tripgether.com

แบกเป้ขึ้นรถไฟฟรีไปเขื่อนรัชชประภา (แบบไม่ค้างคืนบนแพ) + Full moon party ด้วยงบ 4000 บาท

18,202 ครั้ง
26 มี.ค. 2560

ทริปนี้เกิดขึ้นจากสมาชิกที่เคยไปลำคลองงูด้วยกันกับผมเสนอให้จัดทริป Full moon ซึ่งผมเห็นว่าไปสุราษทั้งที เลยพ่วงเขื่อนรัชชประภาไปด้วยเลยดีกว่า เพราะมีคนบอกว่าที่นี่สวยแบบอลังการมาก ผมเลยเปิดปฏิทินงาน Full moon ว่ามีวันไหนบ้าง ก็พบว่ามีจัดวันที่ 21 พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว 3 วันพอดี (วันศุกร์ที่ 20 พ.ค. เป็นวันวิสาขบูชา) เลยจัดทริปนี้ขึ้นมาวันที่ 19 – 22 พ.ค. แต่ยังไงทริปนี้จะขอเน้นไปที่เขื่อนรัชชประภามากหน่อยนะครับ เพราะอะไร…เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน

ติดตามทริปใหม่หรือสอบถามข้อมูลได้ที่เพจของผมเลยนะครับ I Would Go Anywhere For you นี่คือแแผนคร่าวๆ ที่ผมทำไว้ก่อนออกเดินทางครับ


ผมขอลางานครึ่งวัน เพื่อไปขึ้นรถรถไฟที่สถานีหัวลำโพง สาย 171 กรุงเทพฯ – สุไหงโกลก รอบ 13.00 ถ้าใครตามเคยอ่านรีวิวเกาะเต่าของผม ใช่ครับ นี่คือรถไฟสายเดียวกันกับที่ผมนั่งไปลงที่ชุมพร ซึ่งตามกำหนดการเราจะถึงสถานีสุราษธานีก็ตอน เที่ยงคืนพอดีครับ(ถ้ารถไฟไม่เลท)

บรรยากาศบนรถไฟฟรี จะมีพ่อค้าแม่ค้า ขึ้นมาตามสถานีต่างๆ คอยขายอาหาร ขนมเครื่องดื่ม ไม่ต้องกลัวอด หาไม่ได้กินก่อนขึ้น แต่ราคาจะแพงกว่านอกรถไฟนิดหน่อย

การขึ้นรถไฟฟรีครั้งนี้ ผมได้ลองหมี่แห้ง อาหารประจำชาติของราชบุรี เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ลอง เพราะกลัวจะไม่อิ่มครับ กล่องนี้ราคาแค่ 10 บาทเท่านั้น แต่เห็นว่ามีดล่องแบบ 20 บาทด้วย

ได้นั่งเก้าอี้แค่แปบเดียวก็ต้องลุกครับ เจ้าของที่นั่งมาทวงที่นั่งเขา พวกผมก็ต้องระเห็จมานั่งแถวๆห้องนํ้า

บนรถไฟ เราได้สมาชิกใหม่มาร่วมเดินทางเพิ่มเขาชื่อ Carlos โดย Carlos ขึ้นมาบนรถที่สถานีนครปฐม แล้วบังเอิญพวกผมดันไปนั่งทับที่ของเขา (พวกผมได้ตั๋วแบบไม่มีที่นั่งครับ) ผมเลยต้องลุกให้ Carlos ไปตามระเบียบ เนื่องจากด้วยไม่รู้จะทำอะไรบนรถไฟ สมาชิกในกลุ่มผมคนนึงเลยได้มีโอกาสพูดคุยกับ Carlos เลยได้ทราบว่า Carlos เป็นชาวสเปน ลาออกจากงานมาเพื่อที่จะเปิดบริษัทของตัวเองเกี่ยวกับการปรึกษาด้านการเงินที่ประเทศ เปอร์โตริโก แต่ก่อนเจะเปิดบริษัทของตัวเองก็เลยมา Backpack ที่ยวที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน โดยจะเที่ยวตั้งแต่ เวียดนาม ลาว พม่า ไทย มาเลซีย จนไปสิ้นสุดที่สิงคโปร์ แล้วจึงขึ้นเครื่องกลับสเปน โดยการที่ Carlos ขึ้นมาที่รถไฟขบวนนี้เพราะตั้งใจว่าจะไปเกาะเต่า และนั่งเรือต่อไป Full moon ที่เกาะพะงัน แต่พอเราได้บอกจุดหมายของเรา พร้อมกับโชว์รูปเขื่อนรัชชประภาให้ดู Carlos เลยสนใจและขอติดไปกับพวกเราด้วย พวกเราก็ OK ท่านกล้าขอมา เราก็กล้าให้

