3 วัน 2 คืน เที่ยวเชียงคาน ใช้ชีวิตช้าๆ แบบชิคๆ ที่ริมโขง คนเดียวก็เที่ยวได้แบบชิลล์ๆ
103,039 ครั้ง
27 พ.ย. 2562
103,039 ครั้ง
27 พ.ย. 2562
ใกล้ช่วงปลายปีเข้ามาทุกที หลายๆ คนคงกำลังมองหาที่เที่ยวที่พักผ่อนกันอยู่แน่ๆ และแน่นอนว่าผมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังมองหาที่เที่ยวอยู่เช่นเดียวกัน และที่เที่ยวที่ผมอยากไปเที่ยวครั้งนี้ผมอยากหนีความวุ่นวายไปใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ เรียบง่าย และที่ที่ผมจะเลือกไปในครั้งนี้คือ เชียงคาน เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงสุดแนวชายแดนไทย – ลาว ที่ยังคงใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมและเรียบง่าย บรรยากาศของเมืองเชียงคานจะเป็นบ้านไม้เก่าแก่ ที่เรียงรายติดอยู่ริมแม่น้ำโขง และที่สำคัญการเดินทางในครั้งนี้ผมเดินทางไปเที่ยวเองด้วยตัวคนเดียวกับ ทริป 3 วัน 2 คืน เที่ยวเชียงคาน ใช้ชีวิตช้าๆ แบบชิคๆ
วันนี้ผมออกเดินทางจากสถานีขนส่งหมอชิต (กรุงเทพ) ตั้งแต่เช้าเพราะการเดินทางในครั้งนี้ผมเลือกเดินทางด้วยรถทัวร์ มุ่งหน้าไปยัง อ.เชียงคาน จ.เลย ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาน 8 ชั่วโมง เมื่อเดินทางมาถึงเชียงคาน รถจะจอดที่หน้าตลาดเชียงคาน ซึ่งผมก็ไม่รอช้ารีบต่อรถสกายแล็บเข้าไปเช็คอินที่พักที่จะนอนในคืนนี้ก่อน
นั่งรถสกายแล็บชมเมืองเชียงคานอยู่ไม่นาน ผมก็เดินทางมาถึงที่พักที่จะนอนในคืนนี้คือ เฮือนยายบับภา เรือนไม้โบราณที่อยู่คู่กับเมืองเชียงคานมาเกือบ 100 ปี เริ่มสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ 2468 ซึ่งเดิมทีเป็นบ้านพักอาศัยของคุณยายบับภา ซึ่งปัจจุบันได้รีโนเวทเป็นที่พักโดยมีคุณใหญ่และคุณเล็กเป็นผู้ดูแล โดยมีห้องพักให้เลือกทั้งหมด 7 ห้อง แบ่งเป็นห้องสำหรับนอน 2 คน 5 ห้อง และห้องสำหรับนอน 4 คน 2 ห้อง
สำหรับห้องที่ผมนอนจะเป็นห้องวิวแม่น้ำ ห้องที่ 6 ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ชั้นล่าง ภายในตกแต่งด้วยสไตล์บูติก มาพร้อมเตียงนอนนุ่มๆ และเฟอร์นิเจอร์ไม้สุดคลาสสิค แถมยังครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งเครื่องปรับอากาศ มุมนั่งพักผ่อน และห้องน้ำในตัว
ภายในห้องน้ำก็ยังสะอาดสะอ้านและแยกโซนเปียกและแห้งไว้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีไดร์เป่าผม สบู่ แชมพูและผ้าเช็ดตัวไว้ให้อีกด้วย เฮือนยายบับภา โทร. 082 219 8191, 042 821 705
นั่งรถมาตั้งหลายชั่วโมงหลังจากเช็คอินที่พักกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เลยไปต่อที่ร้าน จุ่มนัวยายพัด ร้านจุ่มนัวชื่อดังรสชาติสุดแซ่บซึ่งหากินได้ที่เชียงคานและที่ร้านจุ่มนัวยายพัดที่เดียวเท่านั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารเก่าแก่ของเชียงคานที่ปัจจุบันสืบทอดกันมาถึงรุ่นที่ 3 เปิดขายมานานกว่า 70 ปี ร้านตั้งอยู่ที่ซอย 10 เปิดตั้งแต่ 07.00 – 15.00 น.
