tripgether.com

นั่งรถไฟไป | เช่าป่า | กาญจนบุรีมีอะไรมากกว่าที่คุณคิด

48,950 ครั้ง
11 มี.ค. 2560

เช่าป่า คืออะไร เช่าได้ด้วยหรอ?
เช่าป่า เป็นคำที่ผุดขึ้นมาในหัวเรา ณ เวลานั้น ที่เรารู้ตัวว่าได้ป่าทั้งป่ามาเป็นของตัวเอง
อย่างว่า.. จริงๆแล้วมันเช่าไม่ได้หรอก แต่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะ

คุณเคยเที่ยวแบบนี้ไหม? ไม่มีรถ ไม่มีคน ไม่มีแผน เราไม่ จนกระทั่งครั้งนี้ ไม่มีรถน่ะเคย ไม่มีคนก็มีบ้าง แต่ไม่มีแผนเนี่ย ไม่…ไปเที่ยวกี่ครั้ง เราเป็นคนจัดตารางเวลาอย่างละเอียด เพราะเรารู้สึกว่า ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถกลับมาที่เดิมด้วยความรู้สึกเดิมในสถานการณ์เดิมได้บ่อยนัก หรือบางทีอาจเป็นไปไม่ได้เลย แค่วันนั้นฝนตกหรือแดดออกก็ทำให้สถานที่เดิมๆไม่เหมือนกันแล้ว ตลอดการเที่ยวที่ผ่านมา เราถึงใช้เวลาทุกวินาทีในการเที่ยวอย่างคุ้มค่าเสมอ แต่กับทริปกึ่งๆทดลองนี้ เป้าหมายเดียวที่เรามีคือ ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ทำอะไรก็ได้ในอุทยานแห่งชาติไทรโยคด้วยการเดิน และผลลัพท์ที่ได้มันก็คุ้มค่าจนเราอยากชวนให้คุณลอง

วันสุดท้ายของ Long Weekend และวันแรกที่ต้องกลับเข้าสู่การทำงานของหลายๆคน คือวันแรกของทริปนี้ การเดินทางของเราเริ่มต้นที่ สถานีรถไฟธนบุรี (บางกอกน้อย) มีผู้ร่วมทริป 2 คน คือเราและมนุษย์เพื่อน ทั้งสองคนแหกขี้ตาตื่นมาเพื่อขึ้นรถไฟรอบ 7:50 เพื่อไปลงที่สถานีน้ำตก โดยไม่รู้ทั้งนั้นว่าหลังจากลงรถไฟเราจะเดินทางต่อด้วยอะไรยังไง

รับบัตรรถไฟฟรีแล้วก็ข้ามถนนไปซื้อหมูปิ้งมาเป็นอาหารเช้า รถไฟไทย! รถไฟไทยตัวเป็นๆ ล่ะ!

รอไม่นานรถไฟก็มา เราสองคนก็ย้ายมานั่งกินหมูปิ้งต่อบนรถไฟแทน ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมด ไม่ก็คนที่ใช้รถไฟแทนการเดินทางระยะสั้นๆอย่างรถเมล์ แทบไม่มีใครคนต่างจังหวัดนั่งรถไฟกลับบ้านกันแล้วในเมื่อมีภาหนะอื่นๆที่เร็วกว่าและราคาใกล้เคียงกัน อย่างพวกรถตู้ รถประจำทาง แอบเหงาแทนรถไฟเหมือนกัน แต่เราก็ยังหวังว่าแกจะเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ เราจะรอวันที่รถไฟกลับมาเป็นพาหนะสำคัญในการเดินทางของผู้คน รอวันที่ได้นั่งรถไฟสวยๆที่ตรงเวลาในเมืองไทย

