tripgether.com

ทริป 3 วัน 2 คืน แพร่-น่าน เที่ยวเมืองสโลว์ไลฟ์สุดชิค ประดิษฐ์งานฝีมือล้ำๆ พร้อมดื่มด่ำกับธรรมชาติกลางหุบเขา

7,611 ครั้ง
27 ก.พ. 2561

ว่ากันตามตรง ขึ้นเหนือมาทีไร นอกจากเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน จังหวัดอื่นในภูมิภาคนี้ผมไม่ค่อยมีโอกาสไปเยือนไปสัมผัสเท่าไรนัก พอทางนิตสารแม่บ้าน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ติดต่อมาให้ไปร่วมทริปเที่ยวแบบผสมผสานที่จังหวัดแพร่-น่าน โดยมี ”ชา” เป็นจุดประสงค์หลักของทริป ผมจึงตอบตกลงทันที เพราะเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ กับการได้ไปเปิดประสบการณ์เที่ยวครั้งใหม่ใน 2 จังหวัดที่มีวิถีชีวิตและธรรมชาติที่โดดเด่นเช่นนี้ ขอขอบคุณนิตยสารแม่บ้านและ ททท. มา ณ ที่นี่ด้วยครับ 😉


Day1 เริ่มต้นทริปกันที่สนามบินดอนเมืองในช่วงเช้า เพื่อเดินทางไปกับนกลาเต้ เครื่องบิน Q400 NextGen ของสายการบิน Nokair โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงท่าอากาศยาน จ.แพร่

รับกระเป๋าเสร็จ พี่นันท์ ไกด์ประจำทริปของเราก็ไม่รอช้า พาเราเดินทางไปร้านอาหารทันที ระหว่างทางพี่นันท์ก็บรรยายเกี่ยวกับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ผู้คน สถานที่ ของจังหวัดแพร่ให้เราฟังกันแบบเพลินๆ ก่อนจะถึงจุดเช็คอินแรกของทริปนี้ที่ ร้านปั๋นใจ๋ ที่ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาเพียง 10 นาทีเท่านั้น มาดูกันซิว่าจะอร่อยจนต้องถึงกับต้องปันใจให้มั้ยนะ

ความน่าสนใจอย่างหนึ่งของอาหารทางภาคเหนือก็คือขนมจีนครับ แต่ละจังหวัดก็จะมีน้ำพริก น้ำยา หรือแกงที่กินกับเส้นขนมจีนแตกต่างกันไป ที่แพร่เองก็มีแบบน้ำใส (คล้ายต้มกระดูกหมูผสมน้ำเงี้ยวแต่ไม่ใส่พริกแกง) และพริกน้ำย้อย (พริกทอด หอมทอด) ให้ได้เลือกชิมความอร่อยเช่นกัน และนี่คือมื้อเช้ารวบมื้อกลางวันของเราในวันนี้ครับ

กินคาวเสร็จก็มากินหวานต่อตามสูตร รอบนี้เราสั่งซาหริ่ม ทับทิมกรอบ สาคูมะพร้าวอ่อน และบัวลอยเผือกมาทานกัน ทานเสร็จบอกได้เลยว่า รอบหน้าถ้ามาแพร่ผมมาร้านนี้อีกแน่นอน อร่อยทั้งอาหารคาวและหวานจริงๆ ครับ

จากร้านอาหารปั๋นใจ๋ ก็เดินทางกันต่อไปยัง สหกรณ์ผู้ผลิตหม้อห้อมทุ่งโฮ่งแพร่ ของวิสาหกิจชุมชนหม้อห้อมทุ่งเจริญย้อมสีธรรมชาติ ที่นี่เราได้พบกับป้าเหงี่ยม ที่พาเราไปเรียนรู้และเยี่ยมชมสาธิตการทำผ้าหม้อห้อมแบบง่ายๆ คุณป้าได้อธิบายความรู้เกี่ยวกับการปรับสภาพกรดเบสของน้ำที่ได้จากต้นห้อมก่อนนำไปทำเสื้อวิธีการทำลวดลายบ้านผ้า และเกร็ดการทำผ้าหม้อห้อมให้ฟังอีกเล็กน้อย ก่อนจะให้เราได้ลงมือทำผ้าหม้อห้อมของตัวเอง

หากใครอยากได้เสื้อผ้าเก๋ๆ หรือของที่ระลึกน่ารักๆ ติดไม้ติดมือกลับไป ที่นี่ก็มีให้เลือกซื้อเช่นกัน

 

