เขาใหญ่ 3 วัน 2 คืน หนีออกจากเมืองไปแช่น้ำฉ่ำๆ นอนสูดออกซิเจนให้เต็มปอด
46,045 ครั้ง
23 พ.ค. 2562
46,045 ครั้ง
23 พ.ค. 2562
ช่วงปลายๆ หน้าร้อนแบบนี้ ก้ำกึ่งระหว่างร้อนกับฝน นั่งนอนคิดว่าจะเดินทางไปพักผ่อนที่ไหนดี สิ่งที่แวบเข้ามาในหัวคือสถานที่ที่เขียวชอุ่มริมธารชิลล์ๆ ที่ไหนสักแห่ง จึงเลือกเป็นเขาใหญ่เพราะไม่ไกลกรุงมากเท่าไหร่ สามารถเดินทางไปพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ เพื่อแสวงหาอากาศบริสุทธิ์จากพืชพันธุ์ไม้ ตั้งหน้ารับความสดชื่นจากธารน้ำธรรมชาติ แค่คิดใจก็ลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว จึงเริ่มวางแผนและออกเดินทางกันเลย!
เลือกเดินทางในช่วงเช้าตรู่อากาศกำลังดีไม่ร้อนมาก ออกจากกทม. โดยใช้รถส่วนตัวเดินทางไปปากช่อง ไม่เกินสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว เราตรงไปหาอาหารเที่ยงกินกันก่อนตามที่ได้โทรจองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว นั่นก็คือที่ แพต้นน้ำ ป้าเบียร์ “มาเที่ยวป่าอย่ากระแดะ” วลีเด็ดที่ทำให้เราอยากไปลองทานรสมือของป้าเบียร์สักครั้ง…เลี้ยวรถเข้ามาปุ๊บ ก็เจอป้ายประจำตัวของป้าเบียร์ปั๊บ
เมื่อเข้าไปถึงร้านแล้วได้รับการต้อนรับอย่างดี ป้าเบียร์ออกตัวก่อนเลยว่ากับข้าวบ้านๆ แต่ราคาไม่บ้าน แต่หากตั้งใจจะมากินแล้วรับรองว่าจะลืมเรื่องราคาไปเลย มารับบรรยากาศริมลำธารเดินเล่นบนสะพานไม้ไผ่กันก่อน สักพักก็มีอาหารมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะแล้ว มาที่นี่ต้องสั่งแกงคั่วหอยขม ที่ใครๆ ก็บอกว่ารสชาติแบบนี้หากินไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว พอได้ชิมไปคำแรกถึงกับตาเบิกโพลง เพราะรสชาติจัดจ้านมากทำเอาวางมือไม่ลงกันเลย นอกจากนี้เมนูอื่นๆ ก็เผ็ดแสบไม่แพ้กัน สมคำร่ำลือจริงๆ
รสชาติแกงคั่วหอยขม กลมกล่อมไม่รู้ลืม ในราคา 150 บาท
หลังจากที่ทานอาหารเที่ยงกันจนอิ่ม ก็ได้เวลาเช็คอินเข้าที่พักกันแล้ว คืนนี้เราเลือกนอนกันที่ โรงแรมเขาใหญ่ลำตะคอง (Kaoyai Lumtakong Hotel) ที่เน้นความเรียบหรูท่ามกลางธรรมชาติ ในราคาไม่แพง หลังจากที่เข้าไปเก็บของให้เสร็จสรรพ ก็ลงมาเดินเล่นริมลำธารที่เป็นลำน้ำลำตะคอง สั่งเครื่องดื่มและขนมหวานทานกันต่อ ที่ ต้นน้ำคาเฟ่ คาเฟ่ในตัวโรงแรม ที่มีที่นั่งริมธารตอบโจทย์คนมาพักผ่อนอย่างเราๆ เป็นที่สุด แค่ได้นั่งนิ่งๆ ฟังเสียงน้ำไหล ชมสวนหิน ก็เป็นความฟินแรกๆ ของการได้มาเยือนเขาใหญ่แล้ว
ขึ้นบันไดวนไปห้องพัก พร้อมมองปลาคาร์ฟด้านล่างเพลินๆ ช่างเข้ากับแสงแดดที่สาดผ่านบานกระจกเข้ามาจนอดใจไม่ไหวที่จะเก็บภาพไว้