อากาศเย็นสบายมากกก แดดไม่ร้อน ฝนไม่ตก โชคดีจริงๆ

นั่งไปสักพัก คุณเจ้าหน้าที่ก็มาตรวจตั๋ว ที่เจาะตั๋วเป็นรูปหัวใจซะด้วย น่ารัก

ตุนขนมตุนอาหารมาเพียบ คิดว่าวันนี้ต้องนั่งจนเปื่อยแน่ๆ แต่เอาจริงรู้ตัวอีกทีก็นั่งเม้าท์จนมาถึงสถานีรถไฟกาญจนบุรีแล้ว ค้นดูก็ไม่เจอรูป ไม่แน่ใจว่าลืมถ่ายหรือเผลอลบไป อ่ะ ช่างมัน ที่สถานีนี้ เพื่อนๆนักเดินทางจากกรุงเทพของเราลงไปกันจนเกือบหมดขบวน แต่เรายังต้องเดินทางกันต่อ ที่นี่รถจอดนานพอสมควรเลยนะ ใครปวดฉี่หรืออะไรก็แวะลงไปได้ แต่รีบๆกลับขึ้นมาล่ะ เดี๋ยวโดนทิ้ง

นั่งมาอึดใจเดียวก็เจอกับสถานที่แลนด์มาร์คของเมืองกาญจน์อย่าง สะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่ๆ สายตาของนักท่องเที่ยวบนรถไฟกับนักท่องเที่ยวบนสะพานจะได้ประสานกัน ฮ่าๆ

หลังโบกมือไม้ให้ฝรั่งกันเสร็จ เราก็เริ่มเข้าสู่ ทางรถไฟสายมรณะ

ทางรถไฟที่ถูกสร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเชลยศึกกว่า 61,000 คน เพื่อเป็นทางผ่านไปสู่พม่าในการลำเลียงอาวุธและกำลังพล เพื่อไปโจมตีพม่าและอินเดีย
และอย่างที่เรารู้ๆกัน การสร้างทางรถไฟในครั้งนี้ทั้งโหดร้าย ทารุณ เต็มไปด้วยความลำบาก โรคร้าย และอาหารที่ไม่เพียงพอ จึงทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลงที่นี่

ลัดเลาะไปตามเขาบนรางไม้ที่น่าเหลือเชื่อว่ารับน้ำหนักรถไฟทั้งคันเอาไว้ได้

วิวจากทางรถไฟสายมรณะ สวยและอุดมสมบูรณ์อย่างกับกำลังนั่งรถไปเข้าไปในจูราสสิค เวิลด์

บรรยากาศระหว่างทาง

ถึงแล้วสถานีน้ำตก

เป็นสถานีที่สวยนะเราว่า จากสถานีกาญจนบุรีมาสถานีนี้นานเป็นชั่วโมงเลย ไปสืบๆมาพบว่าห่างกันทั้ง 77 กิโล

น้องหมาที่สถานี

มีห้องน้ำและร้านขายของชำให้พร้อม

เดินเล่นในสถานีจนหนำใจก็มาหาทางออกไปจากที่นี่กัน ฮ่าๆ หลังจากเดินหา เราก็ได้เจอนี่ รถสองแถวนั่นเอง

แต่สองแถวเหล่านี้ไม่ได้พาคุณไปไหนได้ไกลหรอกต้องไปต่อรถกันอีก เอ้า จ่ายไปซะคนละ 20 บาท ไปลงที่น้ำตกไทรโยคน้อย

ตามแพลนเดิม เราจะรอรถประจำทางจากตรงนี้เพื่อนั่งไปจุดหมายแรกของเราก่อนเข้าป่า hellfire pass memorial museum ช่องเขาขาดพิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจำ แต่พอลงรถและได้เจอกับเซเว่น มนุษย์สองคนที่หิวโหยก็พากันเข้าไปตุนอาหารอย่างสบายใจประหนึ่งได้กลับบ้าน และเมื่อออกมาจากเซเว่นเราก็ได้รับข่าวร้านจากป้าที่นั่งอยู่แถวนั้นว่า

ป้า : รถมันเพิ่งไปเมื่อกี้เนี่ย จอดรอตั้งนาน เข้าไปตะโกนเรียกในเซเว่นแล้วด้วย 
เฮ้ย ใช่หรอวะ นี่เข้าไปแค่ประมาณ 5 นาทีเองนะ แถมไม่เห็นจะมีใครเรียกซะหน่อย 
อ่ะๆ ไม่เป็นไร ไปแล้วก็รอคันใหม่ได้