เมนูเด็ดของร้านก็หนีไม่พ้น จุ่มนัว หลายๆ คนคงกำลังสงสัยอยู่แน่ๆ ว่าจุ่มนัวหน้าตาเป็นอย่างไร จุ่มนัวเป็นอาหารที่มีหน้าตาคล้ายๆ กับสุกี้ไหหลำแต่จะแตกต่างกันที่รสชาติซึ่งมีการประยุกต์ให้ถูกปากคนไทยมากยิ่งขึ้น และที่พิเศษกว่าสุกี้คือ จุ่มนัว สามารถเลือกเส้นได้เหมือนการสั่งก๋วยเตี๋ยวมีทั้งเส้นบะหมี่ เส้นเล็ก วุ้นเส้น และหมี่ขาวให้เลือก
และนอกจากนี้แล้วยังมีอีกหลากหลายเมนูให้เลือกทานไม่ว่าจะเป็น ก๋วยจั๊บ หมี่กะทิ ขนมจีน และขนมหวานอร่อยๆ อีกเพียบ ร้านจุ่มนัวยายพัด เปิดบริการตั้งแต่เวลา 07.00 – 15.00 น. โทร. 087 726 9228, 042 822 079
กินเมนูชื่อดังแห่งเมืองเชียงคานที่ร้านจุ่มนัวยายพัดเสร็จแล้ว ก็กลับมาชิลล์กันต่อที่ที่พัก เฮือนยายบับภา ซึ่งห้องที่ผมเลือกจะเป็นห้องวิวแม่น้ำและที่พิเศษสุดๆ เลยก็คือมีระเบียงส่วนตัวไว้ให้นั่งชมวิวแม่น้ำโขงและผู้คนที่ออกมาเดินเล่นสูดอากาศดีๆ กันในยามเย็น
นอกจากที่นั่งเล่นชิลล์ๆ บริเวณระเบียงส่วนตัวของห้องพักแล้ว เฮือนยายบับภา ยังมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับนั่งชิลล์เฉพาะผู้เข้าพักที่นี่เท่านั้นคือบริเวณชั้นล่างของตัวบ้าน แถมยังมีเปลไม้ไผ่ให้นอนชิลล์ชมบรรยากาศยามเย็น บอกเลยครับว่ามุมนี้สโลว์ไลฟ์สุดๆ เป็นชีวิตที่ผมตามหามานาน
แสงอาทิตย์ที่ตกลับขอบฟ้าไป แสงสว่างค่อยๆ มืดลงท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาของแสงทไวไลท์เป็นอะไรที่ประทับใจสุดๆ
ด้วยความที่ เฮือนยายบับภา อยู่ติดทั้งแม่น้ำโขงและถนนคนเดินเชียงคาน ดื่มด่ำกับบรรยากาศริมแม่น้ำโขงกันพอสมควรแล้ว ช่วงค่ำผมก็ไม่พลาดที่จะออกมาหาของอร่อยๆ กินที่ ถนนคนเดินเชียงคาน ซึ่งเปิดทุกวันเริ่มตั้งแต่เวลาประมาน 18.00 – 22.00 กันเลยทีเดียว บรรยากาศของถนนคนเดินเชียงคานเต็มไปด้วยความคึกคักจากนักท่องเที่ยวที่ต่างพากันมาสัมผัสเสน่ห์กันที่เมืองแห่งนี้ แสงไฟจากบ้านและร้านต่างๆ ส่องสว่างไปทั่วทั้งถนนชายโขง
มาถึงถนนคนเดินเชียงคานแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะกินสตรีทฟู้ดที่มีเฉพาะที่ถนนคนเดินเชียงคานเท่านั้น ผมไม่รอช้ารีบตรงดิ่งไปลองชิมเมนู กุ้งน้ำโขง ซึ่งจะเป็นกุ้งเสียบไม้ปิ้งขายกันแบบง่ายๆ และจะมีให้เลือกทั้งกุ้งตัวเล็กและตัวใหญ่ นอกจากกุ้งแล้วยังมีปูเสียบไม้อีกด้วย ที่สำคัญกุ้งและปูทุกตัวยังได้มาจากแม่น้ำโขงด้วยนะ ราคาไม้ละ 20 บาทเท่านั้นเอง