ต้องขอบอกว่าการขึ้นฟรีครั้งนี้ของผมค่อนข้างทำให้ผมเซอร์ไพรซ์มาก…เพราะมันไม่เลทเลยครับ!!!! ถึงสถานีสุราษธานี เที่ยงคืนเป๊ะๆ ทำให้แผนที่กะว่าจะมานอนที่สถานีรถไฟตกไป ซึ่งช่วงที่รถไฟถึงจังหวัดชุมพร ผมดูระยะทางกับเวลาแล้วรถไฟคงไม่เลท เลยหาข้อมูล แล้วเจอว่ามีโรงแรมราคาไม่แพงที่อยู่ใกล์สถานรีถไฟ พอลงจากรถไฟ เราเลยเดินไปที่โรงแรมนั้นทันทีครับ โรงแรมที่ผมว่าคือ Queen hotel ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 300 – 400 เมตร เดินมาไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงครับ ค่าห้องคืนละ 300 บาท นอนได้ห้องละ  สภาพห้องก็ตามราคาครับ เอาเป็นว่าพอเป็นที่ซุกหัวนอนได้ หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวัน ตั้งวงนั่งกินเบียร์คุยกันสักพัก ก็แยกย้ายกันเข้านอน

สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 19 พ.ค.59
ค่าไก่ทอดบอนชอน (ฝากเพื่อนซื้อไปกินบนรถไฟ) = คนละ 80 บาท
ค่าโรงแรม Queen Hotel ห้องละ 300 บาท /3 = คนละ 100 บาท
ค่าเบียร์คนละ 100
รวม 280 บาท


ในเช้าวันนี้เรามีภารกิจในการไปกินติ่มซำและรับรถเช่า เพื่อขับไปเขื่อนรัชชประภาครับ (ผมนัดจะให้เขาส่งรถที่ร้านติ่มซำบ้านลุง) บางท่านอาจสงสัยว่าผมมาแบบประหยัด แต่ทำไมถึงเลือกเดินทางด้วยรถเช่า ? ถ้าได้ดูตารางการเดินทางของผมจะเข้าใจครับว่า บ้านพักหลังจาก one day trip เขื่อนรัชชประภาของผม ก็คือบ้านพักของการไฟฟ้า ซึ่งเจ้าบ้านพักของการไฟฟ้า นี่มันอยู่ลึกเข้าในบริเวณเขื่อน ซึ่งไม่มีรถสาธารณะผ่านครับ (แต่คือตอนแรกเราจะมีรถส่วนของพี่คนอื่นที่ตอนแรกจะมาทริปด้วย แต่พี่ๆเขาดันติดธุระซะก่อน)

เรา Check out ออกจากโรงแรมตอน 6.30 และเดินไปกินข้าวเช้าที่ร้านติ่มซำบ้านลุง ห่างจากโรงแรมไปอีก 200 เมตร เดินประมาณ 2-3 นาทีก็ถึงร้านครับ

มาภาคใต้ทั้งที เราก็ต้องกินติ่มซำกันหน่อยครับ ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 720 บาท หาร 6 ก็ตกคนละ 120 ครับ สักพักบริษัทรถที่ผมทำการจองรถก็โทรมาแล้วบอกว่า วันนี้ไม่มีคนมาส่งรถให้ แต่จะให้คนขับรถมารับที่ร้านติ่มซำ แล้วไปเอารถที่สนามบินแทน ผมก็ตอบตกลงไป เพราะสถานีรถไฟกับสนามบินอยู่ไม่ห่างกันมากนัก(ในกรณที่ขับรถ) จากนั้นคนจากบริษัทรถก็มารับผมที่ร้านแล้วก็เดินทางไปรับรถที่สนามบินครับ โดยผมไปคนเดียว แล้วค่อยขับรถกลับมารับเพื่อนๆ

นี่ครับรถของเรา เป็น Toyota Altis เครื่อง 1600 เกียร์ Auto ก่อนจะเซ็นรับรถก็อย่าลืมถ่ายรูปรถรอบคันไว้เป็นหลักฐานด้วยครับ