ป้า : กว่าอีกคันจะมาก็เป็นชั่วโมงนึงน่ะ ไปเที่ยวน้ำตกก่อนก็ได้

ณ จุดนั้นอยากจะทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ที่ป้ามาก ถ้ารถมาก็จะได้กรุณาโทรมาตามหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำหรอก เป็นอันตกลง เราสองคนก็ข้ามถนนกันเพื่อไปที่น้ำตกไทรโยคน้อย

เข้ามาถึงก็เจอทางแยกอะไรซักอย่าง ทางนึงเลี้ยวซ้าย อีกทางนึงขึ้นบันได ด้วยสัญชาตญาณ ก็คิดว่าขึ้นบนๆสิ น่าจะสวยนะ วิวดี ก็หอบสารร่างอันเหนื่อยอ่อนปีนบันไดกันขึ้นไป

บอกได้เลยว่าเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุดในทริป กระเป๋าเสื้อผ้าบนหลัง กระเป๋าเคียงที่หนักโคตรๆไม่รู้ยัดอะไรไว้ กับกล้องที่โคตรๆหนักบนคอ เหมือนจะตาย และเมื่อขึ้นมาถึง…เราก็ได้พบว่า…ข้างบนไม่มีอะไรเลย… โอ้ มาผิด เรามาอยู่บนยอดของน้ำตกเลย ไม่มีอะไรนอกจากแอ่งน้ำน้อยๆที่ไหลลงข้างล่าง พอชะโงกมองลงไปก็พบว่าจุดที่คนอื่นๆอยู่คือ ข้างล่าง.. ถ่ายไว้หน่อย.. ไหนๆก็อุตส่าห์ขึ้นมา

โอเค ไม่เป็นไร เดินลงคงเหนื่อยน้อยกว่าแหละ

ไทรโยคน้อยก็น้อยสมชื่อ แต่เห็นอย่างงี้ฝรั่งเยอะมากนะ ยืนมุงประหนึ่งกำลังดูโชว์อะไรสักอย่าง ถ้านี่เป็นคนที่เล่นน้ำ ก็คงอายๆ ก้มมองเวลา เอ้า ผ่านมา 10 นาทีแล้ว
เราไม่อยากให้เฉียดฉิวมาก ขืนกลับออกไปแล้วป้าบอกรถเพิ่งไปอีกรอบนี่คงได้เอากระเป๋าเดินทางทุ่มป้าตาย เพราะฉะนั้น เริ่มเดินกลับ…

รถไฟเก่า ตอนกำลังเดินออกมีฝรั่งพยายามจะปืนขึ้นไปด้วย แล้วนางก็พูดกับเพื่อนนางว่า ก็มันไม่เห็นจะมีสัญลักษณ์อะไรห้ามหนิ จริงๆตรงหัวรถมีพวงมาลัย.. แต่ไม่เป็นไร นางคงไม่รู้ ปล่อยนางสนุกไป 

ออกมาถึงถนนปุ๊บ รถมาพอดี! ก้มดูเวลาอีกรอบ เพิ่งผ่านมา 15 นาที!! เฮ้ย ไหนว่าเป็นชั่วโมงไงป้า นี่ถ้าเชื่อก็ตกรถไปแล้วเนี่ย คันใหญ่ๆสีแดงๆ จำกันเอาไว้นะ ไม่มีรูปให้ดูเพราะตอนที่จะขึ้นทีไรเฉียดฉิวทุกที

บรรดานักท่องเที่ยวจะเอากระเป๋าของตัวเองมากองไว้หลังรถแบบนี้แหละ เพราะมันพาเข้าไปนั่งด้วยไม่ได้ ที่ไม่พอ

