ทริป 2 วัน 1 คืน แอ่วเชียงใหม่ เช็คอินแม่แตง งบไม่แรงแถมเที่ยวได้ครบ
115,488 ครั้ง
31 ต.ค. 2562
115,488 ครั้ง
31 ต.ค. 2562
ช่วงหน้าหนาวปลายปีแบบนี้ เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ใครๆ ก็อยากเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศให้ได้สักครั้ง หรือถ้าหากพูดถึงเชียงใหม่หลายๆ คนคงนึกถึงม่อนแจ่มและแม่กำปองกันอยู่แน่ๆ แต่จริงๆ แล้ว อ.แม่แตง เป็นอีกหนึ่งรูทนอกกระแสที่มีที่เที่ยว จุดเช็คอิน และที่พักบรรยากาศดีมากมาย และเราเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวนอกกระแส เพราะเราจะได้เห็นถึงวิถีชีวิตเดิมๆ และได้รับบรรยากาศที่ไม่ซ้ำใคร
สำหรับการเดินทางครั้งนี้เรานั่งเครื่องบินมาจากสนามบินดอนเมืองแลนด์ดิ้งสู่สนามบินเชียงใหม่ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงนิดๆ ในช่วงสายๆ ออกจากสนามบินเชียงใหม่กันแล้วไม่รอช้ารีบมุ่งหน้าไปยัง อ.แม่แตง ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่ารูทที่เราจะไปเที่ยวในวันนี้ไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอแม่แตงซะทีเดียว จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้ทางหลวงหมายเลข 107 สายเชียงใหม่ – ฝาง ผ่านอำเภอแม่ริมมาไม่ไกล และที่ที่เราจะแวะกันที่แรกก็คือ สวนผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้สนสองใบ
สวนผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้สนสองใบ หรือ สวนสนแม่แตง สวนสนธรรมชาติที่ปลูกไม้สนคาริเบีย เมื่อเข้ามาแล้วจะได้พบกับต้นสนที่ปลูกเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และยิ่งช่วงฤดูหนาวแบบนี้ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในชุ่มฉ่ำไปด้วยธรรมชาติและบริสุทธิ์มากๆ
ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็ได้รูปเท่ๆ ถูกใจสายฮิปสเตอร์อย่างแน่นอน
แวะเช็คอินสวนสนแม่แตงกันเป็นที่แรก และมุ่งหน้าไปยัง บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ ซึ่งเป็นที่พักที่เราจะพักในคืนนี้ สำหรับทางไปยัง บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ จะอยู่ตรงข้ามกับสวนสนแม่แตง หากมุ่งหน้ามาจากเมืองเชียงใหม่ทางเข้าจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ (เป็นทางเบี่ยงซ้าย) เป็นเส้นทางเดียวกับทางไปแก่งกื้ด เดินทางแป๊บเดียวผมก็มาถึง บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์
บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ ที่พักบนเนินเขาตั้งอยู่ที่อำเภอแม่แตง จ.เชียงใหม่ ตัวที่พักตั้งอยู่ในหมู่บ้านผาปู่จอม หมู่บ้านสุดสงบที่ชาวบ้านยังคงใช้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมสัมผัสได้ถึงความเรียบง่ายและชีวิตที่สโลว์ไลฟ์ดำเนินไปอย่างช้าๆ ที่นี่จึงเหมาะสำหรับการเดินทางมาพักผ่อนกายและใจ ปลีกวิเวกจากความวุ่นวายมานอนให้ธรรมชาติบำบัด เหมือนได้มาชาร์จพลังให้ชีวิตอีกครั้ง