หลังวุ่นอยู่กับสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องผ้าหม้อห้อมและช้อปปิ้งอยู่อีกพักใหญ่ เราก็เดินทางมาต่อกันที่ คำมีสตูดิโอ (Kummee Studio) ที่นี่มีงานปั้นดินขาวหรือดินเซรามิก งานศิลปะที่จัดแสดงอยู่ใต้ร่มไม้และแดดยามบ่ายให้ได้ชมกันแบบเพลินๆ

 

สำหรับไฮไลท์ของคำมีสตูดิโอแห่งนี้อยู่ที่ workshop ปั้นดิน ที่ให้นักท่องเที่ยวได้สร้างสรรค์งานของตัวเองขึ้นมา แถมใครที่หิวก็สามารถสั่งพิซซ่าหรือเบอร์เกอร์ของทางร้านมาทานได้อีกต่างหาก แอบเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้สั่งมาลองเพราะยังอิ่มขนมจีนจากปั๋นใจ๋กันอยู่เลย ซึ่งหลังจากเดินชมรอบๆ ได้สักพัก พี่โก้ เจ้าของสตูดิโอก็กล่าวแนะนำ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวิร์กช็อป โจทย์ในการปั้นครั้งนี้แน่นอนว่าคือถ้วยน้ำชาครับ เอาไว้ใส่ชาที่เราจะได้ผสมเองในวันที่ 3 นั่นล่ะครับ

 

ใครที่ลังเลใจหรือกลัวว่าจะทำไม่เป็นไม่ต้องห่วงเลยนะครับ เพราะพี่โก้แนะนำและสาธิตทุกขั้นตอนแบบง่ายๆ สามารถทำตามได้เลยทันที ใครมีข้อสงสัยหรือต้องการความช่วยเหลือก็บอกได้ พี่โก้และทีมงานพร้อมเข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และในระหว่างทำพี่โก้ก็จะคอยบรรยายสอดแทรกความรู้ให้เราเรื่อยๆ อย่างเช่น ชนิดของดินที่นำมาผสมกันเพื่อให้ดินขึ้นรูปได้ ประเภทของสีที่ใช้ในงานเซรามิก ความหนาของงานปั้น ฯ ทำไปได้ความรู้ไป น่าจะถูกใจใครหลายคนเลยทีเดียว

และในส่วนผลงานนี้พี่โก้บอกว่าหลังจากนำไปอบแล้วจะส่งตามไปให้ทีหลัง ผมนี่รอดูงานตัวเองไม่ไหวแล้วครับ แถมต้องลุ้นอีกว่าจะแตกหักกลางทางไหม ไว้ส่งมาถึงแล้วจะเอามาอวดนะครับ

 

กล่าวขอบคุณและบอกลากับพี่ๆ ที่คำมีสตูดิโอเรียบร้อย ก็ได้เวลาพักผ่อนของชาวทริปซะที ก่อนเข้าพักเลยแวะมาร้าน Charlotte Hut Coffee & Tea Bar หาเครื่องดื่มเย็นๆ กับเค้กอร่อยๆ มาทานกันสักหน่อย

ส่วนตัวผมชอบชีสเค้กของที่นี่มากเป็นพิเศษ ไม่เค็มหรือเลี่ยนชีสจนเกินไป ทานคู่กับโกโก้เย็นยิ่งเพิ่มความละมุนในปากเข้าไปอีก ใครมาเที่ยวที่แพร่ลองแวะมาชิมความอร่อยกันได้ครับ

 

บรรยากาศนอกร้านก็ร่มรื่นดี มีมุมให้นั่งชิลล์ นั่งเม้าท์กับเพื่อนๆ หลายมุมเลย

เมื่อเห็นว่าเวลาตามกำหนดการยังเหลือ พี่นันท์เลยเสนอให้ลองไปร้านกาแฟอีกร้านนึง ชื่อ Slope coffee ร้านกาแฟที่ตัวร้านเอียงลาดไปทางด้านหลังร้าน เออ น่าสนใจดีแฮะ มีคนเสนอก็ต้องมีคนสนองครับ สุดท้ายก็ตามกันไปหมดทั้งทริป

 

ถึงแล้วครับ สโลปคอฟฟี่ ตัวร้านลาดไปทางด้านหลังจริงๆด้วย อาจไม่เยอะมากแต่เดินไปแล้วรู้สึกได้เลย เห็นหน้าร้านแล้วอาจรู้สึกว่าเป็นร้านเล็กๆ แต่ด้านหลังมีโต๊ะบาร์และมุมนั่งให้เลือกเพียบ แถมเย็นสบายตลอดวันด้วยต้นไม้รอบๆ ร้านอีกต่างหาก