วิธีจ่ายตังค์ก็บอกกับพี่กระเป๋าว่าจะไปลงไหน เค้าก็จะบอกราคามา ในกรณีของเราไปช่องเขาขาดก็ 25 บาท พร้อมกำชับว่า ถึงแล้วบอกด้วยนะค้าาา…หนูไม่เคยมา hellfire pass memorial museum หรือ ช่องเขาขาดพิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจำ จะอยู่ในกองการเกษตรและสหกรณ์ ถ้าคุณเห็นป้ายนี้ขณะนี้ยังอยู่บนรถหมายความว่าคุณเลย แนะนำให้ลง

เข้ามาอยู่ในป่าในเขากันระดับนึงแล้ว

ทางเดินไปไม่ยาก เดินตามป้ายไปเลย

ถึงแล้ว

ที่นี่จะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือตรงตึกนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเรื่องราว ข้าวของ รูปภาพและวีดิโอเกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เราเพิ่งจะนั่งผ่านมานั่นเอง ที่ตึกนี้เราสามารถยืมหูฟังบรรยายไปใช้แทนไกด์ได้ด้วยนะ มีหลายภาษาอยู่ ไปชมในพิพิธภัณฑ์กัน

ข้างในไม่ใหญ่มาก แต่จัดแสงสีและการนำเสนอความรู้ได้สวยงาม น่าสนใจมากๆ พอออกมาจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ก่อนจะแวะไปชมส่วนที่สองของที่นี่ เราก็แวะจุดชมวิวกันก่อน เป็นทางเดินยื่นออกไปจากในอาคาร

ไม่น่าเชื่อว่าวิวสวยๆ แบบนี้จะอยู่ใกล้กับความโหดร้ายและความรุนแรงจากสงครามแค่เอื้อมมือ

มองลงไปเห็นทางเดินข้างล่างด้วย

และทางเดินนี้แหละคือจุดหมายต่อไปของเรา hellfire pass walking trail ทางเดินลงไปสู่สถานที่จริงของช่องเขาขาด หรือ ช่องไฟนรกนั่นเอง

เงยหน้าไปก็จะเห็นจุดชมวิวที่เราแวะไปเมื่อกี้

พื้นหลังจากสิ้นสุดบันไดจะเป็นหินแบบนี้เกือบตลอดทาง แนะนำว่าให้ใส่รองเท้าที่เดินสะดวกและเซฟเท้าให้มากๆจะดีที่สุด หรือถ้าใครอยากจะเดินยาวๆ ให้เตรียมน้ำกับขนมติดไว้ด้วย

ทางรถไฟเเก่า

บรรยากาศระหว่างทางเงียบสงบและประดับประดาไปด้วยธงชาติและดอกป๊อปปี้เพื่อระลึกถึงผู้ที่จากไปแต่มันสวยมาก สีสันและอารมณ์ถูกจัดวางอย่างถูกที่ถูกทางและคลุมบรรยากาศทั้งหมดเอาไว้เป็นอย่างดี

ถึงแล้ว ช่องเขาขาด หรือ ช่องไฟนรก ชื่อที่ได้มาจากการทำงานในเวลากลางคืนของเหล่าเชลยศึก เมื่อสะท้อนกับแสงของคบเพลิงก็เห็นเป็นเงาคนวูบวาบราวกับไฟที่อยู่ในนรก

ใหญ่มาก! มันคือการเจาะภูเขาด้วยเครื่องมืออันเล็กๆ ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเหนื่อยขนาดไหน เพราะแค่เราเดินลงมาถึงนี่เราก็เหนื่อยแล้วอ่ะ

ต้นไม้เล็กๆที่แทรกตัวขึ้นบนภูเขาหินมันทำให้รู้สึกถึงเชลยศึกที่พยายามจะมีชีวิตรอดอยู่เหมือนกันนะ

ตรงนี้เป็นตัวอย่างจุดที่มีคำบรรยายในหูฟัง (ถ้ายืมมา)

ตามทางจะมีเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างทางรถไฟวางอยู่เรื่อยๆ ดูขนาดสิ

