tripgether.com

คนวันหยุดน้อยอยากพัก! 2วัน 1คืน หนีเข้าป่า นอนแพริมน้ำที่ไทรโยค-กาญจนบุรี

35,091 ครั้ง
27 มี.ค. 2560

เที่ยวกันทุกอาทิตย์! ใครที่มีอาการแบบนี้เชื่อว่า 1 ในเมืองที่ไปบ่อยๆ คงหนีไม่พ้นกาญจนบุรี เมืองที่แวดล้อมไปด้วยภูเขาสูง แม่น้ำสายยาว และสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย กาญจนบุรีจึงกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ที่คนกรุงอย่างเราๆ เอ๊ะอ๊ะ! คิดอะไรไม่ออกก็ต้องนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ และวันนี้เราจะไปพักผ่อน หนีฝุ่นเมืองกรุงมุ่งหน้าเข้าป่ากับ “ทริป: คนวันหยุดน้อยอยากพัก! 2วัน 1คืน หนีเข้าป่า นอนแพริมน้ำที่ไทรโยค”


Day: 1 “การเดินทางซ้ำๆ ณ กาญจนุบรี”

เช้านี้เราออกเดินทางกันแต่เช้าค่ะ เพราะอขากแวะเที่ยวแวะถ่ายรูป สำหรับการเดินทางไปกาญจนบุรีก็ไม่ยาก ถ้าขับรถเองก็จะผ่านจังหวัดนครปฐม ราชบุรี เข้าถนนแสงชูโตวิ่งยาวๆ จนเข้าสู่ตัวเมืองกาญ และจุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้คือ ไทรโยค ก็ให้ใช้ถนนเลี่ยงเมือง ลัดเข้าที่บริเวณ 4 แยกท่าล้อ ถ้าใครกลัวหลง Google Map ช่วยคุณได้ค่ะเราใช้เวลาเดินการกันเกือบ 2 ชั่วโมงก็เข้าสู่เขตอำเภอไทรโยค แต่ท้องเริ่มหิวเลยตั้งใจว่าจะหาอะไรกินแถวๆ หน้าน้ำตกไทรโยคน้อย เพราะแถวนี้ร้านอาหารเยอะทีเดียว

กินข้าวเสร็จตั้งใจว่าจะแวะขึ้นไปนั่งริมน้ำตก เอาเท้าจุ่มน้ำให้เย็นขึ้นมาถึงใจ แต่น้ำแห้งสนิท เรียกว่าไม่มีสักหยด อาจจะเป็นเพราะเพิ่งจะเข้าหน้าฝน น้ำเลยยังมาไม่ทัน แต่ไหนๆ มาถึงแล้วก็เลยเดินเล่นแวะถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันสักหน่อย

น้ำตกไทรโยคน้อย หรือ น้ำตกเขาพัง เหตุที่เรียกว่าน้ำตกเขาพังเพราะว่าหน้าผาหินปูนที่พังทลายแล้วเกิดเป็นโขดหินสลับกันเป็นชั้นน้ำตกนั่นเอง ซึ่งหน้าผาจะมีความสูงประมาณ 15 เมตร ในช่วงที่น้ำเยอะๆ ภาพของน้ำตกแห่งนี้สวยงามไม่แพ้น้ำตกที่ไหนทีเดียว ใครที่อยากมาชมความสวยงามและอยากแช่น้ำเย็นๆ ที่น้ำตกไทรโยคน้อยอาจต้องรอในช่วงหน้าฝนจริงๆ ตั้งแต่กันยายน – ตุลาคม น้ำเยอะแน่นอนรับรองไม่พลาดเหมือนเรา

หลังจากแห้วกับน้ำตก งั้นขอมุ่งหน้าเข้าป่า มองสีเขียวๆ ให้ใจมันสดชื่นสักหน่อย เราเลยมาแวะกันที่ ช่องเขาขาด พิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำ สำหรับที่นี่จะเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 และไฮไลท์ของที่นี่ก็คือภูเขาที่ถูกตัดเจาะ ให้เป็นเส้นทางรถไฟนั่นเอง

แต่ก่อนจะเดินชมเส้นทางรถไฟเข้าไปชมประวัติความเป็นมาให้เราได้อินไปกับบรรยากาศขึ้น ภายในพิพิธภัณฑ์กันก่อนดีกว่า

บรรยกาศภายในพิพิธภัณฑ์ได้จำลอง เส้นทางของทางรถไฟสายมรณะให้เราได้ชม มีภาพเก่าที่เล่าสประวัติความเป็นมาที่อยากลำบากของเชลยศึก และยังมีห้องโฮมเทียร์เตอร์ที่เล่าเรื่องเป็นภาพเคลื่อนไหว ที่เพิ่มระดับความอินขึ้นมาได้ 9.9 และพร้อมที่เราจะเดินตามเส้นทางชมบรรยากาศแห่งอดีตที่ชวนนึกถึงกัน