สั่งเครื่องดื่มและของหวานกันตรงนี้
เดินลงมาจับจองที่นั่งทันที แม้วันหยุดคนค่อนข้างเยอะ แต่ยังมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับนั่งริมธารเงียบๆ อยู่นะ
ชาเย็นพร้อมวิปปิ้งครีมฟูๆ
ขอตัวทานของหวานริมธารแปปนึง
เติมความหวานกันจนหนำใจ ก็นั่งเอื่อยๆ ชมนกชมไม้ชิลล์ๆ
เดินเล่นกันเพลินจนลืมดูเวลาว่าเริ่มเย็นแล้ว เราก็เริ่มหิวกันอีกรอบ จึงเลือกสั่งอาหารจากทางโรงแรม ที่นี่เขามีทั้งอาหารไทย จีน แต่ที่เราเลือกก็คืออาหารทะเล เพราะได้ยินมาว่าทางโรงแรมเลือกใช้วัตถุดิบสดๆ ส่วนมากจะเลี้ยงเองด้วยนะ เราจึงสั่งมาลองสามเมนู อย่าง ยำรวมทะเล หมึกไข่ทอดกระเทียม และปลาหม้อไฟ แต่ละเมนูปรุงแต่งรสชาติแซ่บเหลือล้น ทำเอาแน่นท้องหนักมาก
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ถึงเวลาที่ต้องเข้าพักผ่อนในห้องพักแล้ว โรงแรมเขาใหญ่ลำตะคอง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจริงๆ ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรู ทั้งแสงโคมไฟข้างเตียง และหน้าต่างบานใหญ่สามารถเปิดออกไปมองวิวธรรมชาติได้อย่างเต็มจอ และความเงียบสงบโดยรอบโรงแรม คืนนี้คงหลับลึกเป็นแน่
วันที่สองของทริปนี้ เริ่มต้นได้ดีด้วยอาหารเช้าที่แสนอิ่มท้องจากทางโรงแรม เป็นแบบ a la cart ที่มีให้เลือกทั้งอเมริกันเบรคฟาสต์และข้าวต้ม หลังจากทานอาหารเสร็จเราก็เช็คเอาท์พร้อมที่จะตะลุยเขาใหญ่กันต่อแล้ว
เราตรงไปที่ฟาร์มโชคชัยประเดิมเป็นที่แรกของวัน วันหยุดแบบนี้ฟาร์มโชคชัยเปิดรับผู้เข้าชมเป็นช่วงๆ เช้าและบ่าย เราไปถึงตรงกับรอบเช้าพอดี บัตรเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 300 บาท ลุยกันเลย ไปสวมรอยเป็นฟร์ามเมอร์กันสักพัก ไปให้อาหารแกะ ไปดูเต้าขาวๆ ของโคนม ไปเดินรับแดดให้เต็มที่ ก่อนที่จะไปเลือกซื้อผลิตภัณฑ์นมแปรรูปติดไม้ติดมือกลับไป
หลังจากที่ไปเดินให้เหงื่อไหลกันไปแล้ว เราจึงขับรถออกมาหาคาเฟ่นั่งชิลล์ๆ หวังจะฝากท้องด้วยสักที่ เลือกไปกันที่ ธาราคาเฟ่ คาเฟ่ริมลำธารที่มีพื้นที่กว้างขวางท่ามกลางธรรมชาติ แถมมีเมนูให้เลือกหลากหลาย ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน เครื่องดื่ม และที่สำคัญมีพิซซ่าโฮมเมดสูตรของทางร้านด้วย เราเลือกสั่งเมนูอาหารและเครื่องดื่มก่อนที่จะไปหาที่นั่งด้านใน คงหนีไม่พ้นที่นั่งริมน้ำที่เราฝันใฝ่ แม้ว่าอากาศช่วงเที่ยงจะร้อนพอสมควรแต่ที่นั่งโซนด้านนอกกลับเย็นสบายๆ ด้วยร่มใบของต้นไม้ และลมที่พัดผ่านตลอดวัน สักพักอาหารก็มาเสิร์ฟพร้อมกับความน่ารักของภาชนะบ้านๆ อิ่มท้องอิ่มใจไปอีกมื้อ/ธาราคาเฟ่ เปิดบริการทุกวัน (หยุดวันอังคาร) เวลา 9.00 – 17.30 น.