อันนี้เป็นรถขนอุปกรณ์

เลยจากช่องเขาขาดก็ยังมีทางให้เดินไปได้เรื่อยๆ

ไม่มีทางรู้เลยว่าทหารที่เคยมองภาพเดียวกันนี้ จากจุดเดียวกันนี้เคยรู้สึกยังไง

เราสองคนหยุดกันที่จุดชมวิว จริงๆ ยังเดินต่อไปได้อีกนะ แต่เราต้องนั่งรถต่อไปอุทยานอีกก็เลยต้องบอกลากันเท่านี้ เอ้า กลับๆ ออกมารอรถที่เดิม ต่อไปเราจะไป เช่าป่า กันแล้ว

รถมาแล้ว ไม่มีรูปทั้งนั้น เพราะเหนื่อยมาก ไปลงอุทยานแห่งชาติไทรโยคราคา 30 บาท

คราวนี้ต้องหารถนั่งเข้าไป จริงๆก็เดินได้นะ มันประมาณสามโล ที่ด้วยกระเป๋าที่โคตรหนักกับฝนที่ท่าทางใกล้ตก เราก็นั่งรถเถอะ ไปถามๆ เอาจากที่ร้านขายของชำแล้วหน้าปากซอยก็พบว่า พาหนะหนึ่งเดียวที่จะพาเราเข้าไปในอุทยานได้โดยไม่มีรถก็คือ…. ซาเล้งจ้า! ขึ้นกันมาเลย มีขวดน้ำอะไรด้วย เบียดเสียด (ค่าซาเล้งคนละ 30 บาท)

แต่พอขึ้นไปแล้ว เออ มันดีอ่ะ ลมเย็นมาก ระหว่างทางก็ชิลล์ สวยงามดีงาม

ลัดเลาะไปเรื่อยๆ

ระหว่างนี้เราจะเจอทางเข้าอุทยาน ก็ต้องจอดซาเล้งมาเสียตังค์ค่าเข้ากัน ซึ่งถูกมาก ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 25 บาท รับลองว่าคุ้มเกินคุ้ม พี่จนท.อุทยานถามว่ามีบัตรนักศึกษาไหม ถ้ามีก็จะได้ราคาเด็ก ก็เลยจัดไปคนละ 25 รู้สึกไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการเป็นเด็กมานานแล้ว

พี่คนขับใจดีคอยชี้บอกเราด้วยว่าบ้านพักต้องเข้าไปตรงไหน ดี๊ดี~ ลงจากซาเล้งก็เข้าไปในที่ทำการอุทยาน เอาไปจองที่ปริ้นมาไปแลกกับกุญแจ

แลกเสร็จพี่จนท.ก็พาขึ้นมอไซค์ไปส่ง พี่ๆ จนท.เท่มาก เราสองคนลงมติว่าพี่แกเหมือนกำลังขี่มอไซค์อยู่กับแรปเตอร์

ระหว่างซ้อนท้ายเราก็แอบถามว่าในอุทยานมีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง
พี่จนท : อ๋อ มันก็มีเป็นบางช่วงน่ะ
เรา : แล้วตอนนี้มีอะไรบ้างคะ
พี่จนท : ตอนนี้ไม่มี
………

พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าแต่ละสถานีมันไกลหมดเลย ต้องเป็นคนที่มีรถถึงจะไปได้ โอเคค่ะ ไม่เป็นไร แค่ไหนแค่นั้น แค่อากาศดีๆ ป่าสวยๆ น้ำตกเย็นๆก็เหลือแหล่สำหรับเราแล้ว ไปเข้าที่พักกันดีกว่า นี่ไงบ้านน้อยในป่าใหญ่ของเรา

ห้องพักถูกมาก และดีด้วย ปกติคืนละ 800 (พักได้ 4 คน) แต่เราไปวันธรรมดา มีโปรโมชั่นลดอีก 30% เหลือแค่คืนละ 560 หาร 2 ตกคนละ 280 บาทต่อคืน มีเตียงใหญ่สองเตียง แต่พวกเราใช้ไปแค่เตียงเดียว มีกาต้มน้ำร้อน ตู้ โต๊ะเครื่องแป้ง พัดลม ราวตากผ้า เครื่องนอน และที่สุดอเมซิ่งเลยคือ มีเครื่องทำน้ำอุ่น!! รักมาก เพราะเราเป็นคนติดน้ำอุ่น ฮ่าๆ