จากภายในอาคารการเรียนรู้ที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวแห่งอดีตที่น่าสนใจ ด้านนอกตัวอาคารยังมีจุดชมวิวสวยๆ ที่สามารถชมวิวเบื้องหน้าได้แบบ 180 องศาทีเดียว และจากจุดนี้จะมองเห็นเส้นทางเดินเพื่อไปยังช่องเขาขาด งั้นเราเริ่มเดินทางกันเลย…

บริเวณพื้นที่พิพิธภัณฑ์ได้รับการดูและรักษา ออกแบบตกแต่งได้อย่างเป็นระเบียบ มีเส้นทางสำหรับเดินศึกษาที่สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเข้ามาเพื่อเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ หรืออยากจะมาซึมซับบรยากาศสวยๆ ของธรรมชาติ ถ่ายรูปเล่นชิลๆ ที่นี่ก็ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยว

จากด้านบนพิพิธภันฑ์เราเดินตามเส้นทางลงมาด้านล่าง เมื่อไปยังจุดไฮไลท์ช่องเขาขาด ซึ่งระหว่างทางจะแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ร่มรื่น มีจุดให้นั่งพักผ่อน

เมื่อลงมาถึงบริเวณด้านล่างด้านซ้ายมือเราจะเป็นบริเวณภูเขาที่มีต้นเฟิร์น มอสส์เขียวๆ ที่ให้ความรู้สึกเย็นและสบายตาอย่างบอกไม่ถูก

เราเดินกันไปสักพักก็ถึงบริเวณช่องเขาขาด ภูเขาหินที่ถูกตัด เจาะตรงกลางขาดเมื่อเป็นทางรถไฟ ซึ่งระหว่างภูเขาหินที่ถูกตัดจะมีธงชาติประดับ ซึ่งเป็นการทำความเคารพแก่ผู้ชีวิตชาติต่างๆ

เดินเลยพ้นจุดช่องเขาขาด บริเวณนี้จะเป็นที่นั่งพัก และเป็นอนุสาวรีย์ ประวัติความเป็นมาของช่องเขาขาด

เรานั่งชมวิว ซึบซับบรรยากาศเก่าๆ ของประวัติศาสตร์กันสักพัก ก็เดินกลับมาที่รถเมื่อเดินต่อไปยังจุดหมายของเรานั่นคือที่พักริมแม่น้ำแควที่ ไทรโยควิว รีสอร์ท กาญจนบุรี

แต่ระหว่างทางที่ขับรถกันงงๆ เราเลยบังเอิญไปเจอสะพานแขวนข้ามแม่น้ำเข้าหมู่บ้านหนึ่ง ที่ให้อารมณ์คล้ายๆ กับสะพานข้ามแม่น้ำที่วังเวียงยังไงยังงั้น เลยไม่พลาดลงไปถ่ายรูปเล่นกันสักหน่อย

สะพานแขวนนี้ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว เป็นเพียงเส้นทางสัญจรของชาวบ้านในละแวกนี้จึงทำให้มีรถมอเตอร์ไซต์วิ่งเข้าออกตลอดเวลา สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากแวะไปถ่ายรูปก็ต้องใช้ความระมัดระวังกันหน่อยนะคะ (Location : ใกล้วัดหาดงิ้ว อ.ไทรโยค)

จากสะพานแขวน เราขับรถมุ่งหน้าไปต่อโดยอาศัย Google map นำทาง และเราก็มาถึงที่พักของเราในคืนนี้ ไทรโยควิว รีสอร์ท กาญจนบุรี อีกหนึ่งที่พักบรรยากาศดีที่ใช้เวลาจองนานกว่าจะได้ เพราะคนเต็มตลอดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

แต่บรรยากาศที่เราได้เห็นตั้งแต่ก้าวแรก ก็บอกเลยว่าไม่มีผิดหวัง ครั้งนี้เราได้จองที่พักโซนริมน้ำในราคาคนละ 1200 บาท จะรวมที่พัก 1 คืน อาหาร 2 มื้อแบบบุฟเฟต์ และกิจกรรมล่องแพชมวิวแม่น้ำแควน้อย

เราเช็คอินเก็บกระเป๋า เอนหลังพักเหนื่อยกันได้สักพักก็ถึงเวลาที่ทางรีสอร์ทมีกิจกรรมล่องแพ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะมี 2 รอบด้วยกันคือ 16.00 น., 17.00 น. แต่ละรอบก็จะใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมงถึง 45 นาที ก็ขึ้นอยู่กับเพื่อนร่วมกิจกรรมที่ลงเล่นน้ำลอยคอในแม่น้ำ หลังทำกิจกรรมเสร็จ ก็ถึงเวลาอาหารเย็น สำหรับเมนูอาหารที่นี่จะเป็นอาหารไทยให้เราได้รับประทานกันแบบบุฟเฟ่ต์ เปิดตั้งแต่ 18.00 – 21.00 น.