เดินมาอีกไม่ไกลก็มาเจอกับร้าน ลูกชกลอยแก้ว ตัวร้านตั้งอยู่แถวซอย 17 เดินมาหน้าร้านก็จะเห็นป้ายที่ติดไว้ว่า “ลูกชกลอยแก้ว 30 ปีมีหนึ่งครั้ง” ยิ่งทำให้ผมสนใจจนอดใจไม่ไหวที่จะลองชิม วิธีการกินก็ไม่ต่างอะไรจากน้ำแข็งใสราดน้ำเชื่อม แต่ความอร่อยของมันอยู่ตรงที่เนื้อลูกชกเหนียวๆ นุ่มๆ ซึ่งหาทานได้ยาก มีให้เลือกทั้งลูกชกแบบออริจินัลและลูกชกแช่ดอกอัญชัญสีม่วง ที่สำคัญราคาเพียง 35 บาท บอกเลยว่ามาเชียงคานต้องห้ามพลาดเมนูนี้เลยครับ
เดินตรงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่หน้าร้านอาหาร เฮือนหลวงพระบาง อีกหนึ่งร้านอาหาชื่อดังแห่งเมืองเชียงคานที่นอกจากชื่อร้านจะน่าสนใจแล้ว บรรยากาศของตัวร้านยังน่าสนใจไม่แพ้กัน มาถึงเชียงคานแล้วจะพลาดกินเมนูอร่อยๆ จากร้านเฮือนหลวงพระบางก็อย่างไรอยู่ ผมเลยไม่รอช้ารีบตรงดิ่งเข้าไปในตัวร้านทันที
บรรยากาศภายในตัวร้านให้กลิ่นอายความเป็นศิลปะและวัฒนธรรมของเมืองหลวงพระบางได้เป็นอย่างดี ทั้งดีไซน์และของประดับตกแต่งภายในตัวร้าน และยังมีที่นั่งให้เลือกทั้งโซนชั้นล่างและชั้นบนอีกด้วย
สำหรับเมนูอาหารของที่นี่จะเป็นเมนูอาหารพื้นเมืองเชียงคานและเมนูอาหารสูตรหลวงพระบาง ซึ่งถ้าใครที่อยากรู้ว่าอาหารพื้นเมืองเชียงคานและอาหารรสชาติแบบหลวงพระบางแบบดั้งเดิมเป็นอย่างไรผมแนะนำให้มาที่ เฮือนหลวงพระบาง กันเลยครับ สำหรับวันนี้ผมสั่งเมนูแนะนำจากทางร้านอย่าง นำ้พริกหลวงพระบางหมูทอด ราคา 140 บาท และต้มยำปลาน้ำโขง ไซส์เล็ก ราคา 200 บาท มากิน ยิ่งกินกับข้าวสวยร้อนๆ กินคู่กับเมนูอร่อยๆ พร้อมชมวิวแม่น้ำโขงที่ไหลไปอย่างช้าๆ บอกเลยว่าฟินสุดๆ เลยครับ ร้านเฮือนหลวงพระบาง เปิดให้บริการเวลา 11.00 – 15.00. น. (รอบแรก) และเปิดอีกรอบเวลา 17.00 – 22.00 น. โทร. 080 596 2323
กินของคาวกันไปจนอิ่มพุงแล้ว ก่อนกลับที่พักผมเลยมากินของหวานปิดท้ายสักหน่อย และของหวานอีกหนึ่งอย่างที่มาเชียงคานแล้วต้องห้ามพลาดคือ ปาท่องโก๋ยัดไส้ ที่ให้อารมณ์เหมือนกินโรตีใส่ไส้ สำหรับผมที่ชอบกินของหวานอยู่แล้วผมว่าเมนูนี้ให้ผ่านครับ และสำหรับใครที่ชอบกินของหวานผมรับรองว่าจะต้องถูกใจอย่างแน่นอน