รับรถเสร็จ ก็ขับกลับมารับเพื่อนๆที่ร้านติ่มซำ แล้วก็ออกมุ่งหน้าสู่เขื่อนรัชชประภากันครับ โดยเราใช้ถนนสาย 401 (สุราษ – พังงา) ซึ่งถนนเส้นนี้ถือเป็นถนนที่สวยมากๆเส้นนึงเลยครับ เพราะเราจะต้องขับไปบนถนนที่ผ่านภูเขาหินลูกแล้วลูกเล่า ซึ่งประกอบกับตอนที่ผมเป็นช่วงเข้าหน้าฝนแล้ว ทำให้ยังเห็นหมอกตัดกับภูเขา ยิ่งทำให้ดูสวยงามน่าค้นหาเข้าไปใหญ่เลยครับ

พอเจอป้ายนี้ก็เลี้ยวเข้าไปเลยครับ อีก 10 กิโลก็จะถึงบริเวณเขื่อน

พอเข้ามาในเขตเขื่อนแล้ว ก่อนจะถึงท่าเรือ เราจะเจอสันเขื่อนอยู่จุดนึงครับ นักท่องเที่ยวมักจะแวะมาถ่ายรูปกันที่จุดนี้

ถ่ายรูปกันเสร็จแล้ว ก็ตรงดิ่งไปท่าเรือ แล้วก็ไปติดต่อบู๊ธของบริษัททัวร์ที่เราจองทริปไว้ในราคา 950 บาทต่อหัว

10.30 เราก็ลงเรือและออกเดินทางสู่เขื่อนรัชชประภาของจริงครับ…

ก่อนผมจะมาที่นี่ เคยมีคนบอกว่าที่นี่สวยมากอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ ภูเขาหินปูนที่อลังการแต่ละลูก วันนี้ผมได้รู้แล้วครับว่าเขาพูดถูกต้อง

ประมาณ 45 นาที เราก็มาถึงไฮไลท์ของเขื่อนเชี่อนรัชชประภาครับนั่นก็คือ เขาสามเกลอ

พอเริ่มเข้าใกล์เขาสามเกลอ พี่คนขับเรือจะหยุดเรือเพื่อให้เราได้ถ่ายรูปกัน ต้องรีบหน่อยนะครับ ไม่งั้นกระแสน้ำจะพัดเรือเข้าไปใกล์เขามากเกินไปจนอดได้มุมถ่ายรูปสวยๆ

หลังจากชมเขาสามเกลอเสร็จ เรือวิ่งมาได้สักพักก็จะมาถึงแพนางไพร เรือจะจอดให้เราประมาณ 10 นาที เพื่อลงไปชมวังปลาที่อยู่ในบริเวณแพครับ

ชมวังปลาเสร็จ เราก็ออกจากแพนางไพร มุ่งหน้าสู่ถ้าปะการัง ปรากฏว่าระหว่างทางที่เรานั่งเรือไปถ้าปะการัง ฝนตกครับ ลงเม็ดใหญ่มาก เล่นเอาพวกเราหนาวกันไปเลยทีเดียว เพราะฝนผสมกับแรงลมที่เรือแหวกมาปะทะกับตัวเรานั่นเอง โชคดีที่ว่าพอถึงจุดจอดเรือที่เราจะเริ่มเดินไปถ้าปะการัง ฝนก็หยุดตกพอดีครับ แต่ว่า..

การไปถ้ำปะการัง มันไม่ใช่ว่านั่งเรือมาแล้วจะถึงครับ (หรือสามารถนั่งเรือมาถึงได้ แต่ผมไม่ทราบเองรึเปล่า) เรือจะมาจอดตรงจุดเริ่มเดิน ซึ่งน่าจะเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติหรืออย่างไรเนี่ยแหละครับ จากจุดนี้ ต้องเดินอีกประมาณ 30 นาที เพื่อไปยังจุดขึ้นแพยนต์แล้วนั่งต่อไปยังถ้ำปะการัง และด้วยความที่ฝนมันหยุดตกเนี่ยแหละครับ ขากลับจากถ้าปะการัง ผมเหยียบดินลื่นก้นจ้ำเบ้าไป 2-3 รอบเลย

ที่เห็นมัวอยู่ด้านซ้ายมือ นั่นหมอกทั้งนั้นเลยครับ

ตรงที่เป็นจุดขึ้นแพยนต์ จะมีพวกขนมกับเครื่องดื่มขาย หลังจากเดินและนั่งแพยนต์ ในที่สุดเราก็มาถึงถ้ำปะการัง โดยก่อนเข้าถํ้า ถ้าใครไม่ได้เอาไฟฉายคาดหัวมา ไกด์จะทำการแจกให้ยืมครับ พร้อมกับพาไปดูหินต่างๆ ภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อยรูปร่างหน้าตาแปลกๆ อยู่พอสมควรครับ แต่สำหรับผมค่อนข้างเฉยๆ เพราะก่อนหน้าทริปนี้ไม่กี่เดือน ผมพึ่งไปถ้ำเสาหินกับถ้ำนกนางแอ่นที่อุทยานแห่งชาติลำคลองงูมา ซึ่งที่นั่นอลังการกว่าเยอะพอสมควรครับ