และถึงแม้ว่าพวกเราจะพักกันโซนริมแพ แต่พอตกดึกอยากว่ายน้ำเล่น ที่นี่เค้าก็มีสระว่ายน้ำเปิดให้บริการถึงประมาณ 19.30 น. เลยได้แค่เอาเท้าแช่ชิลๆ และถ่ายรูปเก็บมาฝากกันสำหรับโซนใหม่ของที่นี่ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่อยากได้บ้านเป็นหลังมาเป็นกลุ่มใหญ่ เพราะมีพื้นที่เยอะ ราคาอยู่ที่คนละ 1700 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงรบกวนโทรสอบถามอีกครั้งโทร. 085 516 4682)


Day: 2 “เดี๊ยวเราก็ได้พบกันอีก”

เช้านี้ตื่นมาชมบรรยากาศของแม่น้ำแควน้อยที่ริมแพ และรับประทานอาหารเช้า ซึ่งห้องอาหารเช้าที่นี่จะเปิดตั้งแต่ 6.00 – 9.00 น. ใครที่ตื่นสายงานนี้อาจพลาดมื้อเด็ดที่แสนวิเศษ ที่ได้นั่งกินข้าวต้มอุ่นๆ ริมแม่น้ำแควน้อยยามเช้าทีแสนสบายๆ มีลมพัดอ่่อนที่ทำให้รู้สึกสบายใจเป็นที่สุด

วันนี้เราไม่ได้มีแพลนว่าจะไปเที่ยวไหน เลยทำเวลาชิลๆ ว่ายน้ำเล่นที่สระว่ายน้ำของรีสอร์ท จนถึงเวลาเช็คเอ้าท์

ตอนแรกเราตั้งใจจะมุ่งหน้าเข้าตัวเมือง แต่รู้สึกว่ายังไม่อิ่มเท่าไรเลยขับรถแวะไปเที่ยวชมวิวสันเขื่อนศรีนครินทร์กันต่อ ซึ่งในช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ ที่นี่จะมีร้านอาหารเปิดให้บริการหลายร้าน เราเลยได้นั่งกินข้าว ส้มตำ ในราคาไม่แพงกันที่นี่

เขื่อนศรีนครินทร์ เป็นเขื่อนอเนกประสงค์และปัจจุบันยังกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม สันเขื่อนศรีนครินทร์ยังมีเป็นสันเขื่อนที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศไทยอีกด้วย ที่นี่จึงมีจุดพักผ่อนชิลๆ สวนดอกไม้ให้นักท่องเที่ยวได้เช็คอิน โพสท่าถ่ายรูปกันอย่างมากมายทีเดียว

แต่จุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คงหนี้ไม่พ้นเส้นทางเลียบสันเขื่อน ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาจอดรถถ่ายรูป (แต่ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ได้ทำป้ายห้ามจอด เพื่อให้นักท่อวได้เดินเล่นกันสบายๆ และเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ รวมไปถึงรถติดอีกด้วยในช่วงวันหยุด)

หลังจากกินข้าวอิ่ม เดินถ่ายรูปกันสักพัก มองท้องฟ้า มองแม่น้ำแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพร้อมที่จะมีแรงกลับไปลุยงาน สู้กับความวุ่นวายของกรุงเทพฯ เราก็เดินทางเข้ามายังตัวเมืองกาญฯ ก่อนที่กลับว่าจะหาข้าวเย็นกินกันสักมื้อ เลยขับรถวนไปตั้งหลักแถวๆ สะพานข้ามแม่น้ำแคว อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ต้องมาเช็คอินท์เมื่อมาถึงกาญจนบุรี

ทริปกาญจนบุรี ของพวกเราก็จบลงที้รานอาหารแถวๆ สะพานข้ามแม่น้ำแคว หลังจากนั่นพวกเราก็มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ การไปพักผ่อนเสาร์ อาทิตย์นี้ถือเป็นการชาร์ตแบตที่พร้อมจะให้เรากลับมาทำงานและลุยกับความวุ่นวายของเมืองหลวงกันแล้ว รับรองว่าออกซิเจนที่ได้ในทริปนี้สามารถเอาใช้ได้จนถึงวันหยุดต่อไปแน่นอน

 

Story: ทริปเก็ทเตอร์


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