ความน่าสนใจของที่นี่ นอกจากเครื่องดื่มรสชาติเข้มข้นแล้ว ก็ยังมีขนมปัง ABC นี่ล่ะครับ กินแล้วนึกถึงตอนเด็กๆ เลย ตอนนั้นถึงกับอ้อนที่บ้านให้ซื้อมาตุนไว้เพราะกลัวโดนคนอื่นแย่งกิน อ้อ!ภายในร้านยังมีตุ๊กตาฟิกเกอร์มาสก์ไรเดอร์และหุ่นยนต์มาชินก้าแซดตั้งโชว์อยู่ด้วย เป็นความชอบส่วนตัวของพี่เจ้าของร้านน่ะครับ ตัวผมเองก็ชอบสะสมเหมือนกันเลยได้พูดคุยกันนิดหน่อยก่อนจะเดินทางไปยังที่พักของเราในคืนนี้ที่ เฮือนนานา

 

กว่าเรามาถึงโรงแรมเฮือนนานาก็มืดแล้วครับ พี่ๆ ทีมงานเลยให้รีบมารับกุญแจห้องเพื่อนำสัมภาระไปเก็บ ก่อนจะลงมาทานอาหารเย็นกัน ห้องพักที่นี่กว้างใช้ได้เลย สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบ 

 ลงมาที่จุดนัดริมสระน้ำก็เจออาหารเย็นวันนี้ของเราครับ หน้าตาน่ารับประทานมาก

 

ผมนั่งคุยกับพี่ๆ รวมทริปต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะจบวันแรกด้วยการแยกย้ายกันไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง


Day 2  เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยอาหารแนวอเมริกันเบรคฟาสต์ (ABF) ของโรงแรมเฮือนนานา พวกเมนูไข่สามารถบอกได้นะครับว่าจะให้ปรุงแบบไหน ผมเลือกไข่เจียวแบบในภาพมา เพราะเห็นว่ามีผักและสีสันน่ากิน ก่อนจะออกเดินทางไปยัง ห้องสมุด บ้านๆ น่านๆ ซึ่งเป็นจุดหมายแรกของวันนี้

บรรยากาศรอบๆ โรงแรมช่วงเช้า

 

ห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ จุดหมายแรกของเรา เป็นห้องสมุดที่มีร้านกาแฟเล็กๆ ซ่อนอยู่ด้านใน ให้นักอ่านหรือนักท่องเที่ยวที่แวะเข้ามาได้ดื่มด่ำความสดชื่นและความสวยงามของเนื้อหาในหนังสือไปพร้อมๆ กัน รอบๆ ร้านมีมุมให้นั่งอ่านหนังสือกันแบบเพลินๆ หลายมุมทีเดียว

 

ตัวห้องสมุดแบ่งเป็น 2 ชั้น ด้านบนมีหนังสือสำหรับหยิบมานั่งอ่านอยู่เยอะพอสมควร ส่วนด้านล่างก็มีหนังสือประเภทเรื่องสั้น งานทดลองเขียน และของฝากอีกเล็กน้อยให้ได้เลือกซื้อเลือกชมกัน

 

เราใช้เวลาอยู่ที่บ้านๆ น่านๆ กันสักพัก ก่อนจะขึ้นรถตู้ออกเดินทางกันอีกครั้ง เพื่อไปยัง ชุมชนบ้านห้วยพ่าน จ.น่าน คราวนี้ใช้เวลานานหน่อยครับ ประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งได้ นั่งหลับบนรถตามๆ กันไป กว่าจะถึงบ้านห้วยพ่านพระอาทิตย์ก็มาอยู่ตรงกลางหัวพอดี การเข้ามาที่บ้านห้วยพ่านค่อนข้างลำบากเล็กน้อยครับ เป็นไปได้แนะนำให้นำรถกระบะเข้ามาจะดีกว่า ไฮไลท์ของที่นี่คือล่องแพและทางเดินศึกษาธรรมชาติโต๊ะเพ้เจิ้ง

 

มาถึงก็ถ่ายรูปกันเล่นๆ สักพัก ระหว่างที่รอข้าวกลางวันที่กำลังจัดเตรียมอยู่

 

มาแล้วครับมื้อกลางวันของเรา ทุกจานใส่ความอร่อยและความตั้งใจของคุณป้าแม่ครัวไปเต็มเปี่ยมเลย