หินย้อยหน้าตาเหมือนช้างหลายเชือก

หินรูปร่างหน้าตาคล้ายๆมักกะลีผล

หยดนํ้าที่ซึมออกมาจากแหล่งนํ้าภายในภูเขาครับ แปลกตามาก ผมไม่เคยเห็นแบบนี้ที่ไหนมาก่อน

หินตรงนี้สวยดี เวลาฉายไฟไป ถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนเรายืนอยู่บนเวทีเลยครับ

แมลงหน้าตาประหลาดๆ

นี่หยดนํ้าหินปูนที่ค่อยหยดลงมา เสียดายว่าเราเก็บภาพตอนเป็นหยดยาวๆไม่ทัน หยดลงมาเสียก่อน เพราะมัวแต่หาจุดฉายไฟ เพื่อให้มีแสงพอสำหรับกล้องในการฏฟกัส

ไกด์ฉายไฟผ่านผนังหินกลุ่มนึงไป แล้วเงาตกกระทบที่ผนังถํ้าอีกด้านเกิดเป็นเงารูปแม่มดขึ้นมาครับ

ตรงนี้อยู่ตรงปากทางเข้าถํ้าเลยครับ ตอนเข้ามาเราไม่ได้สังเกตุ พอตอนจะออกจากถํ้า ไกด์ชี้ขึ้นไปบนเพดานถึงเห็นหินก้อนนี้ ไกด์บอกว่านี่คือ หัวใจของถํ้า เอากับเขาสิ….แต่ผมว่ามันก็เหมือนดีนะ เราใช้เวลา 30 นาทีในการชมถ้ำครับ แล้วก็กลับออกมาทางเดิมจนถึงเรือครับ จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่แพเชี่ยวหลานทัวร์ เพื่อที่จะกินข้าวเที่ยงกัน (แต่เวลาตอนนั้นปาไป บ่าย 2 ครึ่งล่ะครับ)

นี่อาหารของเรา ทุกอย่างเติมได้ ยกเว้นปลา พอกินข้าวเสร็จ เราก็เหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชม.ในการเล่นน้ำ เพราะเรือจะต้องกลับไปที่ท่าเรือตอน 17.30

ที่แพเชี่ยวหลานทัวร์จะมีหอกระโดดน้ำแบบนี้ให้เล่นด้วย พวกผมก็จัดไปกัน 1 ตู้ม

ถ้าถามว่านํ้าลึกไหม ตอบได้เลยครับว่าไม่…ไม่เห็นพื้นครับ!!! เท่าที่ฟัง บริเวณแพส่วนมากจะลึกระดับ 30-50 เมตร แต่ถ้าเป็นบางจุดก็ลึกถึง 100 เมตรก็มีครับ เล่นนํ้ากันประมาณ 1 ชม. ก้ได้เวลาต้องกลับแล้วครับ ไว้ครั้งหน้าจะหาโอกาสมานอนแพให้ได้แน่นอน แล้วเราก็กลับมาถึงท่าเรือครับ พี่เจ้าของทัวร์ก็มาต้อนรับเรากลับ พร้อมถามความรู้สึกว่าทัวร์เป็นอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งยังแนะนำร้านอาหารที่อยู่ในบริเวณเขื่อนให้กับพวกเรา พี่เขาพอทราบว่าพวกเราจะไปงานฟูลมูนที่เกาะพะงันแต่ยังไม่มีที่พัก ก็เลยโทรติดต่อกับบังกะโลราคาประหยัดที่รู้จักกันให้กับพวกเราด้วย

แผนที่ของสถานที่ต่างๆภายในบริเวรเขื่อน ท่าเรือที่เราลงเรือไป One day trip อยู่บริเวณมุมขวาบนนั่นเอง หลังจากนั้นเราก็ขับรถไปบ้านพักกันครับ แต่ระหว่างทางต้องแวะไปเช็กอิน+กับรับกุญแจที่บ้านดาหลาเสียก่อน หลังจากทำธุระเสร็จแล้ว พี่เจ้าหน้าที่ก็อาสาขับรถนำพวกเราไปที่บ้านพัก เนื่องจากเส้นทางภายในบริเวณเขื่อนค่อนข้างวนไปวนมา ทำให้คนที่มาครั้งแรกงงได้ง่ายๆครับ