เรามาถึง บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ กันก่อนเวลาเช็คอินเข้าห้องพัก แต่ บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ มีในส่วนของคาเฟ่และร้านอาหารให้นั่งชิลล์ๆ รอเวลาเช็คอิน เดินทางมาเหนื่อยๆ เลยขอฝากท้องกินของอร่อยๆ กันที่ บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ ซึ่งมีเมนูอร่อยให้เลือกมากมายทั้ง ต้มจืดหมู ราคา 80 บาท ข้าวกระเพราหมู ราคา 70 บาท กุ้งชุบแป้งทอด ราคา 100 บาท และเครื่องดื่มสุดสดชื่นอย่าง บลูฮาวาย ราคา 40 บาท
ได้เมนูอร่อยๆ มานั่งกินที่มุมบาร์พร้อมชมวิวภูเขา นี่แหละค่ะชีวิตที่ตามหามานาน
กินอิ่มแล้วก็ถึงเวลาเช็คอินพอดี สำหรับตัวบ้านพักของ บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ จะแบ่งเป็น 3 แบบคือ บ้านชมวิว 4 หลัง เต็นท์กระโจมติดแอร์ VIP 8 หลัง และบ้านริมธาร 1 หลัง ตัวบ้านพักและเต็นท์กระโจมติดแอร์ VIP ทุกหลังตกแต่งโดยใช้วัสดุให้กลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญบ้านและเต็นท์ทุกหลังหันหน้าออกสู่วิวภูเขา
สำหรับวันนี้เราเลือกนอน บ้านชมวิว ตัวบ้านถูกดีไซน์ด้วยสไตล์โมเดิร์นตกแต่งด้วยวัสดุจากธรรมจากธรรมชาติอย่างไม้ไผ่และเน้นการใช้สีน้ำตาลเพื่อให้ผู้เข้าพักได้เข้าถึงธรรมชาติมากที่สุด และที่สำคัญบ้านทุกหลังหันหน้าออกสู่วิวธรรมชาติซึ่งสามารถมองเห็นหลายยอดดอยและถ้าหากวันไหนฟ้าเปิดยังสามารถมองเห็นไปได้ไกลถึงดอยม่อนแจ่มเลยทีเดียว
ภายในตัว บ้านชมวิว มีพื้นที่พอเหมาะสำหรับการเข้าพัก 2 – 3 คน ภายในห้องตกแต่งด้วยสไตล์ลอฟท์ผนังปูนเปลือยตัดกับเพดานที่ทำจากไม้ไผ่สานได้เข้ากันอย่างลงตัว พร้อมที่นอนสำหรับนอน 2 คน และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันไปว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ แอลซีดีทีวีรับสัญญาณดาวเทียม กาน้ำร้อน พัดลม และปลั๊กพ่วง
และมีประตูกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวได้จากบนที่นอนกันเลยทีเดียว
สำหรับห้องน้ำก็สะอาดสะอ้าน ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีน้ำตาลเข้ากับตัวห้องนอน และเซ็ตสุขภัณฑ์สีขาวเพิ่มความเรียบหรู พร้อมเครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊สให้อาบน้ำกันแบบไม่ต้องกลัวหนาว แถมในห้องน้ำยังมีครีมอาบน้ำและแชมพูไว้ให้อีกด้วย
ที่ด้านหน้า บ้านชมวิว ยังมีระเบียงส่วนตัวหน้าห้องพักสำหรับนั่งชิลล์ๆ หรือปิ้งย่างหมูกระทะกันในยามเย็นก็ได้บรรยากาศสุดๆ
ในช่วงเย็น เวลา 16.30 – 17.30 น. ทางที่พักยังมีกิจกรรม พาเที่ยวชมสวนส้มสายน้ำผึ้ง (กิจกรรมรวมอยู่ในราคาห้องพักแล้ว) ซึ่งจะมีรถของทางที่พักพาเราไปใช้เวลาเดินทางประมาน 10 นาที