 

ก่อนปิดด้วยขนมหวานหน้าตาคล้ายข้าวต้นน้ำวุ้นภาคกลางแต่ที่นี่เป็นข้าวเหนียวก้อนสามเหลี่ยม โรยหน้าด้วยน้ำตาลและมะพร้าวอร่อยไปอีกแบบ ถามชื่อขนมคุณป้าเค้ามาแล้วครับแต่จำไม่ได้จริงๆ ใครรู้จักทักมาบอกกันได้นะครับ 

หลังทานเสร็จ คุณอาผู้ใหญ่บ้านก็พาเราไปเดินชมและแนะนำวิถีชีวิตในหมู่บ้านสักพักให้อาหารย่อย

แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาของทริป เราเลยได้แค่ล่องแพในระยะสั้นๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศท่องเที่ยวของที่นี่ไว้ให้มากที่สุด แต่ถ้าใครมาแล้วมีเวลาว่างมากพอ อาผู้ใหญ่บ้านแนะนำให้เดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วยครับ เพราะชาวบ้านที่นี่ตั้งใจและใช้เวลาพลิกฟื้นผืนป่านานมาก กว่าป่าจะกลับมาสมบูรณ์ขนาดนี้ สำหรับคนที่ล่องแพ สามารถให้อาหารปลาจากบนแพได้ครับ น้ำใสเห็นตัวปลาชัดเจนดี

 

คุณลุงที่ค้ำแพบอกว่า ช่วงบริเวณที่ล่องแพและหน้าหมู่บ้านนี้เป็นเหมือนสถานีอนุรักษ์พันธุ์ปลาที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งเลย เพราะเป็นเขตห้ามจับสัตว์น้ำ ใครมาจับปลาจะโดนปรับตัวละ 500 บาท  ไม่ว่าคนในหรือคนนอก ชาวบ้านที่จะจับปลาต้องขึ้นไปทางต้นนำอีกหน่อยนึงถึงจะสามารถจับได้

 

ขึ้นมามีการแสดงฟ้อนของสาวๆ ชาวละหู่ ให้ได้ชมกันใต้ร่มไม้ใหญ่ สวยงามไปอีกแบบหนึ่งครับ

 

แม้ห้วยพ่านจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในหมู่บ้านนี้ไม่เล็กเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับที่อบอุ่นจากชาวบ้านและเด็กๆ กับข้าวมื้อกลางวันสุดอร่อย และธรรมชาติที่รายล้อมรอบตัว หากมีโอกาส อยากให้เพื่อนๆ ได้ลองมาสัมผัสวิถีชีวิต หรือมาเที่ยวที่นี่เหมือนผมดูสักครั้ง ติดใจแน่นอน

ช่วงบ่ายแก่ๆ เรากล่าวขอบคุณก่อนเดินทางออกจากบ้านห้วยพ่าน ไปยังร้าน ลำดวนผ้าทอ Lamduan Partro ช่วงที่เราไปทางศูนย์ปิดทำการแล้ว แต่ใกล้ๆ กันยังมีร้านกาแฟบ้านไทลื้อของกลุ่มลำดวนผ้าทอเปิดอยู่ แถมด้านหลังร้านยังมีสวนดอกไม้และสะพานไม้ไผ่ให้ได้ถ่ายรูปด้วย ผนวกกับวันนี้แต่ละคนบ่นคล้ายๆ กันคือรู้สึกเพลียๆ กับการนั่งรถเลยเข้าไปนั่งพักผ่อนกันสักพัก

 

เหมือนโชคยังเข้าข้างเราอยู่ครับ ศูนย์ปิดแต่ยังมีผ้าทอพาดไว้เป็นแนวยาวอยู่ตามทางเดินเล็กน้อย เลยถ่ายเก็บไว้ให้รู้ว่าฉันมาถึงแล้วนะ ที่นี่ถ้าหากว่าเรามาถูกช่วง ด้านล่างของสะพานไม้ไผ่จะเต็มไปด้วยต้นข้าวใกล้ออกรวงสีเขียวแกมเหลืองที่สวยเพิ่มขึ้นไปอีก