ถึงแล้วครับบ้านพักของเราชื่อว่า บ้านพักสุพรรนิการ์ 5 ซึ่งบ้านหลังนี้อยู่ติดป่าเลยครับ (ลองดูแผนที่ประกอบ) ถ้ามองว่าเงียบสงบมันก็สงบครับ แต่จะมองว่าน่ากลัวก็ได้เหมือนกัน เลยเหมาะกับการมาพักกันหลายๆคนมากกว่าสำหรับบ้านสุพรรณิการ์ 5 สามารถนอนได้ 6 คนครับ ถ้าเพื่อนๆสนใจจะพักบ้านพักของการไฟฟ้าที่เขื่อนรัชชประภา สามารถเข้าไปดูรายละเอียดบ้านพักหรือห้องพักแบบต่างๆ เราเอาของเข้าเก็บและอาบน้ำที่บ้านพัก แล้วก็ออกมากินข้าวเย็นที่ร้านบัวผุดครับ ซึ่งจะอยู่บริเวณสนามกอลฟ์ของเขื่อน ตรงนี้ผมไม่ได้เก็บรูปกันมาเลยครับ เพราะหิวมาก 555555 แต่ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 1300/6 = 217 บาทต่อคน กินข้าวเสร็จ เราก็กลับมาที่พัก นั่งกินเบียร์ คุยกันแล้วก็นอนครับ

สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 20 พ.ค. 59
ค่าติ่มซำ 720 /6 = 120 บาทต่อคน
เช่ารถ 1400+400 /6 = 300 บาท ต่อคน
ค่า One day trip เขื่อนรัชชประภา 950 บาท
ค่าที่พัก 1100/6 = 183.33
ค่าอาหารเย็น ครัวบัวผุด 1300/6 = 217
ค่าเบียร์ = 100 ต่อคน
รวม 1870 บาท
ถ้ารวมกับวันแรกด้วย 1870 + 280 = 2150 บาท


เช้าวันนี้จากที่เราตั้งใจจะออกจากที่พักกันตอน 6 โมง กลายเป็นออกจากที่พักก็เกือบ 7 โมงล่ะครับ ซึ่งผิดนัดกับบริษัทรถที่จะเอารถไปคืน ภายในเวลา 7.30 น. T_T พออกมาจากที่พักเราเลยแวะถ่ายรูปสันเขื่อน มุมยอดฮิตกันสักหน่อย

จากนั้นจึงขับรถไปสถานีรถไฟ เพื่อจองตั๋วรถในวันพรุ่งนี้ แล้วก็ได้รถกะป๊อเหมาเพื่อไปท่าเรือดอนสักและให้พี่เขาขับไปรอเราที่สนามบิน จากนั้นเราจึงนำรถไปส่งที่สนามบินสุราษฯ ครับ สรุปว่าโดนชาร์จเพิ่มไป 400 บาท ค่าส่งรถช้า จากสนามบินสุราษไปท่าเรือดอนสัก ใช้เวลา ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งครับ จริงๆมีรถพันทิพที่วิ่งออกจากสนามบินสุราษฯไปส่งคนที่ท่าเรือดอนสักอยู่ ซึ่งตารางการออกรถพันทิพ จะอิงกับเวลาไฟลท์แต่ละเที่ยวครับ(ประมาณว่ารอรับคนจากเครื่องเพื่อต่อไปเกาะสมุย เกาะพะงัน ทำนองนั้น) แต่เนื่องจากพวกผมตื่นสาย เลยไม่ทันรถรอบ 8.30 ซึ่งหากรอรอบต่อไป จะไปไม่ทันตั๋วเรือเฟอรรี่ที่เราจองไว้รอบ 12.00 ครับ ซึ่งพวกเรามารู้ทีหลังว่าขอแค่เราจองตั๋วภายในวันนั้น เราจะใช้ขึ้นเรือรอบกี่โมงก็ได้ สามารถเช็กตารางการเดินรถพันธ์ทิพย์ได้ที่ website

เรามาถึงท่าเรือดอนสักกันน่าจะประมาณ 11.30 ครับ จากนั้นก็เดินเข้าไปยังอาคารรับรองผู้โดยสาร แล้วมองหาช่องนี้ไว้ครับ เป็นช่องจำหน่ายตั๋วขึ้นเรือเฟอรรี่ ถ้าใครยังไม่มีบัตรก็มาซื้อที่นี่ได้ แต่ถ้าใครจองตั๋วมาจาก website ของราชาเฟอร์รี่ ก็สามารถนำหลักฐานการจองมาแสดงเพื่อเปลี่ยนเป็นตั๋วจริงได้ที่นี่ครับ ส่วนด้านขวามือของช่องจำหน่ายตั๋ว จะเป็นร้าน mini mart เผื่อตุนของกินหรือของจิปาถะก่อนขึ้นเรือครับ