จริงๆ แล้วถนนคนเดินเชียงคานนอกจากจะมีร้านอาหารและสตรีทฟู้ดอร่อยๆ แล้ว ยังมีร้านขายสินค้าแฮนด์เมด ชุดพื้นเมืองและอีกมายมาย แถมยังมีโรงหนังเก่าแก่อย่าง ราชาภาพยนต์ ที่ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมโปสเตอร์หนังเก่าๆ และเครื่องฉายหนังสมัยก่อนให้เราได้ชมได้ถ่ายรูปเก็บไว้ดู
จบทริปวันแรกวันนี้ผมขอไปนอนพลีกายที่ เฮือนยายบับภา ชาร์จพลังให้เต็มร้อยพร้อมเที่ยวกันต่ออีกในวันพรุ่งนี้
วันนี้ผมตื่นตั้งแต่เช้ามืดมา ตักบาตรข้าวเหนียว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตของชาวเชียงคานที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมแบบนี้ไว้จนถึงปัจจุบัน และที่ เฮือนยายบับภา ยังมีบริการจัดชุดตักบาตรชุดละ 100 บาท ให้อีกด้วย ซึ่งสามารถสั่งชุดตักบาตรได้ที่เคาน์เตอร์ได้ตั้งแต่เช็คอิน
ทำบุญจนอิ่มใจแล้ว ผมเลยมานั่งชมหมอกที่ล่องลอยเหนือแม่น้ำโขง เป็นช่วงเวลาที่สโลว์ไลฟ์และรู้สึกได้ปลดปล่อยความเหนื่อยล้าและรู้สึกคิดไม่ผิดที่เลือกมาพักผ่อนครั้งนี้ที่เชียงคาน
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ถ้าหากมาเที่ยวเชียงคานแล้วจะพลาดไม่ได้เลยก็คือ การปั่นจักรยานเลียบริมโขง ซึ่งทางที่พักเฮือนยายบับภาก็มาจักรยานไว้ให้ยืมปั่นเล่นแบบฟรีๆ
สำหรับมื้อเช้าวันนี้ผมเลือกไปกินที่ร้าน ซอยซาว ร้านอาหารเช้าแบบ All Day Breakfast ซึ่งเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารเช้าในตำนานของเชียงคานที่ใครๆ ที่มาเที่ยวเชียงคานก็ต้องไม่พลาดมาลิ้มรสความอร่อยกันที่นี่ ตัวร้านตั้งอยู่ที่ปากซอย 20 ตรงกันข้ามกับวัดท่าคก หรือสังเกตง่ายๆ คือร้านจะตั้งอยู่บริเวณหัวมุมซอย 20 จะมีบรรยากาศคึกคักตั้งแต่เช้า
ผมเลือกสั่งเป็น ข้าวเปียกเส้นและไข่กระทะ นอกจากนี้ยังมีเมนูทานเล่นสำหรับมื้อเช้าอย่างปาท่องโก๋ พร้อมกาแฟร้อนๆ ให้มานั่งจิบอีกด้วย ร้านซอยซาว เปิดให้บริการเวลา 06.00 – 13.00 น. โทร. 042 821 314
กินมื้อเช้ากันอิ่มแล้วผมปั่นจักรยานไปต่อที่ วัดศรีคุณเมือง วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงคานมาอย่างยาวนานซึ่งเป็นวัดที่ถูกขนานนามว่าเป็นแหล่งรวมศิลปะทั้งแบบล้านนาและล้านช้างเอาไว้ได้เป็นอย่างดี สังเกตได้จากโบสถ์ที่มีหลังคาลดหลั่นกันลงมาตามแบบศิลปะล้านนา
ผมเลยเข้าไปกราบขอพรภายในโบสถ์ ซึ่งประดิษฐานพระพุทธปฎิมาประทับขัดสมาธิราบนาคปรกอายุกว่า 300 ปีเอาไว้ แล้วยังมีความเชื่อว่าใครมาขอพรที่วัดแห่งนี้จะสมปรารถนาตามสิ่งที่ขอพรไว้