นั่งจุ่มเท้าบนเก้าอี้ไม้ ถ่ายรูปชิคๆ
อาหารและเครื่องดื่ม มาเสิร์ฟเร็วมาก เสียดายที่ไม่ได้ลองพิซซ่าโฮมเมดเหตุเพราะความหิว
ออกจากธาราคาเฟ่ ไปที่อื่นกันต่อ ขับรถออกมาเรื่อยๆ จะเจอกับสระบ่อผุด ที่หาข้อมูลมาแล้วว่าเป็นสระน้ำสีเขียวออกฟ้าใส จึงอยากไปสัมผัสสักหน่อย เมื่อได้เข้าไปแล้วรู้สึกถึงความร่มรื่นของต้นไม้นานาชนิด และความใสของน้ำผุด ที่ผุดออกมาจากตาน้ำโดยธรรมชาติ คล้ายกับสระมรกตที่กระบี่แต่ไม่ต้องไปไกลถึงขนาดนั้น มีบ่อน้ำที่สามารถลงเล่นได้แต่มีข้อห้ามเล่นในบริเวณตาน้ำ เราเลือกเดินเล่นบนสะพานชมความใสของน้ำเป็นพอ
หลังจากที่ตระเวนเช็คอินกันจนเริ่มเพลียแล้ว จึงมุ่งตรงเข้าที่พักกันเลย เราตั้งใจจะเข้าพักที่ เขาใหญ่พาราไดซ์ออนเอิร์ท ซึ่งเป็นที่พักชื่อดังนักท่องเที่ยวพากันไปพักที่นี่กันเยอะมาก เพราะนอกจากจะมีห้องพักในระดับเยี่ยมแล้ว ยังมีพื้นที่กว้างขวางท่ามกลางธรรมชาติและกิจกรรมเพียบ เหมาะสำหรับการไปปล่อยกายปล่อยใจให้สุดเหวี่ยง และยังได้ยินมาอีกว่ามีห้องพักเพิ่งเปิดใหม่บรรยากาศเป็นส่วนตัวมาก แถมติดลำธารอีกด้วยเราจึงไม่รอช้า รีบจับจองอย่างเร็วรี่
เมื่อเข้าไปถึงที่พักเป็นความประทับใจแรกที่ได้เข้าไปเหยียบบนพื้นไม้บนบ้านใต้ถุนสูงซึ่งมีสเปซภายในบ้านให้ใช้สอยอย่างสะดวกสบาย แต่ก่อนที่เราจะไปสัมผัสกับเตียงนอนอันแสนนุ่ม เราขอลงไปซุกซนกับกิจกรรมน่าสนุกด้านล่างก่อน
เมื่อเดินไปที่ริมลำธาร จะเจอกับแทรมโพลีนสีแจ๊ส ลอยเด่นอยู่ริมธารน้ำซึ่งเป็นที่หมายตาของเหล่าผู้เข้าพักจำนวนมาก เราจึงเลือกพายเรือชมนกชมไม้ก่อน ที่นี่เขาย้ำว่าต้องใส่เสื้อชูชีพก่อนลงน้ำทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว หลังจากที่เราใส่เสื้อชูชีพกันเรียบร้อยแล้วก็พร้อมลงเรือ พายเรือไปตามสายน้ำช้าๆ บรรยากาศชิลล์จนอยากจะกดพอสเวลาไว้ตรงนั้น
ตัวเริ่มเปียกนิดๆ พอฉ่ำ พายเรือเริ่มเหนื่อยแล้ว ได้เวลาขึ้นฝั่งเพื่อทานอาหารเย็นของทางรีสอร์ทกันต่อ สำหรับเมนูในเย็นวันนี้ เรียกได้ว่าครบทุกรสทุกชาติ ทั้งอาหารไทยและเทศ มากันให้ครบ เราพร้อมที่จะกินแหลกแล้ว เมนูที่เราชอบที่สุดก็คือ น้ำพริกหมู รสชาติเผ็ดถึงใจ จัดเต็มทั้งเครื่องและผักสด ได้จิ้มน้ำพริกริมลำธารเป็นอีกหนึ่งความคลาสสิคที่ต้องการ รวมทั้งเมนูฟิวชั่นอื่นๆ ที่อยากให้ทุกคนมาลอง ได้ทานอาหารท่ามกลางธรรมขาติภายใต้แสงจันทร์และแสงไฟสลัวๆ มันฟีลกู้ดสุดๆ คืนนี้คงนอนหลับฝันดีแน่นอน
หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน แต่เรายังไม่อยากนอน เพราะต้องการจะนั่งเงียบๆ ริมระเบียงบนบ้านส่วนตัวแปปนึง ก่อนที่จะล้มลงบนเตียงและเอื้อมมือไปปิดไฟสีส้มสลัว สุดโรแมนติก แล้วราตรีสวัสดิ์
ตื่นเช้ามาพร้อมกับเสียงนกร้อง เราเด้งตัวออกจากเตียงลุกไปเปิดประตูเพื่อสูดอากาศสดชื่นริมระเบียงก่อนเลย ยิ่งได้เห็นวิวริมธาร ต้นไม้เขียวๆ แล้วเป็นภาพที่อยากเจอในทุกเช้าของวันเลยจริงๆ
เราเดินช้าๆ ชมต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวข้างทาง ตรงไปยังห้องอาหารเพื่อไปรับประทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ก่อนที่คนจะเยอะ ว่าแล้วก็เปิดฝาหม้อเพื่อปะทะกับไอร้อนของอาหารที่เพิ่งทำเสร็จหมาดๆ กะเพรารสชาติกลมกล่อมสมกับที่ทางรีสอร์ทโฆษณามา นอกจากนี้ยังมี แกงฟักทอง ข้าวผัด ผัดผัก รวมไปถึงอาหารพวกอเมริกันเบรคฟาสต์ แซนด์วิช สลัด ผลไม้ และเครื่องดื่มยามเช้า ให้เลือกทานอย่างไม่อั้น เราเลือกตักอาหารไทยมาครบทุกเมนู เรียกได้ว่าอิมหมีพีมันสุดๆ
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ พอมีเวลาเหลืออยากลงสระคลายร้อนสักหน่อย จึงกลับที่พักเพื่อไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำสำหรับลั้นลาในสระว่ายน้ำ ที่นี่เขามี Bean bag เพิ่มสีสันให้กับการเล่นน้ำด้วย เราจึงรีบคว้ามานั่งลอยตัวบนผิวน้ำอย่างสุขสันต์
และแล้วก็ได้เวลาเช็คเอาท์ออกจากที่พัก(แอบงอแงนิดๆ) ในใจคิดว่าอยากมีเวลาเพิ่มอีกหน่อยเพื่ออยู่ในที่พักที่แสนจะเป็นส่วนตัวแบบนี้อีกหลายๆ คืน เพราะยังมีอีกหลายกิจกรรมที่ยังอยากทำให้ครบ และอยากนั่งเอนกายริมลำธารต่ออีกซักวันสองวัน ถ้ามีโอกาสจะต้องพาครอบครัว หรือเพื่อนสนิทมาพักที่นี่อีกซักครั้ง