เมื่อมาถึงสวนส้มสายน้ำผึ้งแล้ว ขอบอกเลยว่าต้องร้องว้าวอย่างแน่นอน เพราะได้เห็นส้มสายน้ำผึ้งลูกโตๆ เต็มต้นที่สำคัญยังชิมสดๆ ได้จากในสวนอีกด้วย หรือใครที่ถูกใจรสชาติก็สามารถซื้อกลับบ้านได้ในราคากิโลกรัมละ 70 บาท
สำหรับใครที่เป็นสายถ่ายรูปแนะนำให้เดินหามุมดีๆ ถ่ายรูปคู่กับส้มรับรองว่าเรียกยอดไลค์ได้อย่างแน่นอน
กลับมาถึงที่พักในช่วงเย็น แสงอ่อนๆ จากพระทิตย์ที่กำลังตกดินบวกกับลมพัดเย็นๆ คงไม่มีอะไรที่ฟินไปกว่าการนั่งปิ้งย่างหมูกระทะที่ระเบียงห้องอีกแล้ว วันนี้เราสั่งหมูกระทะของ บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ มากิน ราคา 399 บาท
เนื้อหมูฉ่ำๆ พร้อมผักสดๆ หรือสำหรับใครที่อยากนำอาหารมาทำเองก็ยังสามารถเอามาได้ด้วยนะ
บรรยากาศ บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ ในช่วงยามเย็นและยามค่ำคืน
เช้าวันที่ 2 ของทริปวันนี้เรารีบตื่นตั้งแต่เช้าเพราะทางที่พักยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมคือ พาไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมทะเลหมอกยามเช้า ซึ่งเหมือนเคยจะต้องนั่งรถของทางที่พักไป เวลา 06.30 – 07.30 น. สำหรับใครที่อยากไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกจะต้องตื่นเช้าสักนิดนะคะ
เดินทางมาถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกยามเช้า ไม่เสียแรงเลยค่ะที่ตื่นตั้งแต่เช้า เพราะวิวที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นวิวที่หาชมได้ยากและสวยงามจริงๆ บอกได้ว่าคุ้มสุดๆ
มายืนบนหินแบบนี้ก็ได้เห็นทั้งวิวอีกมุมมองและได้ภาพสวยๆ ไปอัพลงโซเชียลด้วยนะ
และแล้วก็ได้เวลากลับถึงที่พัก กลับมาถึงก็ไม่รอช้ารีบไปกินอาหารเช้าของทางที่พักที่จัดไว้เป็น ข้าวต้มแบบบุฟเฟ่ต์ ที่โซนห้องอาหาร นอกจากข้าวต้มแล้วยังมีปังปิ้งและไข่ลวกอีกด้วยนะ
หรือใครที่เป็นคอกาแฟก็ต้องห้ามพลาดมาบดเมล็ดกาแฟ และชงกันแบบสดๆ ด้วย french press รับรองเลยว่าถูกใจคอกาแฟอย่างแน่นอน
ยิ่งกินคู่กับ ข้าวปุก ขนมชาวม้งยิ่งเพิ่มความอร่อยได้เป็นอย่างดี
ก่อนเช็คเอ้าท์เราก็ไม่พลาดที่จะลงไปนั่งชิลล์กันที่ น้ำตกบ้านว้าวด้า ที่จะต้องเดินลงไปสักหน่อย บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความร่มรื่น แถมยังมีที่นั่งไม้ไผ่ไว้ให้นั่งชิลล์อีกด้วย นั่งเพลินจนเกือบลืมเวลาเช็คเอ้าท์เลยค่ะ
ก่อนกลับเลยถ่ายรูปกับชุดม้งไว้เป็นความทรงจำสักหน่อย บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ มีชุดม้งให้ยืมฟรีๆ ทั้งชุดชายและหญิงเลยนะ บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ โทร. 093 048 0355
หลังจากเช็คเอ้าท์เสร็จแล้วเราก็ไปต่อกันที่ สเตย์ไวล์ด & คาเฟ่ ร้านอาหารสไตล์สุดชิคที่ให้อารมณ์แบบบาหลี ตัวร้านตั้งอยู่ริมแก่งกื้ด บรรยากาศรอบๆ ตัวร้านยังเต็มไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สุดๆ
