และสำหรับใครที่ไม่อยากนอนเต็นท์ ที่หมู่บ้านรวมไทยก็มีโฮมสเตย์ให้เลือกอยู่มากมาย และต้องไม่พลาดที่จะแวะมาชิมรสชาติกาแฟ ลุงปาละ คอฟฟี่ ร้านกาแฟที่มีคุณลุงปาละเป็นคนคั่วเมล็ดกาแฟเองทุกขั้นตอน แค่เดินเข้าไปในร้านก็ได้กลิ่นกาแฟหอมๆ ใครที่เป็นคอกาแฟต้องห้ามพลาดเด็ดขาด
และจุดมุ่งหมายต่อไปที่เรามาถึงก็คือ วัดพระธาตุดอยกองมู วัดคู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอนที่มีเจดีย์องค์สีขาวตั้งอยู่สูงเสียดฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนและใช้เวลาเดินทางจากปางอุ๋งประมาน 1 ชั่วโมง
ใกล้ๆ ลานจอดรถบนพระธาตุดอยกองมูยังมีร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Before Sunset อยู่อีกด้วย
และมาไหว้พระกันต่อที่ วัดจองกลาง-วัดจองคำ อีกหนึ่งวัดสำคัญซึ่งเป็นศิลปะแบบไทใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดพระธาตุดอยกองมู
ก่อนที่เราจะเดินทางต่อไปที่ดอยแม่อูคอ เราก็เลยแวะ ร้านใบเฟิร์น ร้านอาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อของเมืองแม่ฮ่องสอน และไม่พลาดที่จะสั่งเมนูแนนำของทางร้านอย่าง อุ๊ปไก่, ผักกาดจอ และน้ำพริกอ่อง
อิ่มท้องกันแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ เราปักหมุดมากันต่อที่ น้ำตกแม่สุรินทร์ อ.ขุนยวม น้ำตกที่ไหลจากซอกหินและไหลลงสู่หน้าผาสูงกว่า 200 เมตร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินเมื่อมาถึงดอยแม่อูคอแล้วต้องห้ามพลาด
ปกติฤดูท่องเที่ยวดอยแม่อูคอจะเป็นช่วงเดือน พฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม เพราะจะเป็นช่วงที่ดอกบัวตองสีเหลืองบานสะพรั่งไปทั่วทั้งดอย แต่น่าเสียดายที่เรามาช้าไปนิด แต่ก็ยังพอมีดอกที่ยังบานเหลือให้เราได้ชมอยู่
วันนี้เราพักกันที่ สวนดอยแม่อูคอ ที่พักสไตล์บ้านๆ แต่วิวไม่บ้าน เพราะที่นี่หันหน้าออกสู่วิวภูเขาสุดยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นช่วงที่ดอกบัวตองบานจะยิ่งสวยงามมากๆ
วิวพระอาทิตย์ตกดินที่ สวนดอยแม่อูคอ สวยและโรแมนติกสุดๆ
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ เราตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ระเบียงหน้าบ้านพักกันตั้งแต่เช้า ก่อนเดินทางกลับเชียงใหม่ซึ่งระหว่างทางกลับเชียงใหม่ก็ยังมีที่เที่ยวที่เราสามารถแวะเที่ยวได้ง่ายๆ อีกด้วย
แวะดูวิวทะเลหมอกตอนเช้าที่ดอยแม่อูคอ
วันนี้เรากลับโดยใช้เส้นทาง อ.แม่สะเรียง-ฮอด เข้าสู่ จ.เชียงใหม่ และมีอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวถ่ายรูปสวยอย่าง สวนสนบ่อแก้ว สวนสนที่ปลูกเรียงรายอยู่ริมทางอย่างเป็นระเบียบทำให้ที่นี่เป็นที่เที่ยวที่มานักท่องเที่ยวมาตลอดทั้งปี
และยังมี อุทยานแห่งชาติออบหลวง ซึ่งอยู่ระหว่างทางกลับเราเลยแวะเข้าไปเก็บบรรยากาศมาฝากเพื่อนๆ ด้วย เมื่อมาถึงจะต้องเดินเท้าเข้าไปอีก 350 เมตร
จุดแรกที่เป็นไฮไลท์ของอุทยานฯออบหลวงคือ หน้าผาจูบกัน ที่มีสะพานระหว่างช่องเขาขาดและมีน้ำไหลผ่านอยู่ด้านล่าง
เมื่อเดินข้ามสะพานมาจะมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ที่มีทั้งภาพเขียนตั้งแต่ยุคมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ให้เราได้ชม
บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยธรรมชาติที่ร่มรื่นและมีจุดชมวิวให้ชมและถ่ายรูปอีกด้วย หากจะเข้ามาเดินที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติต้องใช้เวลาประมาน1ชั่วโมง ระยะทางประมาน 1,200 เมตร
เป็นอย่างไงกันบ้างกับทริปแม่ฮ่องสอน 4วัน3คืน กับทริปเส้นทางสายโรแมนติกแบบเส้นทางเดียวเที่ยวได้ครบทั้งจังหวัดแม่ฮ่องสอน ลองเอาทริปนี้เป็นทริปตัวอย่างในการเดินทาง ลองหาเวลาว่างมาเที่ยวดูยอ่งช่วงเดือน ตุลาคม-กุมภาพันธ์ ยิ่งเป็นช่วงที่น่ามาเที่ยวสัมผัสบรรยากาศของที่นี่ให้ได้สักครั้ง มาสูดโอโซนให้เต็มปอด รับรองเลยว่าต้องประทับใจจนอยากกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอนกับเมืองสามหมอก แม่ฮ่องสอนแห่งนี้