สำหรับพวกเรา จองตั๋วมาล่วงหน้าผ่าน Website มาก่อนแล้ว เอาหลักฐานไปแลกก็จะได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้มา

สักพักเรือเฟอร์รี่ของเราก็มาเทียบท่า และเราก็มาต่อคิวขึ้น ซึ่งในวันที่มีงานฟูลมูน คนก็แน่นตามสภาพนี้ล่ะครับ

สภาพภายในห้องโดยสารครับ คนเยอะ ก็ต้องอัดๆกันไป โดยบนเรือจะมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นํ้า กาแฟขายด้วยนะครับ

เรือใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงเกาะพะงันครับ ตรงท่าเรือเรียกว่าท่าเรือท้องศาลา

พอลงมาถึงท่าเรือพวกเราก็สับสนกับที่พักครับ ว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ โทรไปก็ไม่มีคนรับ ถามคนพื้นที่ก็ชี้กันไปคนละทาง จนสุดท้ายต้องโทรกลับไปถามพี่เจ้าของทัวร์เขื่อนเชี่ยวหลาน จึงทราบตำแหน่งที่ตั้งแน่นอน ซึ่งตอนแรกพี่เขาบอกว่าอยู่บริเวณท่าเรือท้องศาลาน่ะแหละ แต่ก็เดินจากท่าเรือไกลเหมือนกันครับ 700 เมตร – 1 กิโลได้

นี่ครับหน้าตาที่พักของเรา คืนละ 700 บาท นอนอัดกันไปเลย 6 คน จริงๆ นอนได้ 4 คนครับ เพราะในห้องจะเป็นเตียงใหญ่ 2 เตียง หลังจากนั้นพวกเราก็แยกกันพักผ่อนจากการเดินทางอันยาวนาน นั่งเล่น นอนเล่น เดินไปถ่ายรูปชายหาด กินเบียร์เผาหัวรองาน Full moon ด้าน Carlos เองก็เจอกับเพื่อนที่รู้จักกันระหว่างที่เที่ยวอยู่ที่เชียงใหม่ช่วงสงกรานต์ ซึ่งเพื่อนของ Carlos พักอยู่บังกะโล ด้านหน้าเรานี่เอง และด้วยการที่ผมไปนั่งเผาหัวกับเพื่อนชาว Finland กับ England ของ Carlos หนักไปหน่อย เผาหัวจนไหม้ครับ ผมจัดเบียร์ไปคนเดียว 8 ขวด แบบไม่ได้กินข้าวมาก่อน สรุป…เมา อ้วกด้วย เลยไม่ได้ไปงานFull moon ครับ ตอนที่รู้ตัวว่าเมาแล้วอ้วก ผมก็ไปนอนพัก แล้วบอกเพื่อนว่าถ้าจะออกไปฟูลมูนให้มาปลุก แต่เพื่อนบอกว่าตอนปลุกผมแล้ว ผมบอกว่าไม่ไป…สารภาพว่าตอนนั้นไม่รู้สึกตัวเลยครับ 555555 เลยไม่ได้ไปงานฟูลมูนตามระเบียบ ซึ่งจากบริเวณที่พวกผมพักสามารถเรียกรถสองแถวบนเกาะที่วิ่งไปมาบนเกาะ ให้ไปส่งที่หาดริ้น ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน Full moon ได้ในราคา 100 บาทต่อคนครับ ขากลับก็ราคาเดียวกัน


ในตอนแรกที่วางแผนกันไว้ คือวันนี้เราจะชิวกันครับ โดยจะทำไงก็ได้ ให้ไปขึ้นเรือเฟอร์รี่รอบบ่าย 3 ซึ่งกว่าทุกคนจะพร้อมออกเที่ยวกันก็ เที่ยงตรงแล้วล่ะครับ เราเลยตัดสินใจไปเที่ยว ทะเลแหวก ตรงหาดแม่หาด โดยการเช่ามอเตอไซจากที่พักไปครับ