หลังจากไหว้พระเสร็จแล้ว ผมกลับมาที่เฮือนยานบับภาเพื่อเช็คเอ้าท์และเตรียมตัวไปเที่ยวต่อ ซึ่งการเดินทางไปเที่ยววันนี้ผมจะเดินทางโดยรถสกายแล็บซึ่งสามารถเรียกใช้บริการได้ถึงที่พัก คิดราคาเหมาไป – กลับ คนละ 100 บาท สามารถเที่ยวได้ 1 – 2 ชั่วโมง และจุดเช็คอินที่ผมจะไปต่อคือ แก่งคุดคู้ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอเชียงคานประมาน 3 – 4 กิโลเมตร
แก่งคุดคู้ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครที่มาเชียงคานแล้วก็ต้องไม่พลาดแวะมาเช็คอินชมความสวยงามของที่นี่ ซึ่งไฮไลท์ของแก่งคุดคู้คือแนวหินขนาดใหญ่ที่ทอดตัวยาวขวางลำน้ำโขงเอาไว้ตั้งแต่ฝั่งไทยจนถึงฝั่งลาวทำให้เกิดกระแสน้ำไหลเชี่ยวและแรง ซึ่งจะมีหาดทรายกว้างที่สามารถเดินลงไปเที่ยวชมและถ่ายรูปได้อีกด้วย
นอกจากความงดงามตามธรรมชาติแล้วยังมีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานความเชื่อของแก่งคุดคู้คือ มีนายพรานจมูกแดงคนนึงได้พบควายตัวใหญ่มีอุจจาระเป็นสีเงินทำให้นายพราณเกิดความโลภ ไล่ล่าฆ่าควายตัวนั้นแต่ก็ไม่สามารถฆ่าได้สำเร็จเพราะเกิดจากเรือที่ล่องผ่านลำน้ำโขงได้ก่อกวนให้ควายวิ่งหนีไป นายพรานโมโหมากจึงแบกก้อนหินมาขวางแม่น้ำเอาไว้เพื่อจะกั้นเรือไม่ให้ผ่านไปได้จนเกือบสำเร็จ ต่อมามีเณรองค์หนึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงใช้กลอุบายหลอกให้นายพรานเหลาไม้ไผ่ให้คมดังมีดแล้วแบกก้อนหินซึ่งมีน้ำหนักมาก เมื่อนายพรานแบกจึงทำให้ไม้ไผ่บาดจนคอขาดทำให้สิ้นใจก่อนที่จะแบกก้อนหินขวางทางน้ำเสร็จ จึงเหลือทางน้ำไหลอยู่ที่ฝั่งไทยนั้นเอง
ที่ด้านหน้า แก่งคุดคู้ ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตริมแม่น้ำโขง ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวไทดำได้เป็นอย่างดี
และไปต่อกันที่ ร้านกาแฟไม่มีชื่อ ร้านกาแฟสุดชิคที่ตั้งอยู่บริเวณจุดชมวิวแม่น้ำโขงเชียงคาน ตัวร้านมีลักษณะเป็นโรงไม้เก่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้เลี้อย เช้าๆ แบบนี้ผมเลยสั่งกาแฟร้อนมานั่งจิบพร้อมชมวิวแม่น้ำโขงในตอนเช้าสักแก้ว บรรยากาศดีสุดๆ เลยครับ ร้านกาแฟไม่มีชื่อ เปิดให้บริการเวลา 08.00 – 16.30 น. (เวลาเปิดไม่แน่นอน) ร้านหยุดทุกวันอังคาร