หลังนั่งแช่กันได้พักใหญ่ ประมาณ 6 โมงเย็น เราก็เดินทางไปที่พัก เย็นวันที่สองนี้เรามานอนกันที่ น่าน ศรีปันนา รีสอร์ท กลางบรรยากาศธรรมชาติที่สงบเงียบ ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวสุดๆ ซึ่งตามกำหนดการของทริป หลังมาถึงแล้ว ช่วงเย็นเราจะได้ทานอาหารขึ้นชื่อของเมืองน่านอย่าง ไก่ทอดมะแขว่น จากฝีมือเชฟทวน อุปจักร์ คนต้นแบบจังหวัดน่านอีกต่างหาก รอดูกันครับว่ารสชาติและหน้าตาจะเป็นยังไง

ห้องพักคืนนี้ครับ เรียบง่ายสบายตา น่าทิ้งตัวลงไปหลับสุดๆ

 

เก็บของเสร็จก็รีบลงมาดูเชฟทวนสาธิตวิธีทำไก่ทอดมะแขว่นกันเลย ส่วนด้านขวามือนั่นเป็นมื้อเย็นและออเดิร์ฟอื่นๆ ของทางรีสอร์ทครับ อร่อยไม่แพ้กัน

นี่ครับหน้าตาของจานเอกเราในคืนนี้ หอมเครื่องเทศ รสชาติถึงใจสุดๆ

ไก่ทอดอย่างเดียวกลัวไม่อิ่ม วันนี้เชฟเลยทำยำผักกูดให้คนในทริปด้วย น่าทานไปอีก

ปิดท้ายด้วยบานอฟฟี่รสชาติดีต่อใจจากโรงแรมของเชฟทวนที่นำมาให้ลองทานกันแบบฟรีๆ  

 จบแบบอิ่มกายอิ่มใจกันไปอีกวันครับ 


Day3 เช้าที่น่านอากาศดีมากเลยครับ เลยเดินเล่นเก็บบรรยากาศที่พักมาฝากกันครับ ใครชอบใจบรรยากาศแบบนี้ หากมีโอกาสมาเที่ยวน่าน แนะนำเลยครับว่าหลับสบาย แถมยังได้สูดโอโซนดีๆ อีกด้วย

บรรยากาศที่พักน่าน ศรีปันนา รีสอร์ท

หลังทานอาหารเช้าเสร็จก็เตรียมตัวออกเดินทางไป ไร่ชาเมี่ยงน่าน บ้านนาศรีป่าน เราได้พบกับคุณลุงเฉลียว ปราชญ์ชาวบ้านที่พาเราไปทำความรู้จักกับไร่ชาอัสสัม วิธีการเก็บใบชามาทำเป็นชาและเมี่ยงและวิถีชีวิตของชาวบ้านอีกเล็กน้อย 

 

คุณลุงให้เราได้ทดลองเก็บใบชากันด้วยครับ ก่อนจะนำมาสาธิตวิธีคั่วใบชาแบบสดๆ ให้ได้ดูกัน

 

และนี่คือชาโบราณที่ได้จากชาที่นี่ครับ หอมกำลังดี แถมไม่ขมหรือฝาดจนเกินไปอีกด้วย

 

นอกจากนี้ยังมีการสาธิตวิธีการทำเมี่ยงอีกต่างหาก ใครอยากลองชิมเมี่ยงที่เพิ่งหมักเสร็จใหม่ๆ มาลองที่นี่กันได้ครับ น่าจะโดนใจหลายคนอยู่

 

เดินทางออกจากบ้านนาศรีป่านก็ช่วงเที่ยงแล้ว ทางทีมงานเลยพาเราไปทานข้าวกลางวันกันที่ น่านตะวันฟาร์ม ร้านอาหารและคาเฟ่ที่ซ่อนตัวอยู่กลางธรรมชาติ ที่นี่บรรยากาศดีแถมอาหารอร่อยอีกต่างหาก ขับรถเที่ยวน่านกันมาเหนื่อยๆ แวะมาพักที่นี่กันได้ รับประกันความฟิน อ้อ! ลืมบอกไปครับ ที่นี่ยังปลูกผักแบบไร้ดินเองอีกด้วยนะ หมดห่วงเรื่องสารเคมีในอาหารไปได้เลย

 

มาแล้วครับมื้อกลางวันของเรา แต่ละอย่างนี่น่ากินสุดๆ

 เติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว ก็ตะลุยเดินทางกันต่ออีกครั้งเพื่อไปยัง หอศิลป์ริมน่าน สถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะและภาพประวัติศาสตร์เมืองน่านที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด

 

ผลงานศิลปะที่เป็นไฮไลท์อีกชิ้นหนึ่งของที่นี่ คือ ภาพฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ที่ทรงวาดภาพล้อเลียนภาพกระซิบรักเมืองน่าน

 