เตียงนอนสบายมาก นอนเกือบทั้งวัน

เก็บข้าวเก็บของแล้วออกมาเดินเล่นใกล้ๆ ตั้งแต่เข้ามายังไม่เจอผู้เจอคนกับเขาเลยนอกจากพี่เจ้าหน้าที่อุทยาน

อยู่ติดแม่น้ำเลย

มีต้นไม้ใหญ่ๆเต็มไปหมด

วันนี้เดินไปได้ไม่ไกลก็เริ่มมืดแล้ว ต้องกลับเข้าที่พักกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาลุยในอุทยานกัน เช้าวันใหม่ ก็เดินตามทางเดิมออกไป แวะร้านขายของชำระหว่างทาง ตรงนี้มีร้านอาหารด้วยนะถ้าช่วงท่องเที่ยวน่าจะเปิดครบทุกร้าน แต่เพราะเราไปในโลว์ซีซั่นแถมเป็นวันธรรมดา ก็เลยเปิดแค่บางร้าน

เจอคุณแมวด้วย

พอเจอป้ายแบบนี้ก็เลี้ยวขวาไป ไม่ไกลๆ

ถัดจากน้องแมวก็มาเป็นน้องหมา น่ารัก

มาถึงต้นๆน้ำตกกันแล้ว

ข้ามสะพานเข้าไป 

นั่งห้อยขาซะหน่อย อากาศสดชื่นมาก

เดินมาเรื่อยๆ ตรงนี้เป็นจุดที่น้ำตกไทรโยคใหญ่ไหลลงสู่แม่น้ำแคว

อีกมุมนึง

เดินมาอีกนิดก็ถึงสะพานแขวน

ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดชมวิวแม่น้ำแควน้อยและน้ำตกที่สวยมากๆ

ดูขนาดแพเทียบกับต้นไม้สิ ธรรมชาตินี่มันยิ่งใหญ่จริงๆ นะ

ข้างล่างมีทางลงไปท่าเรือ สามารถเช่าเรือล่องแม่น้ำได้ด้วย

ข้ามสะพานแขวนมาอีกฝั่งจะได้เห็นน้ำตกกันตรงๆเลย

ระหว่างที่ชมวิวน้ำตกกันอย่างเพลิดเพลินเราก็ได้เจอกับเจ้านี่ มาเกาะบนหมวกซะได้ ขอบคุณที่ไว้ใจเรานะ เจ้าผีเสื้อ

จากฝั่งนี้จะเห็นตัวสะพานด้วย

พอเสร็จจากตรงนี้ก็ประมาณเที่ยงพอดี แถมฝนก็เริ่มตกก็เลยเดินย้อนกลับมาซื้ออาหารตามสั่งใส่กล่องกลับไปกินที่ที่พัก กินอิ่มก็นอนเปื่อยหลับกันไปประมาณชั่วโมงกว่าๆก็อากาศมันดีอ่ะ อย่างกับเปิดแอร์ เปิดพัดลมเบอร์ 1 ยังหนาวเลย ตื่นปุ๊บก็ออกมาเดินกันต่อ คราวนี้เราจะบุกเข้าป่าของจริงกันแล้ว กับเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ไร้ผู้คน (จริงๆก็ไร้ผู้คนทั้งอุทยานนะ…)

เดินลึกเข้าไป ลึกเข้าไป

กระท่อมน้อยของคุณยาย นี่เราอยู่ในหนัง Into the wood รึเปล่า

แอบน่ากลัว จริงๆในกระท่อมนี้คือเตาหุงข้าวทหารญี่ปุ่นล่ะ แต่ดินตรงนั้นมันเละมาก เราเลยไม่ได้เข้าไปถ่าย

