ทริปล่าหมอก 3 วัน 2 คืน ภูทับเบิก – เขาค้อ สัมผัสหมอกหน้าฝน ไม่ต้องทนง้อหน้าหนาว
88,746 ครั้ง
4 ก.ค. 2562
88,746 ครั้ง
4 ก.ค. 2562
เขาค้อ – ภูทับเบิก เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัดเพชรบูรณ์ที่อยู่ไม่ไกลกันมากและสามารถเที่ยวเป็นรูทเดียวกันได้ ยิ่งในช่วงหน้าเข้าหน้าฝนแบบนี้ เป็นช่วงที่เขาค้อและภูทับเบิกมีโอกาสในการเกิดหมอกมากสุดๆ อีกด้วย อีกทั้งอากาศที่บริสุทธิ์ วิวของภูเขาที่งดงามและที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็คือบรรยากาศของทะเลหมอกยามเช้าที่จะพัดพามาให้คุณได้สัมผัสเพียงเอื้อมมือ เพียงแค่เปิดระเบียงหน้าห้องออกมาสูดโอโซนเข้าปอดก็รู้สึกดีเหมือนได้ชาร์จพลังให้ร่างกาย หากใครที่กำลังมองหาที่พักผ่อนดีๆ มีโอโซนบริสุทธิ์อยู่ละก็..ลองมานอนภูทับเบิกสักคืนและไปต่อที่เขาค้อกันสักคืน รับรองว่าหน้าฝนนี้จะต้องฟินสุดๆ อย่างแน่นอน
ทริปนี้เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าเพื่อให้ไปถึง ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์ ก่อนเที่ยงวัน เพราะแพลนในทริปนี้เราจะไปเที่ยว ภูทับเบิก – เขาค้อ กันแบบสโลว์ไลฟ์ เน้นพักผ่อน เน้นฟินกับหมอก เพราะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานมานานแสนนาน และหน้าฝนแบบนี้ก็คงพลาดไม่ได้ที่จะไปเที่ยวตามล่าหาทะเลหมอกกันที่ ภูทับเบิกและเขาค้อ สถานที่ที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีทะเลหมอกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 06.00 เพื่อที่จะไปถึง ภูทับเบิก ก่อนเที่ยงวัน
และการเดินทางของเราครั้งนี้ เราได้ใช้บริการรถเช่า Avis แบบขับเองเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางครั้งนี้และนอกจากนี้ยังมีรถให้เลือกมากมายหลายรุ่นเพื่อให้เหมาะสมต่อการเดินทางมากที่สุด หรือใครที่ยังขับรถไม่เป็นทาง Avis ก็มีบริการรถเช่าพร้อมคนขับให้อีกด้วย และสภาพรถแต่ละคันก็เรียกได้ว่าใหม่ทั้งภายในและภายนอก ช่วยเพิ่มให้เรามั่นใจในการเดินทางของเราสุดๆ นอกจากนี้ Avis ยังมีสาขาทั่วประเทศกว่า 29 สาขา สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังวางแพลนไปเที่ยวที่ต่างๆ Avis เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่พร้อมให้เพื่อนๆ เดินทางอย่างมั่นใจ
เดินทางจากกรุงเทพ 6 ชั่วโมงนิดๆ เราก็มาถึง ภูทับเบิก สำหรับใครที่กำลังคิดว่าภูทับเบิกจะต้องมาเที่ยวหน้าหนาวเท่านั้น เราขอบอกเลยว่าจริงๆ แล้วหน้าฝนก็เป็นอีกหนึ่งฤดูที่ภูทับเบิกสวยไม่แพ้กับหน้าหนาวเลยทีเดียว ระหว่างทางที่ขับรถมาเราได้เห็นต้นไม้สีเขียว ฝนปอยๆ และหมอกจางๆ ลองเปิดเพลงในรถฟังสักเพลงรับรองเลยว่าช่วยสร้างฟีลลิ่งได้เป็นอย่างดี และเมื่อมาถึงเราก็ไม่รอช้ารีบเช็คอิน ริมผาโฮมสเตย์ ที่พักที่เราจะนอนกันในคืนนี้
ริมผาโฮมสเตย์ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นที่พักยอดฮิตแห่งหนึ่งของภูทับเบิกที่ใครๆ ก็อยากมาสัมผัสบรรยากาศของที่นี่สักครั้ง ด้วยโลเคชั่นของที่พักที่ตั้งอยู่ริมสุดของหน้าผาทำให้ที่นี่สามารถมองเห็นวิวได้อย่างเต็มตาทั้งวิวภูเขาที่ไกลสุดสายตาทางด้านหน้าและวิวถนนเส้น อ.หล่มเก่า ที่คดเคี้ยวไปตามภูเขาเป็นภาพที่แปลกตาและสวยงามมากๆ