จากนั้นก็เดินเสพย์งานศิลป์กันยาวๆ ครับช่วงนี้

 

ต่อมาพี่ๆ ทีมงานบอกว่ามีงานศิลปะเล็กๆ น้อยๆ ให้ทำกันระหว่างรอทำเวิร์กช็อปชงชาในช่วงสุดท้ายนั่นก็คือ เพ้นท์ถุงใส่กระปุกชาและซองชา สนุกละสิทีนี้ ขอโชว์สกิลวาดรูปตัวเองหน่อยเหอะ

 

 หลังวาดเสร็จก็เอาถุงมาให้พี่ๆ เป่าลมร้อนเพื่อให้สีแห้งเร็วขึ้น เสร็จแล้วครับถุงชาของผม (ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับว่าอันไหน)

 

วาดเสร็จก็พอดีกับที่กิจกรรมสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นพอดี โดยเวิร์คช็อปพิเศษนี้ ทางนิตยสารแม่บ้านได้เชิญพี่ปลาและพี่แนท เจ้าของร้าน Te ร้านชาที่เบลนด์ชาเองทุกสูตรเพื่อให้ได้รสสัมผัสของชาที่แปลกใหม่ แต่ยังคงไว้ซึ่งความอร่อย มาให้ความรู้เกี่ยวกับชา การชงชา อุณหภูมิที่เกี่ยวข้อง และแนะนำวิธีการผสมชาสูตรต่างๆ ให้เราฟังชนิดที่ว่าฟังเสร็จปุ๊บอยากจะศึกษาเพิ่มขึ้นมาเลยทันที 

 

แต่ก่อนที่จะเริ่มทดลองผสมชากันพี่ปลาพี่แนทก็ให้เราได้ลองดม ลองชิมชา แต่ละชนิดที่นำมาเป็นตัวอย่าง พร้อมกับให้ลองทายว่าใช้ส่วนผสมอะไรบ้าง ส่วนผมดมไปดมมาชักมึนครับ แยกไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร คือชาแต่ละสูตรมันหอมและมีเอกลักษณ์ในรสชาติของตัวเองแตกต่างกันไปจริงๆ

 

ลองครบทุกสูตรแล้วก็ลุยครับ ใครชอบกลิ่นไหน รสชาติไหนตอนชิม ก็ลองผสมเองเลย ผิดถูกไม่เป็นไรเอาอร่อยเราไว้ก่อนจังหวะนี้ โดยเมื่อได้สูตรที่โดนใจแล้วจะมีอุปกรณ์เป็นซองชาและขวดแก้วเล็กๆ ให้ได้เก็บชาของตัวเองไว้เป็นที่ระลึกกลับไปครับ

 

เสร็จสรรพก็เดินทางออกจากหอศิลป์ริมน่าน มาทานอาหารเย็นกันที่ เฮือนฮอม ร้านอาหารเมืองน่าน

 

จากร้านเฮือนฮอมสามารถข้ามถนนไปถนนคนเมือง เป็นถนนคนเดินจังหวัดน่านได้ครับ เดินช็อปเสื้อผ้าของที่ระลึกกันได้ตามอัธยาศัย บรรยากาศดูธรรมดาดีครับ ไม่วุ่นวายเหมือนถนนคนเดินอื่นๆ เรียกว่าเดินชิลล์ๆ กันได้ยาวๆ

 

ประมาณหกโมงเย็นก็ได้เวลากลับแล้วครับ ทุกคนกลับไปขึ้นรถ เตรียมไปเช็คอินที่ท่าอากาศยานน่าน ขากลับนี้ก็ใช้บริการของสายการบินนกแอร์อีกเช่นเคย

 

ถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพครับ

 

สำหรับทริปนี้ต้อง ขอขอบคุณทางนิตยสารแม่บ้าน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอีกครั้ง ที่ได้เปิดประสบการณ์เที่ยวจังหวัดแพร่-น่าน ครั้งแรกในชีวิตผม ขอบคุณพี่ๆ ร่วมทริปที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความทรงจำดีๆ ตลอดการเดินทาง สำหรับใครที่ยังติดภาพว่าเมืองเล็กๆ แบบนี้ไม่น่าจะมีอะไรน่าสนใจหรือน่าเที่ยว อยากให้พี่ๆ เพื่อนๆ ลองมาเที่ยวดูอีกสักครั้งนะครับ รับรองได้เลยว่าประสบการณ์แอ่วเหนือครั้งใหม่ของเพื่อนๆ จะไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน

 

 


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