ภายในตัวร้านมีที่นั่งให้เลือกหลายหลายโซน ทุกโซนสามารถมองเห็นวิวลำธารแก่งกื้ดได้อย่างเต็มตา และยังได้ฟังเสียงน้ำไหลเพลินๆ อีกด้วย
ไม่รอช้ารีบสั่งเมนูอร่อยมากินซึ่งส่วนมากเมนูของที่นี่จะเป็นอาหารไทยมีทั้ง ส้มตำ ราคา 80 บาทและหมี่กะทิ ราคา 200 บาท ที่ Recommend เลยว่ามาแล้วจะต้องสั่งมากินให้ได้
นั่งกินพร้อมมองวิวเพลินๆ แถมยังมีนักท่องเที่ยวที่มาล่องแก่งผ่านให้เราได้ชมตลอดทั้งวันเลยนะ
กินเสร็จแล้วก็ต้องไม่พลาดหามุมถ่ายรูปกันสักหน่อย โดยปกติแล้วน้ำจะไม่เป็นสีแดงแบบนี้ แต่วันนี้เรามาช่วงจังหวะที่มีฝนตกก่อนหน้า สเตย์ไวล์ด & คาเฟ่ เปิดให้บริการเวลา 09.00 – 18.00 น. โทร. 063 324 2829
และไปต่อกันที่ ไร่ชาลุงเดช ไร่ชาที่ตั้งอยู่กลางขุนเขาและอยู่ห่างจาก สเตย์ไวล์ด & คาเฟ่ เพียง 30 นาทีเท่านั้นเอง ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินฟินๆ ที่อยู่ที่ อ.แม่แตง เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบธรรมชาติ ชอบถ่ายรูป และยังมีเมนูจากใบชาให้ลิ้มลองมากมาย
ไร่ชาลุงเดช ตั้งอยู่ที่ดอยม่อนเงาะและสามารถเดินทางมาเที่ยวได้ง่ายๆ หากมาจากตัวเมืองเดินทางเพียงชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นเอง มาถึงแล้วก็ต้องไม่พลาดจิบชาร้อนสักหน่อย
บรรยากาศของ ไร่ชาลุงเดช เป็นไร่ชาที่ตั้งอยู่บนเนินเขาและสามารถเดินทางมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยบางวันลุงเดชจะออกมาต้อนรับ พูดคุย และให้ความรู้เรื่องชาอีกด้วย
ก่อนกลับขอถ่ายรูปที่มุมนี้สักหน่อย ไร่ชาลุงเดช เปิดให้บริการเวลา 8.00-17.00 น. โทร. 062 392 4299, 081 163 3765
หากใครที่กำลังคิดว่าการเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่เป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลาเยอะ ขอบอกเลยว่าจริงๆ แล้วมีเวลาแค่ 2 วันก็สามารถเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่กันได้แบบชิลล์ๆ แถมยังได้เที่ยว เช็คอินสถานต่างๆ อีกมากมาย หน้าหนาวนี้ใครที่กำลังวางแพลนเที่ยวหรือกำลังลังเลว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ขอแนะนำเลยว่า อ.แม่แตง อีกหนึ่งเส้นทางเที่ยวนอกกระแสแต่ความจริงแล้วมีอะไรดีๆ มากกว่าที่เพื่อนๆ คิด
สรุปค่าใช้จ่ายทริป 2 วัน 1 คือ เที่ยวเชียงใหม่ อ.แม่แตง
ค่าตั๋วเครื่องบิน ดอนเมือง – เชียงใหม่ ไป – กลับ 690 x 2 = 1,380 บาท (ราคาตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นและจองล่วงหน้า)
ค่าที่พัก บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ (บ้านชมวิว) 1,200 บาท
ค่าหมูกระทะ บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ 399 บาท
ค่าอาหารและเครื่องดื่ม บ้านว้าวด้า โฮมสเตย์ 290 บาท
ค่าอาหารและเครื่องดื่ม สเตย์ไวลด์ & คาเฟ่ 280 บาท
ค่าเครื่องดื่ม ไร่ชาลุงเดช 90 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 3,639 บาท