ระหว่างทางเราแวะร้าน ก๋วยเตี๋ยวเรือตะแคงหม้อซด ร้านก๋วยเตี๋ยวที่คนแน่นเอี๊ยดจนต้องรับบัตรคิว และสามารถลงไปนั่งเล่นรอบนคานไม้ริมน้ำก่อนได้ โชคดีที่เราไปตอนมีโต๊ะว่างพอดี ไปถึงก็สั่งเมนูแนะนำอย่าง เตี๋ยวเรือหน้าแล้งน้ำจิ้มสูตรเด็ดเฉพาะ ตามด้วยก๋วยเตี๋ยวเรือรสเด็ดอร่อยไม่ต้องปรุง พออาหารมาเสิร์ฟแล้วอันดับแรกต้องแชะภาพเก็บไว้ก่อนที่จะโซ้ยเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากอย่างเต็มคำ
เตี๋ยวเรือหน้าแล้งยั่วๆ
ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือตะแคงหม้อซด อยู่ตรงข้ามวัดพระขนงใต้ ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 10.00 – 16.00 น.
จวนจะกลับแล้วเราแวะทานเบอเกอรี่กันก่อน คิดว่าไหนๆ ก็วันหยุดนักขัตฤกษ์แล้วต้องไปจัดร้านนี้สักหน่อย ก่อนที่เขาจะปิดปรับปรุงอีกนานเลย (ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคมนี้ – ตุลาคม 2562) เราตั้งใจเข้าไปชิมขนมเค้กโฮมเมดที่ร้าน บ้านบ้านคาเฟ่ (Baan Baan By Baker Gonna Bake) โดยเฉพาะ เขาว่ากันว่าขนมเค้กโฮมเมดของที่นี่ ฟินตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย เราจึงไม่รีรอ ตรงเข้าไปสั่งเค้กผลไม้ตามฤดูกาลอย่าง พายทุเรียน และเครื่องดื่มแสนสดชื่นอย่าง เสาวรสโซดา ชิมเข้าไปคำแรกถึงกับอุทานว่า “อื้อหือ” ในใจ เป็นความฟินส่งท้ายทริปเขาใหญ่เลยค่ะคุณ ทานเค้กจนหนำใจแล้ว ก็เดินชมบรรยากาศรอบๆ และแชะภาพไว้สักหน่อย /ร้านบ้านบ้านคาเฟ่ เปิดเฉพาะ ศุกร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 9.00 – 17.30 น.
สำหรับทริปนี้เป็นทริปเน้นกิน เน้นพักผ่อน เน้นบรรยากาศริมธาร เพราะอยากพักสายตาหาอะไรเขียวๆ ดูบ้าง อยากออกไปใกล้ชิดธรรมชาติให้มากที่สุด แม้จะมีเวลาแค่ 3 วัน ก็ถือว่าคุ้มค่าต่อการออกไปเก็บเกี่ยวรอยยิ้มของตนเองรวมถึงคนรอบข้างด้วย ได้ออกไปสัมผัสความชุ่มชื้นท่ามกลางป่าเขา บางคนอาจจะได้แรงบันดาลใจดีๆ กลับไปด้วยก็ได้นะ แถมยังได้ของฝากอย่างอากาศบริสุทธิ์ที่เต็มปอด ลองหาเวลาในช่วงวันหยุดสักสองสามวันก็คงเพียงพอสำหรับการออกจากเมืองที่มีแต่คอนกรีต มามองต้นไม้ริมถนนที่งดงามกว่าเสาไฟ ใช้เวลาเดินทางแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็ได้ของขวัญจากป่าเขากลับไปแล้ว