เที่ยวเพลินจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ ก็ได้เวลาเดินทางไปเช็คอินความฟินริมโขงกันต่อกับอีกหนึ่งที่พักที่ผมจะนอนกันในคืนนี้ ซึ่งผมเปลี่ยนบรรยากาศมานอนที่พักสไตล์ Glamping เต็นท์หรู กันที่ เดอะ แคมป์ เชียงคาน
เดอะ แคมป์ เชียงคาน ที่พักสไตล์ Glamping เต็นท์หรูติดแอร์ที่ตั้งอยู่บนโลเคชั่นสุดส่วนตัวริมแม่น้ำโขง มีเต็นท์หรูให้เลือกทั้งหมด 3 แบบคือ River Front Camp เต็นท์หรูขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในโซนด้านหน้าสุด สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำโขงได้แบบ 180 องศา Deluxe Camp เต็นท์หรูที่ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดแต่ก็ยังสามารถเห็นวิวแม่น้ำโขงได้แบบสบายๆ และ Eco Camp เต็นท์หรูวิวสวนเหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติ
สำหรับวันนี้ผมเลือกนอนแบบ Deluxe Camp เพื่อที่จะได้อินและฟินไปกับบรรยากาศริมแม่น้ำโขงแบบเต็มๆ ภายในตัวเต็นท์มีพื้นที่กว้างขวาง มาพร้อมเตียงขนาดใหญ่ และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ พัดลม ทีวี ไดร์เป่าผม และชุดโซฟา แถมยังมีถุงผ้าและหมวกน่ารักๆ ไว้ให้ใส่เล่นอีกด้วย
และยังมีห้องน้ำส่วนตัวภายในเต็นท์พร้อมระบบน้ำร้อน – เย็นอีกด้วย
บรรยากาศลมพัดเย็นๆ แบบนี้ก็ต้องหาเครื่องดื่มมานั่งจิบกันที่หน้าเต็นท์พร้อมชมวิวแม่น้ำโขงสักหน่อย
และแล้วมื้อเย็นก็มาถึง ผมสั่งเซ็ตบาร์บีคิวเซ็ตเล็กจากทางที่พักมากิน ซึ่งทางที่พักจะมีพื้นที่สำหรับปิ้งย่างบาร์บีคิวไว้ให้
บรรยากาศยามค่ำคืนของ เดอะ แคมป์ เชียงคาน สงบเหมาะสำหรับการเดินทางมาพักผ่อนสุดๆ เดอะแคมป์เชียงคาน โทร. 095 727 4555, 095 653 4597
วันนี้ผมตื่นแต่เช้ามืดอีกเช่นเคยเพราะยังเหลืออีกหนึ่งจุดเช็คอินที่จะพลาดไม่ได้เลยเมื่อมาถึงเชียงคานนั่นก็คือการขึ้นไปดูทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่ ภูทอก เมื่อมาถึงภูทอกแล้วจะมีจุดซื้อตั๋วเข้าชมอยู่ที่ด้านหน้า ราคาใบละ 25 บาท/คน
เมื่อซื้อตั๋วเสร็จแล้วจะต้องมาขึ้นรถกระบะที่จอดให้บริการ จุดนี้ไม่สามารถนำรถส่วนตัวขึ้นไปเองได้และใช้เวลาเดินทางขึ้นไปยังจุดชมวิวทะเลหมอกภูทอกประมาน 10 นาที
ผมขึ้นมาถึงจุดชมวิวภูทอกตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เพื่อมารอชมแสงแรกของวัน