สำหรับห้องพักของที่นี่ก็มีให้เลือกถึง 21 ห้อง และสามารถรองรับผู้เข้าพัก 2 – 8 คน ไม่ว่าจะมากันเป็นคู่ มาเป็นครอบครัวหรือมาเป็นแก๊งค์เพื่อนที่นี่ก็มีห้องพักไว้ให้บริการตามความต้องการ สำหรับห้องที่เรานอนเป็นห้อง A3 ซึ่งห้องโซนนี้จะสามารถมองเห็นวิวได้อย่างสวยงาม ภายในตัวห้องก็ตกแต่งด้วยสไตล์เรียบง่ายเน้นการใช้ไม้เป็นหลักเพื่อให้ผู้เข้าพักได้พักผ่อนแบบชิลล์ๆ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งแอลซีดีทีวี กาน้ำร้อนและพัดลม
และยังมีระเบียงไว้ให้นั่งรับลมชมสายหมอกกันแบบฟินๆ อีกด้วย
นอกจากจะมีห้องพักวิวดีแล้ว ริมผาโฮมสเตย์ ยังมีพื้นที่กางเต็นท์สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศหรือชื่นชอบในสไตล์แคมป์ปิ้ง ซึ่งมีทั้งแบบเอาเต็นท์มากางเองกันแบบฟินๆ และมีทั้งแบบเต็นท์ของริมผาโฮมสเตย์ที่มีไว้ให้บริการในช่วงเดือน ตุลาคม – มกราคม
เที่ยวเพลินจนลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มาเราเลยขับรถออกไปที่ ร้านสายลมหนาว ร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรา ที่นี่มีเมนูอาหารตามสั่งหลากหลายเมนูให้เราได้เลือก ภายในตัวร้านใช้กระจกบานใหญ่ในการตกแต่งทำให้สามารถเห็นวิวภูเขาสีเขียวสุดชุ่มฉ่ำได้อย่างเต็มตาแบบ 180 องศา
ข้าวกระเพราหมูสับและข้าวหมูผัดผงกะหรี่ นั่งกินพร้อมกับชมวิวรอบๆ บอกเลยว่าเป็นอะไรที่ฟินสุดๆ
กินอิ่มแล้วเราไม่รอช้ารีบกลับมาที่พักและเดินชมบรรยากาศรอบๆ ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าข้อดีของการมาเที่ยวภูทับเบิกหน้าฝนก็คือมีนักท่องเที่ยวน้อยซึ่งทำให้เราได้ภาพสวยๆ ตามที่ต้องการอย่างแน่นอน
ถึงแม้วันนี้เราจะเลือกนอนห้องพักของทาง ริมผาโฮมสเตย์ แต่เราก็ไม่พลาดที่จะเอาเต็นท์มากางสร้างบรรยากาศกันแบบฟินๆ เพราะถ้าพูดถึงภูทับเบิกแล้วก็ต้องนึกถึงการกินหมูกระทะหน้าเต็นท์ท่ามกลางบรรยากาศหนาวๆ ซึ่งทางริมผาโฮมสเตย์ก็มีเซ็ตหมูกระทะไว้ให้บริการราคาเซ็ตละ 400 บาท (ครึ่งกิโลกรัม) สามารถกินได้ 2 – 3 คนเลยนะ
กินหมูกระทะร้อนๆ ท่ามกลางบรรยากาศหนาวๆ พร้อมกับลมและสายหมอกที่ล่องลอยมาประทะผิวกาย เป็นอะไรที่ฟินสุดๆ จนอยากจะหยุดเวลานี้ไว้
หรือจะหนีมานั่งแบบเหงาๆ ปล่อยตัวปล่อยใจแบบไม่ต้องคิดอะไร กันที่มุมนี้ก็ชิลล์ดีนะ
บรรยากาศยามค่ำคืนที่สามารถมองเห็นแสงไฟจากด้านล่างเปรียบเสมือนดาวบนดินให้เราได้นั่งมองกันแบบเพลินๆ ตลอดทั้งค่ำคืน
วันนี้เราตื่นเช้ามาพร้อมกับหมอกและอากาศอันบริสุทธิ์ ไม่รอช้าเรารีบออกมาสูดโอโซนกันที่ระเบียงหน้าห้อง พร้อมกับกินมื้อเช้าจากทาง ริมผาโฮมสเตย์ ที่พร้อมเสิร์ฟมีทั้ง ข้าวต้มหมูร้อนๆ และกระหล่ำปลีทอดน้ำปลารสชาติกลมกล่อม
กินเสร็จแล้ว เราก็ลงไปสัมผัสหมอกกันแบบใกล้ๆ อีกครั้งที่จุดชมวิวด้านหน้าที่พัก มุมนี้ต้องบอกว่าเป็นจุดชมวิวหลักล้านอย่างแท้จริง
ถัดลงไปอีกหน่อย ซึ่งเดินลงไปไม่ไกลจาก ริมผาโฮมสเตย์ ยังมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ที่เป็นเนินแปลงผักสีเขียว ลองไปยืนโพสต์ท่าเท่ๆ มุมนี้รับรองว่าด้วยภาพสวยจนเพื่อนร้องว้าวแน่นอน