น่าเสียดายตอนที่เรามาถึงทะเลแหวก น้ำน้อยไปหน่อย แต่เป็นสถานที่เหมาะแก่การมาชิวมากครับ เราใช้เวลาอยู่ที่หาดแม่หาดประมาณ 2 ชม. พวกเราก็ถ่ายรูป นั่งปล่อยอามรมณ์ไปเรื่อย โดยตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนไปขึ้นเรือรอบ 17.30 แทน ประมาณ 4โมง เย็นก็ขับรถกลับไปคืนรถที่บังกะโล แล้วก็เดินไปสั่งข้าวกล่องเผื่อไว้กินระหว่างอยู่บนเรือครับ ระหว่างที่กำลังรอข้าวกล่อง ผมก็รู้สึกตะหงิดๆใจ เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กรอบเรือ สรุปคือเรือมีออกรอบ 17.00 ไม่ใช่ 17.30 อย่างที่คิดไว้ครับ เท่านั้นแหละครับ ผมรีบวิ่งไปท่าเรือเลย แล้วบอกให้เพื่อนพอได้ข้าวกล่องแล้วให้รีบขึ้นสองแถวมา ผลปรากฎว่า…

พวกเราตกเรือครับ!!!!  และนั่นเป็นเรือเฟอรรี่รอบสุดท้ายภายในวันนี้ จากการตกเรือเฟอรรี่ ทำให้ตกรถไฟที่เราจองก่อนจะข้ามมาเกาะพะงันด้วย ส่วนตั๋วเรือเฟอรรี่ ที่จริงสามารถขอคืนเงินได้ครับ ในกรณีที่ตกเรือหรือเปลี่ยนใจไม่ไป แต่ต้องเป็นตั๋วที่ซื้อกลับบู๊ธของราชาเฟอรรี่เท่านั้น ถ้าเป็นตั๋วที่จองมาจากทางWebsite จะไม่สามารถขอคืนเงินได้ นั่นเท่ากับว่าเราเสียเงิน 400 กว่าบาทไปฟรีๆครับ (ค่าตั๋วรถไฟและค่าเรือ) พวกเรานี่เซ็งกันไปทุกคนเลยครับ เลยนั่งกินข้าวกล่องมันซะตรงนั้นแหละ ทันใดนั้น พี่คนเก็บตั๋วเรือของราชาเฟอรรี่ก็ชี้ทางสว่างให้พวกเราครับ “มันมีเรือนอนนะน้อง เรืออก 4 ทุ่ม ถึงฝั่งตี5 ไปขึ้นฝั่งที่ท่าเรือตัวเมืองสุราษฯเลย นู่นๆ ลำนู้น” แล้วพวกผมก็หันไปตามทิศที่พี่เขาชี้ไป ก็เจอกับทางออกสุดท้ายของเราครับ เลยเดินเข้าไปถามข้อมูลกับคนขายตั๋วเรือนอน(โต๊ะจะตั้งอยู่ตรงที่เรือเทียบท่าเลย) ได้ราคามา 400 บาทต่อคน ที่เลือกเรือนอน เพราะอย่างน้อยก็ประหยัดค่าที่พักไปในตัว

นี่ครับหน้าตาเรือนอนและสภาพภายใน ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้แหละครับ ผมก็ได้มีโอกาสขึ้นเรือนอนจากท่าเรือชุมพร ไปเกาะเต่า แต่เรือลำที่ไปเกาะเต่าใหญ่กว่านี้เยอะครับ ไม่รู้สึกว่าเรือโคลงเลย แอร์เย็นด้วย แต่เรือนอนของเราในครั้งนี้รู้สึกได้ชัดเลยว่าโคลงมาก ใครที่เมาเรือง่าย อาจอ้วกกันได้เลย และบนเรือรอบนี้นอกจากพวกผมแล้ว ที่เหลือก็เป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรปหมดเลยครับ (อารมณืเดียวกับตอนไปเกาะเต่า)


ตี 5 เป๊ะ เราก็มาถึงท่าเรือสุราษธานี Carlos แยกทางกับเราที่นี่ เพราะเขาจะไปกระบี่ต่อ และพอดีกับว่าตอนที่ลงไป ก็มี คนมาเสนอตั๋วต่อไปที่ต่างๆ ซึ่งกระบี่ เป็น 1 ในนั้น ผมเลยถามราคาให้ Carlos ว่าเท่าไร ได้ราคามา 100 บาท ถือว่าโอเค ราคาสมเหตุสมผล พวกเรากอดลา Carlos ขอให้โชคดีและสนุกกับการเดินทางและหวังว่าสักวันพวกเราจะได้มีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีก

หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถกะป๊อมาลงที่สถานีรถไฟครับ และหาข้าวเช้ากิน ได้เป็๋นร้านอาหารตรงข้ามสถานีรถไฟเลยครับ มีหลายอย่างทั้งโจ๊ก ข้าวมันไก่ ข้าว ขาหมู ฯลฯ จากนั้นก็ไปอาบน้ำและนั่งรอรถแถวสถานีเพื่อเตรียมขึ้นรถไฟกลับเข้ากรุงเทพฯครับ ซึ่งเป็นรถไฟด่วนพิเศษสาย 40 สุราษฯ – กรุงเทพ รถออก 10.40 ถึงกรุงเทพฯ 19.45 ครับ ราคา 601 บาท