ไปหลงป่ากันเลย จะข้ามสะพานธีราบิเทียแล้ว

โอ้ย เห็นภาพไม่เท่าไหร่ แต่ของจริงมันวังเวงมากๆ ต้นไม้ล้มระเนระนาด ไม่มีเจ้าหน้าที่นำ ฝนตก ทุกอย่างรกทึบไปหมด นี่ถ้ามีไดโนเสาร์โผล่ออกมากินก็ไม่ตกใจแล้ว

เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัย เราก็เลยตัดสินใจพากันออกมา ปล. การกระทำของเราเป็นสิ่งที่เสี่ยงอันตราย ไม่แนะนำให้ทำตามนะจ้ะ ให้มีคนชำนาญทางไปด้วยดีกว่า หลงไปแล้วจะยุ่ง

กลับไปสู่โซนใสๆปลอดภัยอย่างโซนน้ำตกดีกว่า เจอบ้านน่ารักอีกแล้ว

หลังจากเหนื่อยอ่อนมามาก เราก็ตัดสินใจมานั่งเล่นในน้ำตกกันดีกว่า

น้ำใสแจ๋ว เย็นเจี๊ยบ

 

เรื่อยเปื่อยกันเสร็จ เราก็ตัดสินใจออกไปเดินเล่นแถวถนนที่นั่งซาเล้งผ่านเข้ามาเพราะจำได้ว่ามันสวย ลานจอดรถที่ถ้าในช่วงเทศกาลคงแน่นเอี๊ยด ตอนนี้กลายเป็นลานโล่งๆ

สดชื่นมาก

หอยทากน้อย

ตะขาบ! เจอสัตว์อีกแล้ว นี่เจอสัตว์เยอะกว่าคนอีกนะเนี่ย

มด! อาจจะเห็นไม่ชัดแต่มีมดอยู่นะ ตกลงนี่เป็นทริปส่องสัตว์หรอ

ไปเดินเรื่อยเปื่อยด้วยกันมั้ย?

สุดท้าย เราคงไม่พูดต้องอะไรแล้วเนอะ เพราะเรื่องราวและรูปภาพทั้งหมดได้พูดแทนหมดแล้วว่าเราประทับใจแค่ไหน เพราะงั้นเวลาไปเที่ยว ลองปล่อยให้แพลนว่างๆ ตื่นสายๆ เดินเรื่อยเปื่อยดูบ้าง แล้วคุณจะรู้ว่า ป่าใหญ่แค่ไหนก็กลายเป็นสวนหลังบ้านได้ถ้าเราใช้เวลากับมันมากพอ

ถ้ากรุงเทพทำให้พลังหมดหลอดเมื่อไหร่ เราจะมาเช่าใหม่นะ แล้วพบกันใหม่นะเมืองกาญจน์


สรุปค่าใช้จ่าย

ค่ารถไฟขาไป : ฟรี
ค่าสองแถวไปไทรโยคน้อย : 20 บาท
ค่ารถประจำทางไปช่องเขาขาด :  25 บาท
ค่ารถประจำทางไปอุทยาน : 30 บาท
ค่ารถซาเล้ง(ไปกลับ) : 30*2 = 60 บาท
ค่าที่พัก : คืนละ 560 (พักได้ 4 คน) เราไป 2 คน ตกคนละ 280/คืน *2 = 560 บาท
ค่าเข้าอุทยาน : ราคานักศึกษา 25 บาท
ค่ารถประจำทางไปหน้าสถานีน้ำตก (ขากลับ) : 60 บาท
ค่ารถไฟขากลับ : ฟรี

รวมเป็น 780 บาท 

ไม่รวมค่าอาหาร/น้ำ/ขนมค่ะ เพราะของเรากับเพื่อนก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าใครซื้อขนมจากร้านขายของชำมากกว่ากัน ส่วนร้านอาหารตามสั่งในอุทยานก็ราคาปกติค่ะ ประมาณ 40-50 บาท

ขอขอบคุณรีวิวพร้อมการเดินทางสนุกๆ สามารถติดตามทริปอื่นๆ ได้ที่นี่ Somewhere Only We Go


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