วันนี้เราเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักกันในช่วงสายๆ และแวะจุดชมวิวถนนเส้น อ.หล่มเก่า ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวภูเขาที่สลับซับซ้อนเคล้ากับหมอกสีขาวลอยอยู่เหนือภูเขาสีเขียว และได้เห็นถนนที่คดเคี้ยวไปตามภูเขา บอกได้เลยว่าสวยจนต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไปอวดเพื่อนเลยล่ะ
และเราก็มุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมายที่เราจะไปต่อคือ เขาค้อ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของ จ.เพชรบูรณ์ ที่เมื่อพูดถึงเขาค้อแล้วใครๆ ก็ต้องนึกถึงทะเลหมอกและธรรมชาติที่อุดมสมบูณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอากาศของเขาค้อยังมีโอโซนเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทยอีกด้วยจนมีคำยอดฮิตที่พูดกันจนติดปากก็คือ “นอนเขาค้อหนึ่งคืน อายุยืนหนึ่งปี” และนอกจากอากาศดีๆ แล้ว เขาค้อยังมีสถานที่ท่องเที่ยวและคาเฟ่เก๋ๆ อีกมากมาย แต่ก่อนที่เราจะไปเที่ยวกันต่อ เราเลยแวะเติมพลังกันที่ร้าน จอลลี่ คาเฟ่ คาเฟ่สุดชิคแห่งเขาค้อที่มาเขาค้อแล้วต้องห้ามพลาด
ตัวร้าน จอลลี่ คาเฟ่ ตกแต่งด้วยสไตล์คันทรี่ฟาร์ม ตัวร้านที่ออกแบบมากจากโรงนาสีขาวตั้งโดดเด่นท่ามกลางทุ่งหญ้า บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยธรรมชาติและขุนเขาของเขาค้อ เพียงแค่ขับรถเข้ามาจอดก็เหมือนหลุดเข้ามาในดินแดนแห่งความฝันที่มีทั้งมุมถ่ายรูปน่ารักๆ บรรยากาศดีๆ และที่สำคัญที่นี่มีเมนูที่สุดแสนอร่อยมากมาย
ภายในตัวร้านออกแบบให้เป็นหลังคาแบบยกสูงตามโครงสร้างของตัวอาคาร ทำให้โปร่งและโล่ง ทำให้รับลมจากธรรมชาติได้แบบฟินๆ และเน้นการใช้สีขาวให้ความรู้สึกนุ่มนวลตัดกับสีน้ำตาลของโต๊ะและบาร์ที่โชว์ความดิบของลายไม้ เพิ่มความน่ารักด้วยของตกแต่งกระจุกกระจิกสไตล์วินเทจและดอกไม้ยิ่งช่วยเพิ่มความเพลิดเพลิน และเป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ได้เป็นอย่างดี
วันนี้เราจัดหนักจัดเต็มกับเมนูอร่อยๆ จากทางร้านที่ส่วนใหญ่เป็นเมนูอาหารยุโรปและฟิวชั่น ไม่ว่าจะเป็น ซี่โครงหมูรมควันอบโรสแมรี่ ราคา 350 บาท, สลัดเบคอนกรอบ ราคา 150 บาท, พิซซ่าสูตรนโปเลียน ราคา 320 บาท และยังมีเครื่องดื่มสุดสดชื่นอีกมากมาย
กินจนแน่นพุงก็ต้องหาที่เดินเล่นถ่ายรูปสักหน่อย รอบๆ ตัวร้าน จอลลี่ คาเฟ่ ยังมีมุมให้ถ่ายรูปชิคๆ เพียบ ให้ฟีลลิ่งเหมือนอยู่ในหมู่บ้านชนบทของยุโรปอย่างไงอย่างงั้น
มาถึงเขาค้อทั้งทีก็ต้องไปไหว้พระที่ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว วัดคู่บ้านคู่เมืองและยังขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามแห่งหนึ่งของเขาค้อ ตัววัดตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาน้อยใหญ่ของเขาค้อ ที่แวดล้อมไปด้วยป่าสีเขียวที่อุดมสมบูรณ์ ตัดกับพระสีขาว อุโบสถพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ที่ซ้อนเรียงกันลงมา ตั้งเด่นสง่ามองเห็นมาแต่ไกล
ด้านในเป็นอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูป สามารถเข้าไปกราบไหว้และทำบุญขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล
ข้ามมาอีกฝั่งทางด้านขวากับส่วน เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต อีกหนึ่งไฮไลท์สุดงดงาม
ไหว้พระที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วเสร็จแล้วเราก็ไปต่อกันที่ จุดชมวิวไปรษณีย์เขาค้อ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินและจุดสำหรับถ่ายรูปคู่กับวิวเขาค้อแบบพาโนรามา หรือช่วงหน้าหนาวใครที่จองที่พักไม่ทันที่นี่ก็มีบริการพื้นที่สำหรับกางเต็นท์ด้วยนะ และที่สำคัญที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย
หรือจะมาถ่ายรูปคู่กันมุมนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ
เที่ยวจนอิ่มใจ กินจนอิ่มพุงกันไปแล้ว ก็ถึงเวลาเช็คอินเข้าที่พัก และที่พักที่เราจะไปนอนกันคืนนี้ก็คือ เดอะพราว รีสอร์ท เขาค้อ ที่พักบนเนินเขาสุดส่วนตัวตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นลอฟท์ ที่มาในคอนเซ็ปต์การสร้างที่พักให้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ รอบๆ พื้นที่ของรีสอร์ทจึงร่มรื่นไปด้วยต้นไม้สีเขียวที่ให้ความรู้สึกสบายตา และมีห้องพักทั้งหมด 14 หลัง แบ่งออกเป็น 4 แบบด้วยกันคือ พราววิลล่า พราวแฟมิลี่ พราวลอฟท์ และยังมีเต็นท์หรูกระโจมสีขาว (เต็นท์หมี) อีก 5 หลัง ซึ่งทุกหลังหันหน้าออกสู่วิวอ่างเก็บน้ำรัตนัยแหล่งกำเนิดหมอกของเขาค้อ
วันนี้เรานอนกันที่บ้าน บ้านพราววิลล่า โซน Top View บ้านพักด้านบนริมเนินเขาที่ตั้งเรียงเป็นแนวยาว สามารถเห็นวิวอ่างเก็บน้ำรัตนัย และทิวเขาที่สลับซับซ้อนกันอย่างสวยงาม ภายในห้องพักตกแต่งได้อย่างเรียบหรูพร้อมเตียงนอนขนาดใหญ่ และโซฟาให้นั่งเล่นที่ปลายเตียง อีกทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ชุดอุปกรณ์อาบน้ำ สบู่ ยาสระผม และอื่นๆ อีกเพียบ
ยังมีมุมห้องแต่งตัว และห้องน้ำที่ถูกออกแบบในสไตล์ See View ให้คุณได้อาบน้ำพร้อมชมวิวธรรมชาติกันแบบเพลินๆ
บรรยากาศห้องน้ำ See View
หน้าบ้านทุกหลังจะมีระเบียงเอาไว้ให้นั่งเล่นหรือนั่งชมทะเลหมอกในยามเช้า หรือจะลองหยิบหนังสือเล่มโปรดสักเล่มมานั่งอ่านที่มุมระเบียงก็ได้ทั้งความสงบและสบายสุดๆ
นอกจากนี้ยังมีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆ อย่างมุมชิงช้าเดอะพราว ที่รับรองว่ามาถ่ายรูปมุมนี้ต้องได้รูปสวยๆ กลับไปจนเมมเต็ม
มื้อเย็นวันนี้เราก็ไม่ต้องออกไปที่ไหนไกลเพราะว่า เดอะพราว รีสอร์ท เขาค้อ มีอาหารเย็นไว้ให้บริการ มีทั้งเมนู สเต็กหมู สลัดผักปลาทูน่า ไก่ทอด และเฟรนส์ฟราย
บรรยากาศยามเย็นเหมาะชวนแฟนมาสวีท ดินเนอร์ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนโรแมนติก
เช้าวันสุดท้ายของทริป วันนี้เราตื่นมาพร้อมกับสายหมอกที่ล่องลอยมาให้เราได้เห็นถึงปลายเตียง หรือจะออกมาจิบกาแฟร้อนๆ ที่ระเบียงหน้าห้องพร้อมกับสัมผัสไอหมอกและแสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามเช้า เหมือนได้รับพลังงานมารีชาร์จร่างกายพร้อมกลับไปลุยงานต่อ
สามารถนอนดูหมอกได้จากบนเตียงแบบฟินๆ กันเลย
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยมื้อเช้าของทางรีสอร์ท ก็มีให้บริการเป็นข้าวต้ม และอเมริกันเบรคฟาสต์ เปิดให้บริการตั้งแต่ 7.30 – 10.00 น.