โดยรถไฟสาย 40 มีแต่แบบที่ชั้น 2 ครับ เป็นรถแอร์ เบาะสามารถปรับเอนได้ มีเสริ์ฟอาหารเที่ยง 1 มื้อ เป็นปลากระป๋องปุ้มปุ้ยในซอสเทริยากิ กับขนมและน้ำส้ม(หรือกาแฟ) 19.00 พวกเราก็มาถึง สถานีบางบำหรุ โดยพวกเราเลือกที่สถานีนี้เนื่องจากว่าที่พักของแต่ละคนอยู่ฝั่งธนบุรีกัน ก็ถือเป็นการจบทริปที่ยังค้างคาใจอยู่ครับ(ก็ตั้งใจว่าจะไปฟูลมูน แต่ไม่ได้ไป) เลยกะไว้ว่าจะต้องมีซ่อมแน่นอนครับ ไว้ถ้าไปว่อมเมื่อไรจะกลับมารีวิวอีกครั้งแน่ๆครับ

สรุปงบ

19 พ.ค.59

ค่าไก่ทอดบอนชอน (ฝากเพื่อนซื้อไปกินบนรถไฟ) = คนละ 80 บาท
ค่าโรงแรม Queen Hotel ห้องละ 300 บาท /3 = คนละ 100 บาท
ค่าเบียร์คนละ 100

20 พ.ค. 59
ค่าติ่มซำ 720 /6 = 120 บาทต่อคน
เช่ารถ 1400+400 /6 = 300
ค่า One day trip 950 บาท
ค่าที่พัก 1100/6 = 183.33
ค่าอาหารเย็น ครัวบัวผุด 1300/6 = 217
ค่าเบียร์ = 100 ต่อคน

21 พ.ค. 59
ค่าเหมากะป๊อ 1500/6 = 250 ต่อคน
รถไฟ(ที่ไม่ได้ไป) = 257 
น้ำมันรถ 500/6 = 83.3 ต่อคน
ค่าข้าวเที่ยง(ซื้อไปกินบนเรือ) = 50
บังกะโล 700/6 = 116.6 ต่อคน
มอไซต์ 300/6 = 50 ต่อคน
ค่าเรือเฟอรรี่ไปกลับ ดอนสัก – เกาะพะงัน = 420 บาท

22 พ.ค. 59
ข้าวกล่องเช้า 50
ข้าวกล่องเที่ยง 70
เรือนอน 400
ข้าวกล่องค่ำ 70

23 พ.ค. 59
ตั๋วรถไฟด่วน 601 บาท
โจ๊ก+ปาท่องโก๋ 2 คู่ 40 บาท
กาแฟดำ 25 บาท
รวม ตีเป็นเลขกลมๆ 4700 บาท (แต่จะใช้แค่ 3600 บาท ถ้าเพื่อนๆไม่ตกเรือเฟอรร์รี่)

Tip & Trick
1.ถ้าจะไปแบบไม่นอนแพหรือไม่สามารถจองแพอุทยานราคาถูกได้ และไม่ซีเรียสเรื่องการตื่นมาดูหมอกตอนเช้าบริเวณเขื่อน แนะนำว่าหลังจากจบ One day trip ให้กลับไปนอนที่บริเวณตัวเมืองสุราษฯครับ จะสะดวกในการเดินทางไปท่าเรือดอนสักต่อมากกว่า
2.บ้านพักการไฟฟ้าอยู่ลึกในตัวเขื่อนมาก ไม่มีรถประจำทางผ่าน ควรมีรถส่วนตัว
3.อย่างไรก็ตามบ้านพักการไฟฟ้า จะได้ส่วนลด 50% ถ้าสมาชิกที่เข้าพักเป็นข้าราชการ
4.ตั๋วเรือของราชาเฟอร์รี่(ท่าเรือดอนสัก – เกาะสมุย/เกาะพะงัน) ถ้าซื้อแล้ว จะใช้รอบไหนภายในวันนั้นก็ได้
5.ราคารถสองแถวจากท่าเรือท้องศาลา ไปหาดริ้น(สถานที่จัดงานFull Moon) ราคาไม่ควรเกิน 100 บาท ต่อรอบ

 

ขอบคุณทริปรีวิวการเดินทางจากสมาชิกพันทิปคุณAnywhere For you

 


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