และแล้วผมก็ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งจะค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาจากหลังเขาเป็นภาพที่ประทับใจสุดๆ ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่มีทะเลหมอกให้ชมแต่ก็รู้สึกคุ้มค่ากับการตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูทอกและยังมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปอีกด้วยนะ
กลับมาถึงที่พักตอนสายๆ ก็ฟินกันต่อกับอาหารเช้าของทาง เดอะ แคมป์ เชียงคาน ที่เสิร์ฟมื้อเช้าแบบจัดเต็มทั้งข้าวต้มหมูร้อนๆ และเซ็ตเบรคฟาสต์ แถมยังมีขนมปังปิ้ง กาแฟและน้ำส้มให้กินแบบไม่อั้นอีกด้วย
มุมนั่งกินอาหารเช้าก็ชิลล์สุดๆ สามารถนั่งกินไปพร้อมชมวิวแม่น้ำโขงได้แบบชิลล์ๆ และก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักเตรียมเดินทางกลับกรุงเทพ
สำหรับการเดินทางกลับผมยังเดินทางกลับด้วยรถทัวร์เช่นเดียวกัน ซึ่งสามารถเรียกรถสกายแล็บมารับได้ถึงที่พัก เพื่อให้ไปส่งยังจุดขึ้น – ลงรถใกล้ๆ กับตลาดเชียงคาน
สำหรับใครที่กำลังวางแผนอยากมาเที่ยวเชียงคานด้วยรถสาธารณะผมขอบอกเลยว่าการเดินทางมาเที่ยวเชียงคานไม่ยากอย่างที่คิดและที่สำคัญสามารถเดินทางมาเที่ยวคนเดียวได้แบบสบายๆ รับรองเลยว่าการเดินทางมาเที่ยวเมืองสุดสโลว์ไลฟ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมแห่งนี้จะทำให้เพื่อนๆ ได้รีชาร์จร่างกายจากความเหนื่อยล้า จนต้องพูดว่า หลงรัก…เลย
สรุปค่าใช้จ่ายทริป 3 วัน 2 คืน เชียงคาน
ค่าตั๋วรถ ไป – กลับ กรุงเทพ – เชียงคานและเชียงคาน – กรุงเทพ รวมราคา 914 บาท
ค่ารถสกายแลบจากจุดลงรถตลาดเชียงคานมาที่พัก ราคา 30 บาท
ค่าห้องพักเฮือนยายบับภา ราคา 2,500 บาท
ค่าอาหารจุ่มนัวยายพัด ราคา 40 บาท
ค่าใช้จ่ายที่ถนนคนเดินเชียงคาน ราคา 55 บาท
ค่าอาหารเฮือนหลวงพระบาง ราคา 450 บาท
ค่าอาหารเช้าร้านซอยซาว ราคา 65 บาท
เหมารถสกายแล็บไปแก่งคุดคู้ ราคา 100 บาท
ค่าห้องพัก เดอะ แคมป์ เชียงคาน ราคา 2,690 บาท
เหมารถสกายแล็บไปภูทอก ราคา 100 บาท
ค่าเข้าภูทอก ราคา 25 บาท
ค่าเครื่องดื่มร้านกาแฟไม่มีชื่อ ราคา 40 บาท
ค่ารถสกายแล็บไปยังจุดขึ้นรถตลาดเชียงคาน ราคา 30 บาท
รวมค่าใช้จ่ายตลอดทริป ราคา 7,039 บาท (หากมากันหลายคนค่าใช้จ่ายรายคนจะน้อยลง)