ข้าวต้มหมูร้อนกับสายหมอกแน่นๆ
อเมริกันเบรคฟาสต์
เราเช็คเอ้าท์ออกจาก เดอะพราว รีสอร์ท เขาค้อ กันในช่วงสายๆ และก่อนกลับกรุงเทพเราแวะไปเที่ยวที่ ทุ่งกังหันลมเขาค้อ อีกหนึ่งจุดเช็คอินยอดฮิตที่มาเขาค้อแล้วต้องห้ามพลาด
นอกจากจะได้เห็นวิวสวยๆ ของกังหันลมอันใหญ่ยักษ์แล้ว ยังมีชิงช้าชาวเขาให้เราได้สนุกสนานอีกด้วย
และใกล้ๆ กันยังมีจุดเช็คอินเปิดใหม่อย่าง คิงคอง@เขาค้อ ที่มีมุมถ่ายรูปมากมายและที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือคิงคองและไดโนเสาร์ตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นและที่สำคัญเสียค่าเข้าเพียงคนละ 20 บาทเท่านั้นเอง
และยังมีมุมถ่ายรูปน่ารักๆ ทั้งมุมสะพานและทุ่งดอกไม้อีกด้วย
หรือจะมานั่งชิงช้าและถ่ายรูปที่มุมนี้ก็ชิลล์ไปอีกแบบ
เป็นอย่างไงกันบ้างกับทริป 3 วัน 2 คืน ภูทับเบิก – เขาค้อ ที่ทริปเก็ทเตอร์ไปเที่ยวแบบชิลล์ๆ มาเป็นทริปตัวอย่างให้เพื่อนๆ ไปเที่ยวกันกันแบบฟินๆ ทั้งที่กิน ที่พัก จุดเช็คอินโซน ภูทับเบิก – เขาค้อ เที่ยวครบทุกแบบทั้งนอนที่พักดีๆ เน้นพักผ่อนและนอนเต็นท์แบบสายลุย แต่รับรองเลยว่าได้สัมผัสบรรยากาศหนาวอย่างแน่นอน ใครที่กำลังวางแผนเที่ยว วางแพลนทริป ลองเอาทริปนี้ไปดูเป็นตัวอย่างได้นะ รับประกันความฟินโดย ทริปเก็ทเตอร์
สรุปค่าใช้จ่ายทริปภูทับเบิก – เขาค้อ
ค่าเช่ารถ Avis รุ่น CRV วันละ 1,699 บาท รวม 3 วัน 5,100 บาท (หารคนละครึ่ง 2,550 บาท)
เติมน้ำมันตลอดทริปและเติมน้ำมันคืนเต็มถัง 3,000 บาท (หารคนละครึ่ง = 1,500 บาท)
ค่าที่พักริมผาโฮมสเตย์ 2,000 บาท (หารคนละครึ่ง = 1,000 บาท)
หมูกระทะริมผาโฮมสเตย์ชุดละ 500 บาท (หารคนละครึ่ง = 250 บาท)
ค่าอาหาร ร้านสายลมหนาว 120 บาท (หารคนละครึ่ง = 60บาท)
ค่าอาหารจอลลี่คาเฟ่ 820 บาท (หารคนละครึ่ง = 410 บาท)
ค่าที่พักเดอะพราว รีสอร์ท เขาค้อ ราคา 2,900 บาท (หารคนละครึ่ง = 1,450 บาท)
ค่าเข้า คิงคอง@เขาค้อ 40 บาท
สรุปค่าใช้จ่ายการเดินทางสำหรับ 2 คน ตกคนละ 6,000 บาท (หากเดินทางหลายคนค่าใช้จ่ายจะน้อยลง)